ไม่ใช่ เื่ราวกลายเป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร?
หลินกุ้ยฮวาสับสนเล็กน้อย
คนหนึ่งบอกว่าโดนแย่ง คนหนึ่งบอกว่าโดนขโมย ฝูงชนที่มามุงดูเริ่มเกิดอารมณ์ร่วม พากันจินตนาการและคาดเดา บ้างก็บอกว่าหลินฉินโกหก บ้างก็บอกว่าหลินหวั่นชิวโกหก บ้างก็บอกว่าโกหกทั้งคู่
เสื้อขนจิ้งจอกเลยนะ ล้อเล่นกระมัง เสื้อผ้าของฟู่เหรินน้อยนางนี้ไม่มีรอยปะก็จริง แต่มองก็รู้ว่าไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย จะมีเสื้อขนจิ้งจอกได้อย่างไร
แต่ว่า…เห็นชัดว่าแม่นางที่กอดห่อผ้าไม่ใช่คนที่จะมีเสื้อขนจิ้งจอกในเช่นกัน หรือสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าจะเป็เสื้อขนจิ้งจอกจริงๆ สองคนนี้ร่วมกันขโมยเสื้อขนจิ้งจอกแต่มีคนอยากยึดไว้คนเดียวจึง…
เรียกได้ว่าจินตนาการของฝูงชนเฟื่องฟูมาก สามารถสร้างภาพฉากละครยิ่งใหญ่ขึ้นในหัวภายในเวลาไม่กี่นาที
หลินฉินพูดอย่างใจฝ่อ “ท่านโกหก! มีเสื้อขนจิ้งจอกที่ใดกัน ไม่มี!”
หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะ แย่งห่อผ้ามาแล้วสะบัดเสื้อขนจิ้งจอกสีขาวโพลนด้านใน
ทุกคนพากันส่งเสียงชื่นชม มีเสื้อขนจิ้งจอกจริงๆ ด้วย
ขาวสะอาดไม่มีสีอื่นปนเปื้อนแม้แต่นิดเดียว
“ไหนว่าไม่มีเสื้อขนจิ้งจอก แล้วนี่มันกระไรเล่า?” หลินหวั่นชิวมองหลินฉิน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบขึ้น
“ไอ๊หยา นี่มันเสื้อขนจิ้งจอกของข้าไม่ใช่หรือ ฉินเอ๋อร์ ขอบคุณที่เอามาให้น้านะ แม่เ้ายืมไปหลายวันแต่ไม่ยอมคืนเสียที ข้าเกือบไปทวงถึงบ้านอยู่แล้ว”
หลินกุ้ยฮวาตาเป็ประกายั้แ่วินาทีที่หลินหวั่นชิวสะบัดเสื้อขนจิ้งจอก อยากได้จนทนไม่ไหว
“น้ารอง…” หลินฉินร้อนใจ นี่น้ารองถือโอกาสผสมโรงฉกฉวยผลประโยชน์
หลินกุ้ยฮวาส่งสายตาเป็นัยให้นาง “เด็กคนนี้นี่ ไปกัน ถือเสื้อขนจิ้งจอกไว้ ไปคุยกันที่บ้านน้ารองก่อน ด้านนอกมีคนมุงดูเยอะ จะปล่อยให้โดนหัวเราะก็ไม่ใช่เื่ น้องเล็ก ตามเอ้อร์เจี่ยไปที่บ้านก่อนเถิด”
เจตนาของหลินกุ้ยฮวาชัดเจนขนาดนี้ หลินฉินเข้าใจความหมาย นางมองฝูงชนรอบๆ กับหลินหวั่นชิว ตัดสินใจร่วมมือกับหลินกุ้ยฮวาแย่งเสื้อขนจิ้งจอกมาก่อนค่อยว่ากัน
หลินหวั่นชิวปัดมือที่เอื้อมมาจับเสื้อขนจิ้งจอกของหลินกุ้ยฮวา หลินฉินร้องว่า “น้าเล็ก นี่เป็เสื้อขนจิ้งจอกของน้ารอง ข้านำมาส่งให้น้ารอง ท่านรีบคืนให้น้ารองเถิด!”
“นั่นสิน้องเล็ก คนชนบทแบบเ้าจะมีเงินซื้อเสื้อขนจิ้งจอกชั้นดีขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวโดนผู้อื่นหัวเราะบ้างหรือ ขนาดคนในเมืองยังใช่ว่าจะมีเงินซื้อ สามีข้าเป็คนนำเสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้กลับมา เป็ของไท่ไท่เ้านายพวกเขา เนื่องจากรังเกียจว่าเริ่มสกปรกจึงให้ข้าเอามาดูแล ต้าเจี่ยมายืมไปใส่เชิดหน้าชูตาเมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งจะส่งคืนให้ข้า น้องเล็ก เ้าอยากได้สิ่งใดเอ้อร์เจี่ยก็ให้ทั้งนั้น แต่ต้องไม่ใช่เสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้ หากไม่ส่งคืนกลับไป พี่เขยเ้าไม่เพียงจะตกงาน แต่ยังอาจติดคุกด้วย!”
เทียบกับเสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้ เงินแค่ยี่สิบตำลึงจะนับเป็กระไรได้!
หลินกุ้ยฮวายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาด ตอบสนองไว คิดหาข้ออ้างเร็ว
พอนางพูดเช่นนี้ ฝูงชนรอบด้านเริ่มชี้ไม้ชี้มือใส่หลินหวั่นชิวด้วยความดูถูก
“ไอ๊หยา ฟู่เหรินหน้าตางดงามแต่มีจิตใจละโมบขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“นั่นน่ะสิ ไม่รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง กล้าบอกว่าเสื้อขนจิ้งจอกเป็ของตัวเอง! มีปัญญาใส่หรือ!”
“คนเราจะโลภก็ควรโลภแบบพอดี ไม่เช่นนั้นตายไปต้องตกนรก!”
“พวกเ้าอย่าเชื่อพวกนาง เสื้อขนจิ้งจอกเป็ของพี่สะใภ้ หลินฉินอาศัย่ชุลมุนมาขโมยไป” หวางฟู่กุ้ยจอดรถล่อเสร็จก็วิ่งมาหาหลินหวั่นชิว ได้ยินฝูงชนวิจารณ์หลินหวั่นชิวทางลบก็ร้อนใจ
“โอ๊ะ นี่มันพี่น้องฟู่กุ้ยไม่ใช่หรือ เ้ามาอยู่กับน้องสาวข้าได้อย่างไร น้องสาวข้าเป็ภรรยาพี่น้องเ้า เ้าจะไม่ซื่อสัตย์เกินไปแล้ว!” หลินกุ้ยฮวากล่าวอย่างมีเลศนัย
จะสื่อความหมายว่าหวางฟู่กุ้ยกับหลินหวั่นชิวมีความสัมพันธ์กัน
“น้ารอง น้าเล็กล่อลวงท่านพ่อข้าั้แ่ตอนอยู่บ้าน นึกไม่ถึงว่าแต่งงานแล้วจะยังไม่สงบเสงี่ยมเช่นนี้” หลินฉินกล่าวอย่างชิงชัง
สองคนนี้สาดน้ำสกปรกใส่หลินหวั่นชิวด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค เมื่อใดที่ชื่อเสียงพังทลาย พูดกระไรไปก็ไม่มีคนเชื่อ
จากนั้นตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มืดฟ้ามัวดิน
ฝูงชนที่มามุงดูพากันชี้หน้าด่าหลินหวั่นชิว หวางฟู่กุ้ยร้อนใจมาก
หวางฟู่กุ้ยอยากอธิบายแต่ถูกหลินหวั่นชิวห้ามไว้
นางเดินไปตบหน้าหลินฉินสองฉาดแบบไม่ออมแรง มุมปากหลินฉินมีเืไหล
“คนที่เอาแต่ล่อลวงบุรุษในหมู่บ้านไปวันๆ คือเ้าต่างหาก เ้าเป็คนขโมยของของข้าแต่กลับใส่ร้ายว่าข้าขโมย วันนี้ข้าที่เป็ผู้าุโจะสั่งสอนเ้า!” สาดน้ำสกปรก ใครๆ ก็ทำเป็!
“อายุแค่นี้แต่กลับแต่งตัวยั่วยวน ปะแป้งทาปากให้ผู้ใดดูกัน? ถึงเ้าจะไม่อายแต่ข้าอายแทน!” หลินหวั่นชิวด่าต่อ
พูดจบก็หันไปตบหลินกุ้ยฮวาสองฉาด
“เดินบิดเอวจนแทบหักอยู่แล้ว บั้นท้ายเกือบสะบัดขึ้นฟ้า แป้งบนหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง สภาพแบบเ้าคิดว่าจะล่อลวงผู้ใดได้กัน? ท่านป้าท่านน้าทุกท่าน หากพวกท่านอาศัยในตำบลก็โปรดจำหน้านางให้ดี อย่าให้สามีตัวเองถูกนางล่อลวงไปได้!”
หลินหวั่นชิวไม่แก้ตัวให้ตัวเอง เื่แบบนี้อธิบายไปก็ไม่จบไม่สิ้น ปากมีริมฝีปากบนล่างที่แค่กระทบกันก็พูดกระไรได้ทั้งนั้น
ดังนั้น นางจึงใช้ปากกวนน้ำให้ขุ่น
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ทุกคนหันไปสำรวจหลินกุ้ยฮวากับหลินฉินอย่างละเอียด พบว่าเป็อย่างที่หลินหวั่นชิวพูดจริงๆ แต่งเนื้อแต่งตัวฉูดฉาด คิดจะล่อลวงผู้ใดกัน?
ผิดกับฟู่เหรินน้อยที่ถือเสื้อขนจิ้งจอก แต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาสะอาดสะอ้าน ท่าทีจริงจัง ไม่เหมือนสองคนนี้…
ไอ๊หยา สับสนไปหมดแล้ว
“หลินหวั่นชิว เ้ากล้าตบข้าหรือ! แล้วยังแย่งของของข้าอีก!” หลินกุ้ยฮวาโมโหแล้ว นางพูดกับหลินหวั่นชิวว่า “ล่วงเกินผู้าุโกว่า ระวังข้าจะแจ้งทางการ!”
เสื้อขนจิ้งจอกเป็สิ่งไม่มีชีวิต ส่งเสียงกระไรไม่ได้ นางรู้จักมือปราบในตำบล เหอะ ถึงเวลาแล้วให้เงินแค่เล็กน้อยก็เข้าข้างนางกันทั้งนั้น!
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคว้าเสื้อขนจิ้งจอกขาวตัวนี้มาให้ได้!
หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะ “จะแจ้งทางการก็รีบไป! ข้ารออยู่นี่แหละ!”
หลินกุ้ยฮวาชี้หน้าหลินหวั่นชิว “เ้า…หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก[1] ข้าจัดให้ อย่าโทษว่าไม่เห็นแก่ความเป็พี่น้องก็แล้วกัน!”
“รีรอกระไรเล่า จะแจ้งทางการไม่ใช่หรือ? รีบไปเสีย!” มีคนส่งเสียง
“ข้าจะทำความดีโดยการไปแจ้งให้เอง ที่ว่าการตำบลอยู่ไม่ไกล” ท่ามกลางมวลฝูงชนไม่เคยขาดแคลนคนมีน้ำใจ (ที่กลัวเื่ราวไม่บานปลายพอ) มาั้แ่ไหนแต่ไร
ไม่นานก็มีมือปราบสองสามคนวิ่งเข้ามา พวกเขาทำหน้าเครียด พูดอย่างหงุดหงิดว่า “หลบไปๆ เ้าหน้าที่จะทำงาน!”
หลินหวั่นชิวมองไป พบว่าหัวหน้าคือสวีเทา
ไอ๊หยา วันนี้เป็วันชุมนุมของศัตรูหรือไร โผล่มาทีละคน
สวีเทามองหลินหวั่นชิว สายตาเ้าเล่ห์กวาดไปมาบนร่างนาง ั้แ่เด็กสาวคนนี้ออกจากบ้านเหล่าหลินก็มีน้ำมีนวลขึ้นเรื่อยๆ…
รอก่อนเถิด รอให้เจียงหงหย่วนถูกครอบครัวท่านลุงจับเข้าคุกเสียก่อน เช่นนั้นนางก็หนีไปไหนไม่รอดแล้ว…
เชิงอรรถ
[1] หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก(死猪不怕开水烫) หมายถึง ไม่มีความยำเกรงหวาดกลัวต่อสิ่งใดทั้งนั้น ส่วนมากใช้ด่าทอคนที่หน้าด้าน