โหยวอวี่เวยกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องโถงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เห็นนางเดินเข้ามาใกล้ จึงเอ่ยปากถาม “ข้าได้ยินเด็กผู้หญิงเมื่อสักครู่คนนั้นบอกว่าท่านแม่เ้าตั้งครรภ์หรือ?”
“อื้ม ใช่แล้ว”
ดังนั้นข้าน่ะยุ่งมาก เ้าโปรดรีบยกเท้าอันสูงส่งออกไปโดยเร็วหน่อยได้ไหม? เจินจูตำหนิอยู่ในใจ
“เช่นนั้นเ้าเตรียมจะมีน้องสาวหรือน้องชายแล้วล่ะสิ น่าอิจฉาเ้าจริงๆ” โหยวอวี่เวยทอดถอนใจอย่างจริงใจ
มารดาของนางตอนให้กำเนิดนางคลอดยากและตกเืมาก อีกนิดแม้แต่ชีวิตก็เกือบไม่มีแล้ว กว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้ไม่ง่ายเลย ร่างกายกลับแย่ลงไปมาก บำรุงรักษาอยู่หลายปี ยังคงไม่สามารถมีน้องสาวหรือน้องชายให้นางได้เลย
ท่านปู่ของนางไม่ชื่นชอบมารดานางสักเท่าไร รังเกียจที่มารดาเลี้ยงดูอบรมนางที่เป็บุตรสาวคนเดียวเช่นนี้ ไม่สามารถกำเนิดบุตรชายสืบสกุลให้บิดาได้ และยังคิดว่ามารดาห้ามบิดาแต่งภรรยาอื่นอีกด้วย
ที่จริงแล้วเป็มารดาไม่ให้บิดาแต่งภรรยาอื่นเสียที่ไหน บิดาปวดใจที่เพื่อให้กำเนิดนางแล้วอีกนิดมารดาของนางก็เกือบโยนชีวิตทิ้ง ไม่ได้ถือสาที่มารดาไม่สามารถตั้งครรภ์เด็กที่จะเกิดใหม่ได้อีก เขามักกล่าวว่าชั่วชีวิตนี้ของเขามีภรรยาและบุตรสาวก็เพียงพอแล้ว สายเืของสกุลโหยวมีพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองสืบสานต่อ ขาดเขาไปคนเดียวจะเป็อะไรไป
ท่านปู่โกรธทุกครั้งที่เห็นบิดาของนาง จนสีหน้าล้วนดูไม่ดี จะบังคับควบคุมเขาก็ทำไม่ได้
ท่านย่าของนางไม่กี่ปีก่อนป่วยแล้วจากไป ในจวนท่านโหวอาศัยป้าสะใภ้คนโตควบคุมการหุงหาอาหารภายใน ในฐานะที่นางเป็แค่ป้าสะใภ้คนหนึ่งก็ไม่สามารถยุ่งเื่ภายในครอบครัวของผู้เป็น้องชายได้
ดังนั้นหลายปีมานี้ นอกจากท่านปู่ไม่มีสีหน้าที่ดีให้มารดาของนางแล้ว ชีวิตความเป็อยู่ในจวนท่านโหวของมารดาก็ผ่านไปได้ค่อนข้างเป็ดังใจยิ่ง
แต่การที่ไม่สามารถให้กำเนิดลูกหลานกับบิดาเพื่อสืบสกุลต่อไปได้ เป็หนามแหลมในใจของมารดามาโดยตลอด
นิสัยของมารดาไม่ยอมน้อยหน้าใครอยู่บ้าง แม้บนใบหน้ามักประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ในที่ลับตากลับไม่รู้ว่าเคยน้ำตาไหลพรากไปเท่าไรแล้ว
เจินจูเห็นความเสียใจทั่วใบหน้าของนาง ราวกับมีความรู้สึกบางอย่างในใจ คิดขึ้นได้ว่าคงััถูกจุดบางอย่างภายในใจของนางเข้า
ดวงตาของนางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำเพียงยิ้มและไม่ตอบอะไรต่อ
โหยวอวี่เวยจิตใจหดหู่ กล่าวพึมพำเล็กน้อย “ท่านพ่อข้าใต้หัวเข่ามีข้าเป็ลูกเพียงคนเดียว หาก้าน้องชายหรือน้องสาวล้วนยากนัก ครอบครัวเ้าดีนัก มีพี่น้องชายหญิงอยู่เป็เพื่อนกันได้”
เจินจูเลิกคิ้ว ในสภาพแวดล้อม ’การไร้บุตรไว้สืบสกุลถือเป็เื่ใหญ่หลวง’ ครอบครัวมีเพียงบุตรสาวคนเดียว คงต้องรับมือกับความกดดันหลายอย่างที่มาจากครอบครัวแล้วก็มาจากสังคม
“เอ่อ... ต่อไปครอบครัวท่านก็ต้องมีกระมัง” เจินจูกล่าวปลอบใจ
โหยวอวี่เวยเป็บุตรสาวคนโต บุตรสาวของยุคสมัยนี้แต่งงานอายุสิบหกสิบเจ็ด คลอดลูกอายุสิบแปดสิบเก้า เช่นนั้นมารดาของนางอย่างมากที่สุดคงจะสามสิบต้นๆ ยังมีโอกาสให้กำเนิดบุตรสักคนอยู่
โหยวอวี่เวยกลับส่ายหน้า “ตอนท่านแม่คลอดข้าออกมา นางคลอดยาก ร่างกายาเ็ อีกอย่างอายุก็มากแล้วด้วย คาดว่าไม่น่ามีโอกาสอีกแล้ว”
อายุมากแล้ว? เจินจูอดถามไม่ได้ “เดือนก่อนป้าสะใภ้ของข้าเพิ่งคลอดลูกผู้น้องเพศชาย นางอายุสามสิบแปดยังคลอดได้ปลอดภัยด้วยเช่นกัน หรืออายุของท่านแม่เ้ามากกว่าท่านป้าข้าหรือ?”
โหยวอวี่เวยดวงตาเป็ประกาย แต่ก็มอดลงไปอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ข้าผ่านปีนี้ไปก็จะสามสิบแล้ว ท่านแม่อายุไม่ได้มากกว่าท่านป้าของเ้า แต่ร่างกายนางพื้นฐานไม่ค่อยดี เกรงว่าจะตั้งครรภ์อีกยากนัก”
จวนท่านโหวมีตำแหน่งสูงและเงินทองมากมาย จึงขาดท่านหมอที่มีชื่อเสียงประจำจวนไปไม่ได้เลย ในเมื่อพวกเขาล้วนบำรุงรักษาไม่หาย เช่นนั้นอาจเป็ร่างกายาเ็รักษาไม่หายแล้วจริงๆ
เจินจูไม่อาจปฏิเสธได้จึงยิ้มขึ้น “บุตรสาวเป็เสื้อกันหนาวมีซับในตัวเล็กที่ใกล้ชิดบิดามารดาที่สุด [1] เอาใจใส่ดูแลและเชื่อฟังคำสอน พวกเขามีท่านก็เพียงพอแล้ว”
ใบหน้าโหยวอวี่เวยปรากฏรอยยิ้มหวานขึ้น “อื้ม ท่านพ่อข้าก็กล่าวเช่นนี้”
ราวกับมีความรู้สึกเห็นพ้องต้องกันกับคำพูดของนาง สายตาของโหยวอวี่เวยที่มองนางจึงสนิทสนมมากขึ้นชั่วขณะ
บางครั้งพรหมลิขิตระหว่างคนกับคนก็มหัศจรรย์นัก คำพูดเรียบง่ายหนึ่งประโยค สายตารักใคร่ฉันมิตรหนึ่งคู่ก็สามารถทำให้ระยะห่างระหว่างกันใกล้เข้ามาได้
เมื่อเจินจูส่งเ้านายและสาวรับใช้สามคนออกจากบ้าน โหยวอวี่เวยก็เรียก “น้องสาวเจินจูๆ” ไม่หยุดปาก
“น้องสาวเจินจู เ้ากล่าวแล้วนะ รอให้ต้นพุทราบ้านเ้ามีผลแล้ว ต้องส่งไปให้ข้าสักหน่อยด้วยล่ะ” โหยวอวี่เวยจูงมือของเจินจูกล่าวเสียงออดอ้อน
“…”
กล่าวแล้วตอนไหน ไม่ใช่เ้าพูดเองเออเองอยู่คนเดียวทั้งนั้นหรือ?
นางแค่ตอบว่า ’ต้นพุทรา’ ตอนที่โหยวอวี่เวยสอบถามว่าสองต้นริมฝั่งแม่น้ำนั่นเป็ต้นอะไรเท่านั้นเอง
ทำไมเอ่ยไปเอ่ยมาก็เปลี่ยนไปได้ ผลสุดท้ายต้องส่งลูกพุทราไปให้นางอีก
เจินจูมองรถม้าม่านสีน้ำเงินที่ไกลออกไปช้าๆ อดกุมหน้าผากไม่ได้
แม่นางผู้นี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือสายตาเฉียบคม ทำไมถึงจับจ้องของมีค่าที่สุดในลานบ้านสกุลหูได้อย่างแม่นยำเช่นนี้กัน
เจินจูมองต้นพุทราเขียวสดจนมันวาวของตนเองแล้วถอนหายใจ ยังไม่ติดผลเลย ถูกคนโหยหาเสียแล้ว
หลี่ซื่อฟื้นขึ้นมา หลังได้รู้ว่าตนเองท้องได้สองเดือนแล้วก็งุนงงไปเช่นกัน
พักนี้ร่างกายของนางรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย รอบเดือนก็เลื่อนออกไปนานมาก แต่เมื่อก่อนตอนนางร่างกายไม่ดี มักมีสถานการณ์เช่นนี้ รวมกับร้อนใจเื่เมอเมอหวัง จึงมองข้ามสถานการณ์ร่างกายไม่สบายไป
คิดไม่ถึงเลยว่า์จะมอบความน่าแปลกใจหนึ่งอย่างที่ใหญ่โตให้นาง
ทางฝั่งบ้านเก่าสกุลหูนั้นล้วนพากันมาเยี่ยมเยียนหลี่ซื่อทั้งครอบครัว
หูฉางกุ้ยนำทางหูเฉวียนฝูกับหูฉางหลินมาพูดคุยกันในห้องโถง ส่วนหวังซื่อ เหลียงซื่อ และชุ่ยจูกำลังล้อมดูอยู่ข้างเตียงหลี่ซื่อ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังซื่อหลังได้รู้ข่าวก็ไม่ได้หุบยิ้มลงเลย
เหลียงซื่ออุ้มผิงซั่นอยู่ บนใบหน้ารักษารอยยิ้มไว้ แต่รอยยิ้มกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา ลูกที่นางคลอดออกมามีมากกว่าหลี่ซื่อ ประคับประคองความภาคภูมิใจของนางอย่างสงบนิ่งมาได้ตลอด ความภาคภูมิใจส่วนนี้หลังได้คลอดผิงซั่นแล้วก็พุ่งขึ้นมาถึงขีดสุด
แต่หลี่ซื่อกลับตั้งครรภ์ขึ้นมาเช่นกัน มือที่อุ้มผิงซั่นอดรัดแน่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เด็กทารกตัวเล็กร้องไห้แผดเสียงจ้า “อุแว้ๆ”
หวังซื่อขมวดคิ้ว จ้องนางแวบหนึ่งแล้วรับเอาเด็กมา และกล่อมเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง
ระยะนี้ชุ่ยจูอยู่ในบ้านเสียส่วนใหญ่ นับั้แ่เกิดเื่ครั้งที่แล้ว หลังถูกทำให้ตื่นใจนเกินไป นางจึงลดการออกจากบ้านลง อยู่บ้านช่วยหวังซื่อทำงานบ้าน ดูแลคนป่วยและเด็กทารก บนใบหน้าเงียบสงบและนุ่มนวลที่มีลักษณะเด็กๆ ในเมื่อก่อนจางหายไปแล้ว
สกุลหูเกิดเื่มงคลขึ้น เป็ธรรมดาที่ต้องฉลองสักรอบ
หวังซื่อสั่งให้บุตรชายสองคนไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่หมู่บ้านต้าวัน ส่วนนางเองพาชุ่ยจูและพานเสวี่ยหลันไปทำงานในครัว
ส่วนเจินจูอยู่ในห้องกับหลี่ซื่อ พูดคุยเป็เพื่อนนางแล้วถือโอกาสกล่าวโน้มน้าวหนึ่งรอบ นางจำคำพูดของท่านหมอชราหลินได้ มารดาของนางคิดกังวลมากเกินไป ต้องเป็เื่ของสกุลโหยวอย่างแน่นอน
“ท่านแม่เ้าคะ เมื่อกี้ข้าส่งคุณหนูโหยวไปแล้ว นางเป็เด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างคึกคักร่าเริงอย่างมาก จิตใจไม่เลว เมื่อครู่นางยังบอกว่าอิจฉาข้าที่มีน้องเพิ่มขึ้นด้วย ข้าเลยถามไปเล็กน้อย จึงได้รู้ว่าที่แท้ครอบครัวนางมีนางเป็บุตรสาวคนเดียว มารดาของนางตอนให้กำเนิดนั้นคลอดยาก ร่างกายาเ็ ต่อมาหากจะมีลูกหลานก็ลำบาก” เจินจูเอ่ยคำพูดที่โหยวอวี่เวยกล่าวกับนางซ้ำขึ้นหนึ่งรอบอย่างไม่หยุดปาก
เพื่อกระจายความคิดของหลี่ซื่อ และขับไล่เงามืดในใจนางออกไป
“เมอเมอหวังผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไรเลย แค่ตอนได้ยินว่าท่านตั้งครรภ์ สีหน้าท่าทางก็ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง คิดไปแล้วเ้านายของนางคงพยายามไปไม่น้อยเพื่อจะได้มีลูกหลานสืบสกุล คนเช่นพวกนางนี้มักเรียกตัวเองว่าครอบครัวสะสมความดี หากกระทำเื่โเี้รุนแรงอย่างไม่เว้นว่าง ก็ทำได้เพียงเพิ่มความชั่วร้ายอำมหิตและบาปกรรมขึ้นโดยปริยาย เพื่อลูกหลานของพวกนางแล้วเื่นานนับปีที่ผ่านมาเหล่านี้ก็ไม่ควรรื้อฟื้นขึ้นมามากมายอีก ไม่ว่าจะเป็อย่างไรล้วนต้องสั่งสมบุญกุศลให้ทานมากๆ ถึงจะถูกใช่หรือไม่เ้าคะ” นางพูดฉอดๆ ต่อไป
หลี่ซื่อได้ยินเช่นนั้น จึงจมดิ่งสู่การครุ่นคิด
อย่างไรเสียคุณหนูก็เป็เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง เช่นนั้นชีวิตของนางหลายปีมานี้เกรงว่าผ่านมาอย่างยากลำบากเช่นกันกระมัง ’ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็ที่สุดของความอกตัญญูก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล’ ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ครอบครัวสามีได้ ความกดดันไม่ต้องคิดก็รู้
พอคิดได้เช่นนี้ หลี่ซื่อก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีมากขึ้นมาทันที พ่อแม่สามีโอบอ้อมอารีและปกป้องดูแล เซียงกงไร้เล่ห์เหลี่ยมทำให้คนเห็นแล้วเป็ที่ชื่นชอบสงสาร บุตรสาวบุตรชายเฉลียวฉลาดกตัญญู รวมกับตอนนี้ยังตั้งครรภ์ลูกขึ้นมาอีก นางในขณะนี้ช่างมีความสุขจริงๆ
แน่นอนว่าต้องยกเว้นเื่ของเมอเมอหวังที่ทำให้นางทุกข์ใจ
ตอนเที่ยงสกุลหูจัดตั้งโต๊ะเลี้ยงขึ้นสองตัว เชิญอาจารย์ฟางเสิงกับศิษย์ผู้ติดตามและครอบครัวซิ่วฉายหยางมาทานเลี้ยงฉลองที่บ้านทั้งหมด ผู้ที่เชิญมาพร้อมกันด้วยยังมีหัวหน้าหมู่บ้าน จ้าวหงยู่ หลิ่วฉางผิงและเจิ้งซวงหลิน
ล้วนเป็เพื่อนบ้านที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดีในวันปกติ ทุกคนมารวมตัวอยู่ด้วยกัน พูดคุยเฮฮากล่าวอวยพรหนึ่งรอบ ภายในห้องโถงบ้านสกุลหูจึงคึกคักขึ้นทันที
หวังซื่อมีความสุขมาก ทำอาหารดูแลพวกเขามากมายเต็มโต๊ะ
อาชิงกับผิงซุ่นสองคนเป็าาพุงโต [2] ทานกันจนร้องะโอย่างถึงใจ
ซิ่วฉายหยางนั่งอยู่ข้างหลิงเสี่ยน ั้แ่ทราบว่าชายชราท่านนี้ฐานะเดิมเป็จิ้นซื่อที่ซื่อสัตย์ ทัศนคติที่มีต่อเขาก็เรียกได้ว่าเคารพนบนอบ ทุกครั้งที่เจอกันล้วนน้อมคำนับโค้งกายด้วยการให้เกียรติและนับถือมากยิ่งขึ้น
จ้าวเหวินเฉียงนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงข้ามหลิงเสี่ยน บนใบหน้าก็มีท่าทางเกรงใจและเทิดทูนเช่นกัน
ไป่ิผู้เป็หลานชายเคยกล่าวกับเขาเป็พิเศษว่า ทั่วทั้งหอสมุดไท่ผิงมีผู้สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่นเพียงสองคนเท่านั้นเอง ภายในบริเวณรอบนอกร้อยลี้ตำแหน่งจิ้นซื่อนับได้ว่า เป็ผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านเื่มามากที่สุดแล้ว
หากได้รับการเอาใจใส่และดูแลจากผู้าุโหลิง ชี้แนะการศึกษาเล่าเรียนเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่นนั้นการสอบสนามชนบทของไป่ิก็ไม่ใช่ว่ายิ่งมั่นใจขึ้นได้หรือ
ที่จ้าวเหวินเฉียงรู้ฐานะของหลิงเสี่ยน เพราะหูฉางกุ้ยตั้งใจมาหาและแจ้งเขาเป็พิเศษครั้งหนึ่ง เดิมทีนี่ก็ไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อะไร ผ่านระยะเวลาการเป็นักโทษเนรเทศมา เบื้องบนล้วนหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งต่อคนเหล่านี้ทั้งสิ้น มีความสามารถให้สินบนออกมาได้ ขอแค่ไม่ทำความผิดอีกล้วนไม่มีทางสอบถามอะไรมากมายนัก
สองฝ่ายต่างเคารพนบนอบและเทิดทูนหลิงเสี่ยน เมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารจึงสุภาพเป็อย่างมาก
แต่หลิงเสี่ยนกลับกล่าวสุภาพกับพวกเขาสองสามที แล้วจึงพูดคุยร่ำสุรากับหูเฉวียนฝูที่นั่งอยู่ข้างกายเขา
หูเฉวียนฝูประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญอยู่บ้าง เป็ชาวนามาครึ่งชีวิต มีจิ้นซื่อที่มีวิชาความรู้ความสามารถสูงเช่นนี้มาพูดคุยและร่ำสุรากับเขา เขาจะใจเย็นและเป็ธรรมชาติได้อย่างไร
หลิงเสี่ยนฐานะเดิมก็เป็ครอบครัวต่ำต้อยเช่นกัน งานใช้แรงต่างๆ ของครอบครัวเกษตรกรเขาล้วนคุ้นเคย เขาพูดคุยเื่เมื่อก่อนที่เคยทำไร่ไถนากับหูเฉวียนฝู ทั้งสองคนคุยกันไปชั่วขณะจนเข้าขากันอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ชายชราสองคนยังอายุใกล้เคียงกัน พอได้พูดคุยขึ้นมาก็ยิ่งถูกชะตากันมากขึ้น
ผู้ชายหนึ่งโต๊ะทานอาหาร ดื่มสุรา และพูดคุยกันไปต่างๆ นานา
โต๊ะผู้หญิงทางด้านนี้ มารดาของอาหยุนกำลังหัวเราะและพูดคุยเื่ลูกกับหลี่ซื่อ นางอิจฉาชื่นชมและยินดี นางมีอาการป่วยของโรคหัวใจ ท่านหมอเคยบอกแล้ว ว่าร่างกายของนางไม่เหมาะให้ตั้งครรภ์อีก ดังนั้นหลายปีมานี้เลยมีบุตรเพียงอาหยุนคนเดียว
ผู้ที่นึกอิจฉาเหมือนกัน ยังมีจ้าวหงยู่ นางชอบเด็กแล้วก็เคยตั้งท้องลูก แต่ถูกเหลียงหู่ถีบหนหนึ่งจนแท้งลูกไป เื่นี้นางไม่เคยบอกผู้ใดเลย แค่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดไร้เสียงผู้คนก็จะคิดถึงลูกที่ไม่มีวาสนาต่อนางเป็บางครั้งบางคราว
หัวข้อของพวกนางล้วนวนอยู่เกี่ยวกับลูก ส่วนเจินจูและชุ่ยจูพูดคุยกันตามประสาพี่สาวน้องสาว
“พี่รอง หลายวันมาแล้วทำไมท่านไม่มาหาข้าที่บ้านบ้างเลย เอาแต่อยู่ในบ้านทำอะไรกัน?”
“ฮ่าๆ ที่บ้านยุ่งนี่นา ทุกวันสัตว์เลี้ยงหนึ่งฝูงก็ต้องให้อาหาร แล้วยังต้องช่วยท่านแม่ดูแลผิงซั่นอีก งานเย็บปักก็ต้องฝึก จะเอาแต่วิ่งมาบ้านเ้าได้อย่างไรกัน”
ชุ่ยจูเม้มปากหัวเราะเบาๆ หน้าตาที่ดูโตขึ้นสวยสง่าและเงียบสงบ
ฝึกงานเย็บปัก? เจินจูเบะปากอย่างรังเกียจ
ชุ่ยจูเห็นอยู่ในสายตาจึงอดหัวเราะ “พรืด” ออกมาไม่ได้
เจินจูมองบนใส่นางหนึ่งที ยื่นมือออกไปเริ่มจั๊กจี้นางขึ้น
สองคนหัวเราะจอแจใส่กันอย่างกลมเกลียว
เชิงอรรถ
[1] บุตรสาวเป็เสื้อกันหนาวมีซับในตัวเล็กที่ใกล้ชิดบิดามารดาที่สุด เป็การเปรียบเปรย หมายถึง บุตรสาวมีความละเอียด อ่อนโยน ใส่ใจ และสามารถดูแลบิดามารดาได้ ไม่เหมือนกับความเป็ผู้ชายที่แข็งกระด้าง
[2] าาพุงโต หมายถึง คนที่ชอบทานของอร่อย ทานได้เยอะ ทานได้มาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้