มู่จื่อหลิงกัดริมฝีปากล่าง กะพริบตา ดึงแขนเสื้อของหลงเซี่ยวอวี่เบาๆ มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน
หลงเซี่ยวอวี่บอกนางเมื่อไม่นานมานี้ ไม่มีใครสามารถขอให้นางทำในสิ่งที่นางไม่อยากทำได้
ดังนั้นในยามนี้นางจึงไม่อยากตรวจโรคให้แม่มดเฒ่า แต่แม่มดเฒ่าไม่ใช่คนธรรมดา นางไม่สามารถรับมือได้
ั้แ่ต้นจนจบ หลงเซี่ยวอวี่แสดงท่าทีเฉยเมยมาโดยตลอด ให้หญิงสาวตัวน้อยของเขาพูดจาหยาบคายต่อหน้าแม่มดเฒ่าผู้นี้ตามอำเภอใจ
ยามนี้จากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของมู่จื่อหลิง...ในใจเขามีความสุขมาก แต่เขายังคงแสร้งทำเป็ไม่รู้ด้วยใบหน้าเฉยเมย
ในยามนี้หญิงโง่ผู้นี้้าความช่วยเหลือจากเขา ทั้งยังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อย่างระแวดระวัง...ไม่มีความจริงใจเลย ดังนั้นเขาจะไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ
ไทเฮาทรงรอคอยมาเนิ่นนาน มู่จื่อหลิงไม่เพียงไม่เข้ามา นางไม่แม้แต่จะส่งเสียงด้วยซ้ำ
ั์ตาของไทเฮาหรี่ลงเล็กน้อยในทันที มีร่องรอยความโกรธฉายอยู่ในดวงตา
ยามได้รับคำสั่งของนาง มู่จื่อหลิงยังคงนิ่งเฉย ไม่ขยับ ไม่พูดอะไร หากหันมองนางคงไม่เป็อะไร แต่นี่มู่จื่อหลิงกลับมองตรงไปที่หลงเซี่ยวอวี่ สิ่งนี้ทำให้ไทเฮาทรงเดือดดาลยิ่งขึ้นไปอีก
เห็นได้ชัดว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ไม่คิดที่จะเหลียวแลไทเฮาผู้ยิ่งใหญ่อย่างนางเลย...แม้ว่าใจจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่ยามนี้นางกำลัง้าความช่วยเหลือจากผู้อื่น จึงไม่อาจปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีเหยียดหยามดั่งก่อนหน้าได้
ไทเฮาสูดหายใจลึกๆ ระงับไฟที่โหมกระหน่ำในใจ อดกลั้นถามช้าๆ อีกครั้งว่า “ว่าอย่างไร? อายเจียแค่ให้เ้าตรวจชีพจรและดูว่ามียารักษาโรคนอนไม่หลับนี้หรือไม่ เหตุใดแม้แต่ตรวจชีพจรเ้าก็ไม่ยอมเข้ามา?”
น้ำเสียงที่ดูเชื่องช้านุ่มนวลของไทเฮาเหมือนจะแฝงนัยแห่งการหยอกเย้าเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็การยั่วยุ
แต่สิ่งที่ไทเฮาพูดนั้นถูกต้องเพียงครึ่งเดียว โรคนอนไม่หลับที่แม้แต่หมอหลวงาุโแห่งราชสำนักก็ไม่สามารถรักษาได้ ในมุมมองของมู่จื่อหลิงกลับเป็อาการนอนไม่หลับธรรมดาเท่านั้น
แต่น่าเสียดาย วิธีการก้าวร้าวของไทเฮาอาจใช้ได้กับผู้อื่น แต่กับมู่จื่อหลิง ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์เท่านั้น ยังทำให้ในใจนางชิงชังไทเฮามากยิ่งขึ้น
ไทเฮาทรงดูถูกทักษะทางการแพทย์ของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางจะเป็อย่างไรก็ตาม นางก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้นนางจึงไม่แสดงพลังให้เห็นว่านางแข็งแกร่งเพียงใด แต่...มู่จื่อหลิงปล่อยแขนเสื้อของหลงเซี่ยวอวี่ รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ประกายเ้าเล่ห์ฉายแววในดวงตา
หลงเซี่ยวอวี่ผู้ไม่เคยละสายตาจากมู่จื่อหลิง ทั้งยังคุ้นเคยกับท่าทางของนางมากที่สุด
รอยยิ้มฉายชัดในดวงตาของเขา เขาเดินอ้อมหลังมู่จื่อหลิงอย่างเงียบๆ เดินตรงไปที่ที่นั่งถัดไป แล้วนั่งลง
รอชม!
ชมสิ่งที่จะเกิดตามมา คำพูดเพียงคำเดียวของมู่จื่อหลิงก็สามารถกระตุกใจของไทเฮาได้
“สิ่งที่ไทเฮาทรงตรัสมานั้นเป็ความจริงอย่างยิ่ง เป็เพียงอาการนอนไม่หลับเล็กน้อย ไม่ใช่เื่ใหญ่ หลิงเอ๋อร์ย่อมมีหนทางแก้ไข” มู่จื่อหลิงกล่าว ค่อยๆ หันไปมองไทเฮาพร้อมกับส่งยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่...”
มู่จื่อหลิงยอมรับในสิ่งที่ไทเฮาพูดตามตรง ยอมรับว่าการนอนไม่หลับของไทเฮาสามารถรักษาให้หายได้ แต่จะให้นางรักษาไทเฮาให้หายขาดได้นั้น? เป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
เหตุที่นางกล่าวออกมาเช่นนี้ เพราะ้าให้ไทเฮาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่บ้าคลั่งและรุนแรงราวกับเนื้อติดมันเกือบเข้าปาก [1] แต่กลับไม่สามารถลิ้มรสได้
เมื่อพิจารณาจากสภาพจิตใจในยามนี้ของไทเฮาแล้ว นางคงกำลังฝันอยู่ กำลังคิดว่าตนจะได้นอนหลับอย่างสบายตลอดคืน
แต่การหลับใหลอันงดงามนี้ เป็สิ่งเกินตัวอย่างยิ่งสำหรับไทเฮา เป็เพียงสิ่งที่ฝันได้แต่ไม่อาจได้มา
แน่นอนว่าการแสดงของไทเฮาไม่ทำให้นางผิดหวัง
“แต่อะไร?” เมื่อได้ยินมู่จื่อหลิงกล่าวว่าสามารถรักษาอาการนอนไม่หลับได้ ในพริบตาดวงตาสีเข้มของไทเฮาก็ฉายแววสดใส ก่อนจะแสดงท่าทางสง่างามและมีภูมิฐาน
อย่างที่ทราบกันดี น้ำเสียงที่ตึงเครียดและกระตือรือร้นของไทเฮา ได้เผยให้เห็นความลำบากใจออกมา
ด้านข้างหมอหลวงหลินซึ่งเคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของมู่จื่อหลิงมาก่อน อาการนอนไม่หลับของไทเฮานั้นดูธรรมดา เขาพยายามจัดยาที่เหมาะสมกับโรค แต่กลับไม่เป็ผล ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ว่ามู่จื่อหลิงจะรักษาได้อย่างไร
หมอหลวงหลินฟังอย่างตั้งใจ
แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่ามู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อลงโทษไทเฮา แต่เพื่อเล่นตลกกับไทเฮา
มู่จื่อหลิงยังคงยิ้มบางๆ สีหน้าสงบ จงใจพูดเน้นอีกครั้ง “แต่...”
แต่ประเด็นคือ...เหตุที่นางกล้าทำกับไทเฮาถึงขนาดนี้โดยไม่กลัวตาย แน่นอนว่าเป็เพราะมีฉีอ๋องที่จะช่วยจบเื่นี้ให้
ยามมองไปที่พระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของไทเฮา มู่จื่อหลิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เชิดคางเรียวบางขึ้น แล้วยิ้มออกมา
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงไม่พูดอะไร เห็นเพียงรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของนาง เมื่อเห็นเช่นนี้ ไทเฮาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?
มีเงื่อนไขอะไรบ้าง? ยากที่จะพูดในยามนี้หรือ?
ไทเฮายืนยันข้อสันนิษฐานนี้ในทันที
หากนางไม่ถูกทรมานด้วยฝันร้ายทุกวันคืน ทั้งนอนไม่หลับทั้งกินไม่ได้ นางจะยอมให้ยายเด็กหน้าเหม็นทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร? จะยอมให้นางทะลึ่งมาสร้างเงื่อนไขของตนได้อย่างไร?
ยังคิดถึงเื่รางวัลอยู่หรือ เป็ได้แค่ความฝัน! ไทเฮาพึมพำในใจอย่างเ็า
แต่ยามนี้...สถานการณ์ของตนร้ายแรงกว่า ต้องยอมปล่อยนางไปก่อน ในภายภาคหน้ายังมีโอกาสที่จะฆ่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ได้อีก ไทเฮาคิดถึงความเป็ไปได้ทุกประเภทในชั่วพริบตา
นางโบกมือ พูดอย่างสง่างาม “ตราบใดที่สามารถแก้ปัญหาของอายเจียได้ อายเจียจะมอบรางวัลให้ตามที่เ้า้า”
เดิมคิดว่าไทเฮาสามารถไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงส่งนี้ได้ทีละขั้น สมองของนางย่อมไม่โง่เขลานัก แต่ยามนี้...เมื่อเห็นไทเฮาทรงทอดพระเนตรมาอย่างโอบอ้อมอารี มู่จื่อหลิงรู้สึกเพียงว่า ตนกำลังเป็ไก่ที่คุยกับเป็ด [2]
การแสดงออกของนางยังไม่ชัดเจนหรือ? แม่มดเฒ่าเข้าใจผิดเื่นี้ได้อย่างไร? นางดูเป็คนโลภมากเช่นนั้นหรือ? มู่จื่อหลิงตกอยู่ในความสับสนทันที
หากเป็สถานการณ์อื่นก็ช่างมันเถอะ บางทีนางอาจจะมอบสิ่งที่ดีให้กับแม่มดเฒ่าผู้นี้จริงๆ แต่ยามนี้...มันเป็เื่ยาก
เนื่องจากความลังเลที่จะพูด นางจึงถูกไทเฮาเข้าใจผิดในพฤติกรรมของตน มู่จื่อหลิงไม่้าเล่นสนุกอีกต่อไป นางตรงเข้าประเด็นในทันที
สะกิดปัญหาใหญ่ตามตรง ในแบบที่หากไม่มีฉีอ๋องคงเกิดคำถามว่ามันจะจบลงได้อย่างไร?
เมื่อเห็นหลงเซี่ยวอวี่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างพึงพอใจ ด้วยคิดว่ายามนี้เขาไม่ได้รับการขอความช่วยเหลือ แต่ในครั้งนี้พฤติกรรมของมู่จื่อหลิงก็ชัดเจนขึ้น
มู่จื่อหลิงเดินตรงไปตรงหน้าหลงเซี่ยวอวี่อย่างเย่อหยิ่ง จ้องมองเขานิ่งโดยไม่พูดอะไร
หลงเซี่ยวอวี่ไม่ตอบสนองราวกับว่าเขาไม่รู้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังจ้องมองมาที่เขา
มู่จื่อหลิงก้มลง จับมือของเขาที่วางอยู่บนเข่า แล้วเขย่าอย่างแรง จนสั่นไปถึงแขนของเขาอยู่สองครั้ง
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เปลือกตาของเขาเลิกเล็กน้อย เผชิญหน้ากับดวงตาใสที่มีประกายความสดใสของมู่จื่อหลิง
ดวงตาใสคู่งามของนางเคลื่อนไหว ความชื้นเป็ประกายในดวงตา ดวงตามีแววขอความช่วยเหลืออย่างตรงไปตรงมา ตรงไปตรงมาเป็อย่างมาก
มองมาเพียงแวบเดียว
ทันใดนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ซึ่งเ็าราวกับน้ำแข็งอยู่เสมอ ่เวลานี้กลับเปล่งประกายแสงนุ่มนวล ดวงตาเรียบเฉยที่กำลังจ้องมาที่นางอบอุ่นอย่างมาก
มู่จื่อหลิงตัวน้อยกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่ารักน่าชัง กลิ่นอายที่กันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ชิดได้ของเขาอ่อนลง
หลงเซี่ยวอวี่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหญิงตัวเล็กผู้นี้หมายถึงอะไร แต่เขายังคงกะพริบตา ถามด้วยท่าทางเสแสร้ง “มีอะไรหรือ?”
ดวงตาสีเข้มของเขาส่องประกายราวกับดวงดาว ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ทำให้คนลุ่มหลง เพียงแค่จ้องมองมู่จื่อหลิงก็ทำให้นางเกิดความมึนเมา
ยามถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้น มู่จื่อหลิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนโต้ตอบ
ชายผู้นี้รู้ว่านางไม่สามารถรับมือได้ แต่เขากลับแสร้งทำเป็ไม่รู้ ทั้งยังจงใจเดินมานั่งอยู่ตรงนี้ มายามนี้ยังกล้าถามอย่างรู้เท่าทันอีก หมั่นไส้!
มู่จื่อหลิงปล่อยแขนเสื้อของหลงเซี่ยวอวี่ แอบกัดฟันกรอดๆ จ้องมองเขาแต่ไม่พูดอะไร
มีอะไรหรือ? นางจงใจก่อปัญหา เพื่อรอให้ฉีอ๋องช่วยชำระล้างมัน
สีหน้าของมู่จื่อหลิงดูไม่เต็มใจจะพูดเล็กน้อย ทำหน้าตาบูดบึ้ง...เบือนหน้าหนี ในเมื่อรู้ว่านาง้าพูดอะไร ในใจคิดอะไรอยู่
เขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่นางจ้องมองเขาด้วยความโกรธเคือง
ทั้งสองจ้องตากันเนิ่นนาน แต่ในสายตาของคนนอก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง ความหมายในการจ้องมองไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง
อย่างที่ทุกคนทราบ ไทเฮามองดูพฤติกรรมที่มู่จื่อหลิงกระทำต่อหลงเซี่ยวอวี่ ดวงตาของนางลุกโชนด้วยไฟ ขมับทั้งสองข้างของนางกระตุก ราวกับว่านางจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว
ไทเฮาตบที่วางแขนของเก้าอี้อย่างแรง กัดฟัน ร้องะโด้วยความโกรธ “มู่จื่อหลิง เ้าช่างกล้าหาญนัก เ้ากล้าหยอกล้ออายเจียหรือ เข้ามา!”
แต่กลับไม่รู้ว่าไม่เพียงแต่มู่จื่อหลิงจะไม่ใกับความโกรธของไทเฮา นางเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆ...ในที่สุดไทเฮาก็ััได้ถึงความรู้สึกของนางได้เสียที!
ด้วยเสียงเรียกของไทเฮา ทหารองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่และสง่างามหลายคนถือดาบพุ่งเข้ามาจากนอกประตู
แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวกับกลิ่นอายอันทรงพลังของฉีอ๋องที่นั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษร จึงหยุดลงทันที พวกเขายืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ธรณีประตูไม่กล้าก้าวเข้าไป
มู่จื่อหลิงขยับศีรษะอย่างใจเย็น มองไปที่ทหารองครักษ์อย่างเฉยเมย ปราศจากความกลัวใดๆ
จากนั้น นางจึงหันศีรษะไปมองไทเฮาเงียบๆ ปากของไทเฮาแบนราบ ส่วนนางทำท่าเสียใจมาก “หลิงเอ๋อร์จะกล้าหยอกล้อท่านได้อย่างไร เพียงแต่ต้องถามฉีอ๋องเกี่ยวกับการรักษา”
ความหมายก็คือ หากฉีอ๋องอยากให้นางรักษา นางก็จะรักษา แต่หากฉีอ๋องไม่ให้นางรักษา นางก็จะไม่รักษา
จากนั้น มู่จื่อหลิงก็ทำหน้ามุ่ยใส่หลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง “หลิงเอ๋อร์กำลังขอความคิดเห็นจากเขาอยู่นะเพคะ”
การขอความช่วยเหลือนั้นเปล่าประโยชน์ มู่จื่อหลิงจึงตั้งคำถามต่อหลงเซี่ยวอวี่อย่างโจ่งแจ้ง แต่ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางยิ่งเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนอย่างไม่ต้องสงสัย
จะให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้รักษานาง ยังต้องถามหลงเซี่ยวอวี่?
การรักษานางผู้เป็ถึงไทเฮา ต้องให้ฉีอ๋องยินยอมด้วยหรือ?
ไทเฮาเพียงรู้สึกหน้าผากกระตุก รู้สึกเืลมลุกโชนราวกับนางกำลังก้าวทวนกระแสน้ำ [3]
ในชั่วพริบตา ไทเฮาทรงหงุดหงิดพระทัยมาก เผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากธรณีประตู ไม่กล้าก้าวเข้ามาใกล้กว่านี้ นางเปล่งเสียงด้วยความโกรธ “เ้ากำลังทำอะไรอยู่ เ้าไม่อยากมีหัวแล้วหรือ?”
จากนั้น นางชี้ไปที่มู่จื่อหลิงด้วยนิ้วที่สั่นเทาด้วยความโกรธ “รีบเข้าไปจับตัวยายเด็กหน้าเหม็นผู้ดื้อรั้นและมีความผิดผู้นี้เร็วเข้า”
องครักษ์หลายคนรู้ว่ายายเด็กหน้าเหม็นที่ไทเฮาตรัสถึงคือฉีหวางเฟย
พวกเขายังรู้อีกว่าคนที่นั่งตรงนั้นคือฉีอ๋องผู้น่าเกรงขาม พวกเขายังรู้ด้วยว่าฉีอ๋องมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าไม่ใกล้ชิดกับผู้หญิง
ดังนั้น...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เนื้อติดมันเกือบเข้าปาก (到嘴的肥肉) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ประโยชน์ที่จะได้รับ หรือกำลังจะได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เป็เื่ดี
[2] ไก่ที่คุยกับเป็ด (鸡同鸭讲) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ทั้งสองฝ่ายที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้เนื่องจากอุปสรรคทางภาษา หรือคุยกันไม่รู้เื่
[3] ก้าวทวนกระแสน้ำ (逆流而上) เป็สำนวน มีความหมายว่า ต้องเผชิญกับความยากลำบาก