ของวิเศษล้ำค่าราวกับมาจากแดน์ย่อมจะมีผู้พิทักษ์ และผู้พิทักษ์เ่าั้ส่วนมากมักจะดุร้ายและมีพิษ
เห็ดหุยซินก็เช่นกัน ในโพรงชื้นแฉะและหนาวเย็นเยี่ยงนั้น ความเป็ไปได้ที่งูพิษดุร้ายจะวนเวียนอยู่แถวนั้นมีถึงแปดเก้าส่วน หากนางไปเองย่อมอันตรายมาก
"ทำไมล่ะ?" เซวียเสี่ยวหรั่นจ้องตาปริบๆ
เหลียนเซวียนลากเส้นลากเส้นตวัดลงบนพื้นอย่างช้าๆ
"มีงู? ไม่เห็นน่ากลัวเลย นั่นเป็งูเหลือมั์ แค่ใช้กิ่งไม้ทำให้มันใก็ได้แล้วนี่"
หลังทักทายกับงูเหลือมั์มาสองหน เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ค่อยกลัวมันเท่าไรแล้ว
เหลียนเซวียนส่ายหน้า
"งูพิษ? ท่านว่าในโพรงมีงูพิษหรือ งั้นก็ต้องระวังหน่อยแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นหดคอ ในป่าเฮงซวยแห่งนี้มีแต่งูไปทุกที่
เหลียนเซวียนเขียนต่อไป
"ท่านจะตามไปด้วย?" เซวียเสี่ยวหรั่นขยี้ผมที่แห้งแล้วครึ่งหนึ่ง "แต่ที่นั่นค่อนข้างไกลอยู่นะ"
ด้วยความเร็วของเขา อย่างน้อยก็ต้องเดินครึ่งชั่วยามขึ้นไป
เหลียนเซวียนมั่นใจว่า มีเขาอยู่ สามารถโจมตีสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูได้ในกระบวนเดียว
"งั้นก็ได้ พรุ่งนี้หลังกินมื้อเช้าแล้วพวกเราค่อยไป เห็ดมาถึงมือเมื่อไรค่อยว่ากัน ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดหรือเสียหายขึ้นมา คิดจะหาใหม่ให้ได้แบบเดิม ก็เกรงว่าคงไม่ง่าย"
เห็ดแบบนั้นแค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา หากพลาดไปคงยากจะหาใหม่ได้แล้ว
ของล้ำค่าเช่นนั้น การชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
เหลียนเซวียนมองอยู่เงียบๆ หากไม่ใช่เพราะนางเป็ตัวนำโชค ต่อให้เขากลับไปแคว้นฉี การกำจัดพิษก็ไม่ใช่เื่ง่าย
ไม่ใช่แค่ไม่ง่าย แต่ยากยิ่งกว่าขึ้น์
พิษสลายกำลังเป็ตำรับลับของสำนักอิ่นเหมินแห่งซีฉี อิ่นเหมินเป็พรรคเล็กๆ มักมีพฤติกรรมประหลาดยากจะคาดเดา พวกเขาชำนาญพิษกับอาวุธลับ ชื่อเสียงเป็ที่น่าเกรงขามในยุทธภพไม่น้อย ประกอบกับไปมาไร้ร่องรอย น้อยคนนักที่จะได้พบปะกับพวกเขา คิดจะค้นหาพวกเขาเพื่อเอายาถอนพิษ นอกจากจะเสียทั้งกำลังและเวลา จะหาพวกเขาพบหรือไม่ก็อีกเื่
จะว่าไปแท้จริงแล้วพิษนี้แก้ไม่ยาก เหลียนเซวียนเองก็รู้ส่วนประกอบน้ำแกงยาถอนพิษ แต่ความลำบากอยู่ที่สมุนไพรแต่ละอย่างล้วนเป็ของที่หายากยิ่ง
เกรงว่าแม้แต่สำนักอิ่นเหมินเองก็ยังไม่อาจรวบรวมสมุนไพรทั้งหมดที่สามารถถอนพิษได้อย่างครบถ้วนเช่นกัน
หนึ่งในสมุนไพรที่หายากที่สุดก็คือเห็ดที่มีสีแดงแกมม่วงเช่นที่แม่นางผู้นี้บรรยายไว้
ไม่รู้เหมือนกันว่าสตรีผู้นั้นใช้ช่องทางไหนถึงได้ยาพิษนั้นมา ราคาพิษสลายกำลังในท้องตลาดสูงจนมิอาจประเมินค่าได้ แต่นางก็ยังยินดีใช้มันกับเขา ต้องเกลียดกันถึงขนาดเข้าไส้เลยกระมัง แสงเยียบเย็นที่เจือไปด้วยความเ็ปผุดวาบในแววตาของเหลียนเซวียน
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นหยิบเห็ดใส่ลงไปในหม้อ แล้วค้นหวีออกมาจากกระเป๋าใส่ของจุกจิก นั่งลงข้างกองไฟ ก่อนเริ่มหวีผม
"พูดถึง พวกเราตกมาอยู่สถานที่เฮงซวยนี่กี่วันแล้ว สี่วัน? ห้าวัน? หรือว่าหกวัน?"
เซวียเสี่ยวหรั่นสับสนเล็กน้อย การเอาชีวิตรอดในป่า่เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่าเหมือนเวลาบน์หนึ่งวันเท่ากับโลกมนุษย์หนึ่งปี อยู่ห่างจากวันที่เธอออกมาเที่ยวกับเพื่อนๆ ลิบลับ
ตกลงมา? คำกล่าวนี้ใช้แล้วชวนให้คนนึกอยากแสวงหาคำตอบ
ตกลงมาจากไหน? จากท้องฟ้า? จากูเา? จากต้นไม้?
ไม่ว่าจะตกลงมาจากที่ไหน ก็ทำให้เหลียนเซวียนรู้สึกเหลือเชื่อทั้งสิ้น
"น่าจะห้าวันแล้ว ควรต้องจดบันทึกไว้เสียบ้าง" เซวียเสี่ยวหรั่นยกมือขึ้นมานับรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หาหินเล็กๆ มาขีดไว้บนกำแพง
"แบบนี้ถึงจะไม่ลืม" เซวียเสี่ยวหรั่นหวีผมเสร็จ ก็หยิบผมที่ร่วงติดหวีโยนเข้ากองไฟ ทันใดนั้นกลิ่นไหม้ก็โชยอยู่ในอากาศ
"ฮิๆ ตอนเด็กๆ ที่บ้านก่อไฟทีไร ข้าชอบถอนผมมาเผาไฟเล่น ถูกท่านย่าด่าเสียยกใหญ่บอกว่า ไม่เคยพบเคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนโง่เง่าอย่างเ้ามาก่อน ต่อไปถ้าเกิดหัวล้านขึ้นมา ระวังเถอะจะน้ำตาตก"
เซวียเสี่ยวหรั่นเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็คนชราที่กำลังบ่นว่าอย่างไม่ได้ดังใจ รอยยิ้มน้อยๆ ประดับมุมปากเมื่อย้อนนึกถึงอดีต
เขาก็ว่าอยู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงมีกลิ่นไหม้ลอยมา ที่แท้ก็แม่นางผู้นี้โยนผมเข้ากองไฟ มุมปากของเหลียนเซวียนกระตุกเล็กน้อย ยังทำตัวเป็เด็กๆ ได้มากกว่านี้อีกไหม
"หวีนี่ให้ท่าน ท่านใช้สางผมตามสบายเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นส่งให้เขา "ผมยาวขนาดนี้ ไม่อยากตัดให้สั้นลงหน่อยหรือ"
พอลูบผมที่ยาวประบ่าของตนเอง เอาไปเทียบกับผมที่ยาวถึงบั้นเอวของเขาแล้วไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกหงุดหงิด
ผมของเขายาวนักหรือ? เหลียนเซวียนอึ้งไปชั่วขณะพลางสั่นศีรษะ ที่นี่นอกจากมีดสั้นเล่มนั้น มีเครื่องมือสำหรับตัดแต่งทรงผมเสียที่ไหน
มีดสั้นใช้ล่าสัตว์หั่นเนื้อ ถ้าเอามาตัดผมอีกเป็การไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นยักไหล่ แล้วแต่เขา
น้ำแกงงูต้มเสร็จแล้ว ก็อุ่นเืนึ่งเมื่อตอนกลางวัน แล้ววางใส่มือของเหลียนเซวียน
เหลียนเซวียนได้กลิ่นก็รู้ว่าที่อยู่ในมือคือเืนึ่ง และเป็ยาบำรุงชั้นยอดตามวาจาของนาง
เหลียนเซวียนอยากบอกนางเหลือเกินว่า ร่างกายอ่อนแอยังไม่ควรบำรุง เขาเองมิอาจเสริมมากเกินไปได้
เหลียนเซวียนส่งชากลับไป
"ไม่ๆๆ ท่านกินเถอะ ข้ากินไม่ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นปฏิเสธ เธอหิ้วหูกางเกงที่เริ่มหลวมขึ้นมา "ข้าอ้วน กินของบำรุงแบบนี้ไม่ได้
อ้วน? เหลียนเซวียนอึ้งงัน แม่นางผู้นี้อ้วนหรือ?
จากที่นางเคยประคองเขาเดินอยู่หลายหน ตนเองโอบไหล่นาง ส่วนนางก็ช่วยพยุงเอวของตนเอง พวกเขาสองคนใกล้ชิดกันมาก
เขาไม่เห็นรู้สึกว่านางอ้วนเลย บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะััถูกส่วนอ่อนนุ่มซึ่งเป็สัญลักษณ์ของสตรีเพศ
ส่วนนั้น... ก็อวบอิ่มอยู่บ้างจริงๆ
เหลียนเซวียนพลันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา อะแฮ่ม! ต้องเป็เพราะกินเืนึ่งมากไปแน่ๆ
พอโก่งคอกินเืชามนั้นลงไปจนหมด เหลียนเซวียนก็รู้สึกว่าที่หน้าท้องน้อยเหมือนถูกสุมด้วยขุมเพลิงเล็กๆ
ของประเภทนี้มิควรกินมากเกินไป ยังเหลืออีกหนึ่งชาม ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ก็กินไม่ได้แล้ว
เหลียนเซวียนรีบย้ายก้นให้ห่างจากกองไฟ
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย หลังหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนตามระเบียบ อ้าปากหาววอด
"เป็อีกวันที่ใช้ออกกำลังเกินพิกัด เมื่อยจนไม่รู้สึกว่าแขนเป็ของตัวเองแล้ว"
"โชคดีได้สระผม ในที่สุดก็ไม่ต้องนอนดมกลิ่นน้ำมันจากผมแล้ว"
จากนั้นก็บ่นถึงเื่ประตูต่อ ภายใต้แสงไฟสะท้อนใบหน้าของเหลียนเซวียนแลดูดุดัน ทว่าแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยน
เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นขึ้นเพราะปวดท้องเบา
เมื่อคืนเธอดื่มน้ำแกงไปหนึ่งชาม ก็เลยไม่ตื่นมากลางดึก ดังนั้นพอฟ้าสาง เธอก็ลุกขึ้นมา
กระดาษชำระในกระเป๋าเป้เหลือแผ่นสุดท้าย เธอถอนหายใจเฮือก ในที่สุดก็ไม่หยิบออกมา อีกประเดี๋ยวไปถึงริมแม่น้ำหาหญ้าเหมาะๆ สำหรับเช็ดก้นดีกว่า เซวียเสี่ยวหรั่นน้ำตาคลอ
หลังจากนั้นก็ยกหม้อชามช้อนไปล้างที่ริมแม่น้ำ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เธอก็กลับมาถึงถ้ำ เหลียนเซวียนก่อไฟรอไว้แล้ว
"วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีแดด" เซวียเสี่ยวหรั่นยกหม้อที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นตั้งไฟ "ฟ้าครึ้มๆ ให้ความรู้สึกเหมือนฝนจะตก"
ดวงตาของเหลียนเซวียนเหลือบไปที่ปากถ้ำ แสงสว่างน้อยมาก ไม่มีแสงตะวันจริงๆ
"ถ้าฝนตกอากาศก็จะเปลี่ยนเป็หนาวแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นโยนเ้าลูกหนามเข้ากองไฟ "พวกเราไม่หิวตาย แต่อาจแข็งตาย"