“ขั้นรวมชี่ที่ 9 มิหนำซ้ำขั้นพลังยังมั่นคง ไม่เลวนี่!” กงซุนเชียนกล่าวขณะมองสำรวจเย่เฟิง
“ต้องขอบคุณหยวนชี่ฟ้าดินในเจดีย์เชื่อมฟ้าแห่งนี้ที่อุดมสมบูรณ์ ผู้เยาว์จึงทะลวงขั้นพลังได้อย่างราบรื่น”
แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่ได้พูดเื่ิญญาาเทพัที่กลืนกินพลเหล็กกล้าและไข่มุกออกไป
“ทะลวงขั้นพลังแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มการขัดเกลาได้” กงซุนเชียนกล่าว ร้อยปีมานี้เขาคงพบเจออัจฉริยะเช่นนี้ไม่ได้ง่าย ๆ เขาย่อมหวังว่าเส้นทางของเย่เฟิงจะเดินไปได้ไกล ๆ
“เ้าบ้า ตามข้ามา!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวขณะมองเย่เฟิง จากนั้นจับแขนเย่เฟิงแล้วเดินออกไปนอกหอกฝึก ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงชั้นที่ 1 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าโดยเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ จากนั้นกงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “การขัดเกลาจะเริ่มต้นขึ้นโดยใช้ความเร็วที่สุดของเ้าในการบุกฝ่า แล้วพลังต่อสู้ของเ้าจะต้องก้าวะโอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวจบ กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เดินออกไปริม ๆ แล้วมองเย่เฟิงพร้อมพูดต่อไปว่า “เ้าจงรักษาโอกาสนี้ไว้ซะ แต่การฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้ามีราคาที่ต้องจ่าย”
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเงาผู้ฝึกยุทธ์มากมายปรากฏตัวรอบ ๆ กายเขา ซึ่งจำนวนมากกว่าตอนงานชุมนุมหวงปั่งถึงสามเท่า
“เห็นทีคงจะปรับการฝ่าด่านในนี้ให้ยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว” เย่เฟิงคิดในใจและเข้าใจเื่ทั้งหมดนี้ได้ทันที จากนั้นเย่เฟิงเริ่มฝ่าด่านในเจดีย์เชื่อมฟ้า โดยมีกงซุนหลิงเอ๋อร์คอยตามอยู่ข้าง ๆ
หลังจากทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 ศักยภาพทุกด้านของเย่เฟิงก็เปลี่ยนไป หากตอนนี้ให้เย่เฟิงสู้กับพลเหล็กกล้า ก็คงจะไม่เปลืองแรงมากขนาดนั้นแล้ว ทั้งยังเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
เย่เฟิงผ่านเจ็ดด่านแรกในเจดีย์เชื่อมฟ้าไปอย่างราบรื่น ทั้งยังใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ นี่ทำให้กงซุนหลิงเอ๋อร์ที่ตามดูอยู่ข้าง ๆ ต้องใ ในใจยังเกิดความผันผวนเล็กน้อย
เมื่อถึงด้านที่แปด เย่เฟิงรู้สึกถึงความกดดันเล็กน้อย แต่กลับใช้เวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ เขาก็กำจัดศัตรูของด่านนี้แล้วผ่านไปได้หมด
“ด้านที่เก้าแล้ว แม้ท่านปู่จะปรับความยากขึ้นสามเท่า แต่เ้าหมอนี่ก็ยังฝ่าด่านได้เร็วมาก นี่มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ!” กงซุนหลิงเอ๋อร์คิดในใจขณะมองเย่เฟิงฝ่าด่านที่แปดไปได้อย่างง่ายดาย
ด่านที่เก้า เย่เฟิงใช้หอกัเงินประกาย พร้อมกับปลดปล่อยอำนาจหอกขั้นผันแปร่ปลาย ทุกหอกที่แทงออกไปล้วนต้องมีเงาผู้ฝึกยุทธ์ตกตาย นี่ทำให้กงซุนหลิงเอ๋อร์ใอย่างมากจนอธิบายเป็คำพูดไม่ได้
เพียงเวลาครึ่งก้านธูป ด่านที่เก้าที่มีความยากเพิ่มขึ้นสามเท่าก็ถูกเย่เฟิงทลาย ซึ่งเวลานี้ยังทำลายสถิติในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
“เอาละ เ้าผ่านแล้ว แต่ข้าจะให้เ้าทำอีกรอบ” กงซุนหลิงเอ๋อร์เดินมาหาเย่เฟิง พร้อมสายลมก็พัดกลิ่นหอมมาอย่างฉับพลัน
“อืม” เย่เฟิงเหลือบมองกงซุนหลิงเอ๋อร์แวบหนึ่ง จากนั้นเริ่มฝ่าด่านใหม่อีกครั้ง เขารู้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ตบะของตนเพิ่มพูนขึ้น ซึ่งครั้งนี้เย่เฟิงยังคงผ่านด่านได้เหมือนเดิม ทำให้กงซุนหลิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ยิ่งเย่เฟิงก้าวหน้า นางก็ยิ่งสนใจในตัวเย่เฟิงมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อทำการฝ่าด่านมาถึงครั้งที่ห้า เวลาที่เย่เฟิงใช้ก็น้อยลงกว่าครึ่งในครั้งแรก ถือว่าก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง กงซุนหลิงเอ๋อร์เผลอไปชี้แนะเย่เฟิง ราวกับสาวสวยสั่งสอนก็ไม่ปาน ดังนั้นทั้งสองคนจึงสนิทกันขึ้นเรื่อย ๆ
เป็เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจ็ดวันผ่านไปในพริบตา เย่เฟิงฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้าอย่างไม่หยุดยั้งและทลายขีดจำกัดของตน จากเดิมที่มีความยากสามเท่า จนต่อมาความยากนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็แปดเท่า เย่เฟิงซึมซับประสบการณ์ในระหว่างต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีกงซุนหลิงเอ๋อร์คอยชี้แนะอยู่ข้างกาย เย่เฟิงก็รู้สึกฮึกเหิม ขณะเดียวกันพลังต่อสู้ของเขาทั้งมั่นคงและแกร่งขึ้น
เมื่อถึงวันที่เจ็ด เย่เฟิงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปในการฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้าที่มีระดับความยากถึงแปดเท่า นี่ทำให้กงซุนเชียนและกงซุนหลิงเอ๋อร์อดตะลึงจนอ้าปากค้างไม่ได้ พวกเขากระทั่งสงสัยว่าเย่เฟิงใช่มนุษย์จริง ๆ หรือไม่ เพราะเป็ไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ขั้นรวมชี่ที่ 9 จะมีพลังที่น่าพิศวงเช่นนี้
กงซุนหลิงเอ๋อร์คอยชี้แนะเย่เฟิงตลอด ทุกครั้งที่นางเห็นเย่เฟิงแกร่งขึ้น นางก็อดดีใจแทนเย่เฟิงไม่ได้
“นางหนู พวกเ้าสองคนกลับมาได้แล้ว!” หลังจากเย่เฟิงฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้าที่มีความยากแปดเท่าอีกครั้ง พลันเสียงของกงซุนเชียนก็ดังขึ้น จากนั้นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็กลับไปยังสถานที่ที่ปู่หลานอาศัยอยู่
“เ้าทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 ได้แล้ว แต่พลังต่อสู้ทำข้าเกินคาดมาก แม้ข้าจะปรับระดับความยากในการฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้าเป็แปดเท่า แต่ก็ยังคงทำอะไรเ้าไม่ได้” กงซุนเชียนกล่าวพลางยิ้ม ต้องรู้ว่าด่านชั้นที่ 9 ที่มีความยากเพิ่มขึ้นแปดเท่ามีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แปดคนคอยเฝ้าด่านไว้ ทว่าเย่เฟิงยังคงจัดการพวกเขาได้ในเวลาอันสั้น พลังของเขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?
“ผู้าุโชมเกินไปแล้ว!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับกงซุนเชียน เขาสู้เจ็ดวันโดยไม่ได้พักผ่อน แม้จะเหนื่อยล้า แต่มันก็นำพาประโยชน์มากมายมาสู่เขา ไม่เพียงแต่ขัดเกลาพลังต่อสู้ แต่ยังทำให้เย่เฟิงเข้าใจความสามารถของทักษะเคล็ดวิชา ทำให้เขาสามารถใช้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
อำนาจสองประเภทของเย่เฟิงถูกยกระดับขึ้นไม่น้อยเช่นกัน อำนาจหอกหนึ่งในนั้นถึงจุดวิกฤตของขั้นผันแปร่ปลายแล้ว จำต้องหาจังหวะและโอกาสจึงจะบรรลุขั้นกายาได้ เมื่อพลังแห่งอำนาจบรรลุขั้นกายา พลังแห่งอำนาจก็จะผสานกับกายผู้ฝึกยุทธ์ ทำให้ทุกครั้งที่โจมตีจะอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งอำนาจ โดยที่ไม่ต้องไปกระตุ้นพลังแต่อย่างใด แต่เมื่อบรรลุขั้นกายา่ปลาย พลังแห่งอำนาจจะผสานกับร่างกายได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ในเวลานั้นร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์จะถือเป็อำนาจหนึ่ง แม้ไม่สำแดงพลังโจมตี แต่ก็สามารถระดมอำนาจสังหารคนได้
แน่นอนว่าเย่เฟิงรอคอยที่อำนาจจะบรรลุขั้นกายา เขาอยากไปถึงจุดนั้นเร็ว ๆ ทว่าระหว่างทางต้องเดินไปทีละก้าว มิอาจเร่งรีบเกินไปไม่ได้
“ตอนนี้การฝ่าด่านเจดีย์เชื่อมฟ้ามีข้อจำกัดสำหรับเ้าแล้ว ดังนั้นต่อไปเ้าเลือกที่จะประลองฝีมือกับนางหนูหลิงเอ๋อร์ก็ได้ เช่นนั้นพวกเ้าสองคนจะได้ขัดเกลาพลังต่อสู้และพัฒนาไปพร้อม ๆ กันได้” กงซุนเชียนกล่าว
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ เขารู้ว่าพลังของกงซุนหลิงเอ๋อร์ลึกลับคาดเดาไม่ได้ อย่างน้อยตบะก็น่าจะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ซึ่งขั้นพลังนี้ค่อนข้างร้ายกาจมาก การประลองฝีมือกับนางก็เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว
“เ้าบ้า ให้ข้าฝึกซ้อมเป็เพื่อนเ้าเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงกงซุนเชียน เสียงของกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็แทรกเข้ามา นางเผยรอยยิ้มน่าสยดสยอง ทำให้เย่เฟิงตัวสั่นเทาเล็กน้อย พลางคิดในใจว่า “หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีเจตนาไม่ดี!”
เขาคิดในใจเช่นนี้ แต่ก็ตอบกลับออกไปว่า “ได้ประลองฝีมือกับแม่นางหลิงเอ๋อร์ ย่อมดีแน่นอน”
กงซุนหลิงเอ๋อร์เห็นเย่เฟิงตอบเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “เวลาไม่เคยคอยท่า งั้นพวกเราเริ่มกันเลยเถอะ!”
กงซุนหลิงเอ๋อร์เห็นการพัฒนาของเย่เฟิงในเจ็ดวันนี้ นางจึงอยากประมือกับเย่เฟิงมาก
เมื่อสิ้นเสียง กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ปล่อยพลังเข้าโจมตีเย่เฟิงทันที อีกอย่างตอนที่นางสำแดงการโจมตีนี้ นางไม่ได้กดพลังแม้แต่นิดเดียว แต่เกือบสู้เต็มกำลัง ส่วนเย่เฟิงวาดฝ่ามือโจมตี ก่อนจะเข้าปะทะกับฝ่ามือของกงซุนหลิงเอ๋อร์ ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น กงซุนหลิงเอ๋อร์นิ่งเฉย แต่เย่เฟิงกลับถอยหลังไปหลายก้าว อวัยวะภายในก็ยังสั่นคลอน
“หญิงผู้นี้แกร่งมาก แม้ข้าจะอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9 แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” เย่เฟิงพึมพำ
“ไม่ไหว ไม่ไหวเลย อ่อนหัดเกินไป เช่นนั้นถ้าเ้าสู้กับข้าในร้อยกระบวนท่าได้ ก็จะถือว่าผ่าน!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางยืดอกด้วยท่าทางมั่นใจ แม้นางจะมีพร์ที่น่าทึ่ง แต่หากให้เย่เฟิงสู้กับนางก็ยังห่างชั้นกันมาก เพราะตบะของนางสูงกว่าหลายขั้น
เมื่อกล่าวจบ กงซุนหลิงเอ๋อร์วาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ปากก็ไม่ลืมที่จะเตือนเสมอ “ถ้าครั้งนี้เ้ากล้าใช้วิธีสกปรกอย่างคราวที่แล้วอีก ข้าจะทำลายตบะเ้าเสีย!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฏรอยหยักหลายเส้นบนหน้าผาก แน่นอนเขารู้ว่าวิธีสกปรกที่กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวมาหมายถึงอะไร ในหัวจึงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าเขาได้คว้าร่างอันเย้ายวนนั้นมาอยู่ในอ้อมกอด แต่ครั้งนี้ถ้ากงซุนหลิงเอ๋อร์ไม่เตือน เย่เฟิงก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นอีก เพราะเขาััได้ว่ากงซุนหลิงเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้นมาก หากเขาใช้วิธีอย่างคราวที่แล้ว คงถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นเป็แน่
เมื่อคราวที่แล้วภายใต้สัญญาสิบกระบวนท่าระหว่างกงซุนหลิงเอ๋อร์และเย่เฟิง ยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เลย
“ปัง ๆ!” เย่เฟิงไม่มีเวลาให้คิด จู่ ๆ ฝ่ามือของกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็มาเยือนด้านหน้า ซึ่งพลังเช่นนั้นแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ที่เย่เฟิงเคยเจอมาหลายเท่า เย่เฟิงยกมือขึ้นต้าน ตัวสั่นสะท้าน แต่ยังคงมีสองฝ่ามือโจมตีมาอีกครั้ง ทำเขาเซถอยหลังพร้อมเืไหลออกมุมปาก
กงซุนเชียนมองฉากนี้พลางลูบเครา เขารู้ดีว่าพลังของหลานสาวตนอยู่ระดับไหน สู้กับเย่เฟิงแค่นี้พลังของนางถือว่าเหลือเฟือมาก
“ปัง ตูม เพียะ!”
เย่เฟิงต้านการโจมตีจากกงซุนหลิงเอ๋อร์อย่างต่อเนื่องจนเกราะเทพาของเขาแตกสลาย ทำให้เย่เฟิงเริ่มเสียใจที่คิดประมือกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ เขาในเวลานี้ยังอยู่คนละชั้นกับนาง มิหนำซ้ำยังทำให้เย่เฟิงตระหนักได้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
หากลองสังเกตดี ๆ กงซุนหลิงเอ๋อร์ดูมีอายุพอ ๆ กับเขา แต่กลับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูง ทำเขาเทียบไม่ติดเลย ซึ่งเห็นได้ว่าอัจฉริยะที่มาจากสำนักใหญ่ ๆ หรือตระกูลร่ำรวยมักจะมีคนอย่างกงซุนหลิงเอ๋อร์ที่มีพร์ล้ำเลิศ ส่วนเย่เฟิงยอมรับว่าตัวเองในเวลานี้ยังมีหนทางอีกยาวไกล
แต่เป้าหมายหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้คือต้องผ่านพ้นร้อยกระบวนท่าของกงซุนหลิงเอ๋อร์ไปให้ได้
“ปัง!” อีกฝ่ามือหนึ่งโจมตีมาที่เย่เฟิง ครั้งนี้เย่เฟิงถูกซัดกระเด็นจนกระแทกกับพื้น
“เ้าบ้า เ้าจะสู้แบบนี้น่ะหรือ แต่การที่เ้าถูกคนสวยอย่างข้าซ้อมก็ไม่ได้มีโอกาสบ่อย ๆ เ้าจงรักษาไว้ให้ดี ๆ ล่ะ!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าว
เย่เฟิงกัดฟันกรอด เขากล้ำกลืนความเ็ป ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมดวงตาเปี่ยมด้วยความแน่วแน่
