Chapter 1
ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ
เสียงฝีเท้าของนักเรียนต่างโรงเรียนที่วิ่งตามมาไม่ต่ำกว่าห้าคนเป็เหมือนเสียงกำลังใจที่ทำให้ ‘คนที่ไม่ได้ตั้งใจเรียกตีน’ โกยเท้าวิ่งได้เร็วขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”
ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ
“ไม่หยุดหรอกจ้า...”
“กูบอกให้มึงหยุดไง ไอ้สัด!!”
“หยุดก็ตายสิจ๊ะ...ไอ้พวกโง่!!”
แม้จะรู้ดีว่าการะโต่อล้อต่อเถียงกับคู่อริต่างโรงเรียนเป็การยั่วยุให้อีกฝ่ายอารมณ์เดือดดาลมากกว่าเดิม และเมื่อพวกมันโมโหมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นด้วย นั่นจึงหมายความว่าเขาจะโดนพวกคู่อริตามมากระชากิญญาในไม่ช้า แต่มันก็อดเถียงกลับไปไม่ได้จริง ๆ
มีที่ไหนอะ...
ะโบอกคนที่พวกมึงจ้องจะกระทืบให้หยุดวิ่ง
มึงบ้าปะ!!
ใครเขาจะหยุดให้พวกมึงงงง...
และเพราะเขาไม่ยอมหยุดให้พวกมันกระทืบง่าย ๆ ตอนนี้จึงต้องสวมบทบาทเป็นักวิ่งตีผีเพื่อเอาชีวิตรอด อีกทั้งสายตายังคอยกวาดหาที่หลบด้วย แต่ทว่าเสียงเรียกหนึ่งจากคู่อริก็ทำให้เกือบชะงักฝีเท้าได้จริง ๆ
“ไอ้เหี้ย!!!”
“หยุด! กูบอกให้หยุด! แฮ่ก ๆ”
ถ้าครั้งนี้ ‘เฮีย’ จะโดนกระทืบตายคาซอยที่เป็ทางเชื่อมไปยังหลังโรงเรียน เขาจะไม่โทษคนพวกนั้นเลย แต่จะโทษเพื่อนสนิทตัวเองแทน เพราะบรรดาเพื่อนสนิทมักจะเรียกชื่อเขาเพี้ยนจาก ‘เฮีย’ เป็ ‘เหี้ย’ บ่อย ๆ
มันจึงไม่แปลกที่เฮียเกือบจะหยุดวิ่งเมื่อได้ยินคู่อริะโเรียกว่า ‘ไอ้เหี้ย’ ทว่าดีที่เขาเป็คนมีไหวพริบพอสมควร เฮียจึงโกยเท้าวิ่งต่อโดยไม่ลดความเร็วลงเลย ก่อนจะหันหลังไปะโใส่พวกคู่อริว่า...
“อย่าคิดว่ากูจะหลงกลพวกมึง...”
“...”
“กูชื่อ ‘เฮีย’ เว้ย ไม่ได้ชื่อ ‘เหี้ย’ ”
“จะชื่อเหี้ยอะไรก็ช่าง มึงไม่รอดแน่!”
“ไอ้ควาย! ...กูไม่กลัวมึงหรอก!”
แม้ว่าปากจะเอ่ยไปแบบนั้น แต่ภายในใจกลับคิดอีกอย่าง เฮียคิดว่า ‘พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยลูกจ๋าด้วย โรงเรียนอยู่อีกตั้งไกล ลูกจะวิ่งไม่ไหวแล้วโว้ยยยย’
และเฮียรู้ดีว่าการที่นึกถึงซอยย่อยที่อยู่อีกไม่ไกล ไม่ได้เกิดจากพ่อจ๋าแม่จ๋าที่ส่งกระแสจิตมาชี้ทางสว่าง หากแต่เป็สัญชาตญาณเอาตัวรอดของเขาเอง เฮียคิดว่าถ้าวิ่งเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบ ๆ ขนาดสองคนเดินผ่านกันได้ เขาก็อาจจะรอดพ้นจากตีนนับสิบ
แต่นั่นไม่ใช่เพราะพวกมันจะวิ่งตามเขาไม่ทัน หากวิ่งเข้าไปในซอยแคบ ๆ นั้นได้แล้ว แต่เป็เพราะมันเป็ทางพาไปยัง ‘ร้านขายน้ำปั่น’ ที่กลุ่มเพื่อนของเขาชอบแวะนั่งกันก่อนจะเข้าโรงเรียน เมื่อรู้ว่ายังพอมีความหวังอยู่บ้าง เขาจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายโกยเท้าวิ่งให้เร็วที่สุด
แล้วพอวิ่งเข้าใกล้ปากซอยแคบ ๆ นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างในชีวิต แต่ทว่าเท้าทั้งสองข้างที่สับเร็วยิ่งกว่ารถไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนรางก็ทำให้รู้สึกเหมือนจะหยุดตัวเองไม่ได้
ถ้าเลยซอยนี้ไปนะ ไอ้เฮีย...
มึงเตรียมตัวตายได้เลย...
ดวงตาเรียวรีเพ่งมองไปยังปากซอยนั้น พร้อมทั้งนับถอยหลังในใจเมื่อเข้าใกล้เข้าไปทุกที...
ห้า
สี่
สาม
สอง
หนึ่ง
ขวับ!!
ในจังหวะที่เฮียกำลังวิ่งเลี้ยวเข้าไปในซอย นอกจากพละกำลังจากหน้าแข้งที่ส่งตัวเองเข้าไปในนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนโดนซอยแคบ ๆ นั้นดูดเข้าไป แต่หากตั้งสติดี ๆ ก็จะรู้ว่าเขาโดนใครบางคนที่ยืนอยู่บริเวณปากซอยยื่นมือมาคว้าแขนแล้วดึงเข้ามาในซอยอย่างแรง
แล้วแรงดึงรั้งจากฝ่ามือหนาก็เหวี่ยงร่างของเขาเข้ามาแนบชิดกับคนตัวสูงใหญ่ เฮียกวาดสายตามองลวก ๆ ที่บริเวณเสื้อนักเรียนสีขาว พอเขาเห็นชื่อจริงกับนามสกุลที่ปักอยู่บนเสื้อนักเรียนแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ดวงตาเรียวรีรีบละออกจากชื่อ ‘ปราชญ์ ปาณะ’ แล้วเลื่อนขึ้นมองใบหน้าของคนตัวสูงกว่าทันที เขาจึงเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่รุ่นน้องในโรงเรียนต่างพากันชื่นชมว่า ‘หล่อหน้าหยก’
แต่เพราะความหล่อของเพื่อนสนิทไม่ได้มีผลต่อจิตใจเขา คนที่ใจนหัวใจหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้นจึงเอ่ยออกไปอย่างหัวเสีย
“ไอ้สัดเรียว...กูใหมด!!”
“เป็ยังไง? หนีตีนคนเดียว ตื่นเต้นดีไหม?”
“ตลกเหอะ ไอ้สัด”
‘เรียว’ หรือ ไอ้เรียว หนึ่งในเพื่อนสนิทของเขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะหันไปมองทางปากซอย หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบที่วิ่งเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วเสียงสนทนาอันดุดันปนแค้นเคืองของคู่อริก็เรียกความสนใจจากเราสองคนเป็อย่างดี
ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ
“มันวิ่งเข้าไปในซอยนั้น!!”
“คิดว่าจะรอดเหรอไอ้เหี้ย!!”
เฮียละสายตาจากปากซอย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเรียวยาวอีกครั้ง เพราะไอ้เรียวหันกลับมามองเขาเหมือนกัน เราจึงได้สบตากันในระยะประชิด ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่ว่า ‘ต่อให้มีมันแค่คนเดียว ไอ้เรียวก็จะพาเขารอดตายได้’
เพราะไอ้ห่านี่อะ...
ไม่เคยทิ้งเขาไว้ข้างหลัง...
ไม่มีเลยสักครั้ง...
“รีบไปกัน ก่อนที่พ่อมึงจะตามมากระทืบถึงที่...”
“พวกมันไม่ใช่พ่อกู!”
“แล้วพ่อมึงคือใคร?”
“คนที่กูจะยอมเรียกว่าพ่อ รองจากพ่อแท้ ๆ ของกู มีแค่ไอ้ฟ้าคนเดียวเท่านั้น”
เฮียรู้ดีว่าเพื่อนสนิทจะคาดเดาคำตอบของเขาได้ หลังจากโยนคำถามนั้นมาให้ แล้วพอคำตอบเป็อย่างที่มันคิดไว้ ไอ้เรียวก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอด้วยความขบขัน
ไอ้ฟ้า หรือ ‘หมื่นฟ้า’ คือหนึ่งในเพื่อนสนิทของเฮียเหมือนกัน พวกเราเรียนอยู่ห้องเดียวกันมาั้แ่ ม.4 จนถึงปัจจุบันที่เรียนอยู่ ม.6 แม้ว่ากลุ่มเพื่อนของพวกเราจะมีคนอยู่เยอะมาก แต่พวกเราก็สนิทกันแทบทุกคน
แล้วเหตุผลที่เขายอมเรียกเพื่อนสนิทตัวเองว่า ‘พ่อ’ ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็แค่เพื่อน ไม่สามารถเทียบกับพ่อจริง ๆ ได้ ก็เพราะว่าไอ้ฟ้าเป็เพื่อนที่โหดที่สุดในกลุ่ม เื่ต่อยตีกับเด็กโรงเรียนอื่นของมันไม่เป็สองรองใคร เขารอดตายมาหลายครั้งก็เพราะมีไอ้ฟ้ามาช่วยไว้ และรอดตีนอีกหลาย ๆ ครั้งก็เพราะมีไอ้เรียวมาช่วยไว้อีกเหมือนกัน
เออ...
สรุปง่าย ๆ นะ...
ไอ้เฮียคนนี้เป็แผนกเรียกตีน...
เรียกตีน (แบบไม่ตั้งใจ) ตลอดเลยจ้า...
คำว่า ‘พ่อ’ ที่มอบให้ไอ้ฟ้าจึง ‘ไม่ใช่พ่อที่แปลว่าพ่อ’ แต่มันหมายความว่า ‘มึงโหดเหลือเกินพ่อ’ และ ‘มึงเท่แล้วก็หล่อบาดใจเหลือเกินพ่อ’ ความหมายของคำว่า ‘พ่อฟ้า’ มันมีเท่านี้เลย และเพราะว่าบางครั้งเฮียอยากจะ โหด เท่ และหล่อเหมือนมันบ้าง เขาจึงสถาปนาตัวเองเป็ลูกของมันไปซะเลย
ลูกไม้จะได้หล่นไม่ไกลต้นไง...
แต่ทั้งหมดนี้...มันก็เป็แค่เื่ขำขันที่พวกเราเอาไว้คุยเล่นกันในกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้มีใครคิดจริงจังอะไร แต่สิ่งที่พวกเราจริงจังมาก คือการที่จะต้องไม่มีเพื่อนคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพียงลำพัง
เหมือนอย่างเช่นในตอนนี้ที่ไอ้เรียวพยักหน้าเป็เชิงชวนออกวิ่ง มันผละมือออกจากแขนของเขาที่จับไว้ั้แ่แรก แล้วเปลี่ยนมากุมมือเขาแทน ก่อนจะพาออกวิ่งไปในซอยแคบ ๆ นั้น
เพราะไอ้เรียววิ่งนำเขาไปหลายก้าว นั่นจึงทำให้มันต้องคอยหันหลังมามองเขาเป็ระยะ แล้วมันก็เผยรอยยิ้มแบบที่ทำให้รุ่นน้องในโรงเรียนใจละลาย ตอนนี้เฮียคิดว่า ‘มันหล่อจนน่าหมั่นไส้ หล่อจนอยากด่าให้หายหล่อ’
“ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง?”
“...”
“คิดว่าหนีตีนเป็เื่สนุกเหรอ ไอ้สัด!”
คนตัวสูงใหญ่ไม่ได้ตอบอะไร ไอ้เรียวทำแค่หัวเราะในลำคอเหมือนเดิม แล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้า เขาจึงชะเง้อคอมองปลายทางที่พาไปยังร้านขายน้ำปั่นเหมือนกัน และก็พอจะเห็นว่าปลายทางอยู่อีกไม่ไกลมากแล้ว
แต่ทว่าเสียงฝีเท้านับสิบของคู่อริก็ยังตามมาหลอกหลอนไม่หยุด พอเฮียหันหลังไปมองข้างหลังตัวเองก็เห็นพวกคู่อริถือไม้หน้าสามวิ่งตามมาห่าง ๆ เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะวิ่ง พร้อมเอ่ยอย่างเอือมระอา
“โธ่! ลูกอีช่าง...”
“ไอ้เหี้ย! แฮ่ก ๆ ...หยุดได้แล้ว ไอ้สัด!”
“พวกมึงนั่นแหละ จะหยุดได้ยัง!” เฮียะโตอบกลับคู่อริที่วิ่งหอบเป็หมา
“...”
“...เ้าคิดเ้าแค้นจริง ๆ เลยพวกมึงเนี่ย”
“...”
“ตอนเรียนตั้งใจขนาดนี้ไหม?”
หลังจากโยนคำถามกลับไปให้พวกหมาล่าเนื้อแล้ว เฮียก็เริ่มเหนื่อยหอบไม่ต่างกัน เขาหันกลับมามองทางข้างหน้า แล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อยที่เห็น ‘เพื่อนยังไม่ปล่อยมือกัน’
คนที่ยังจับมือเฮียไว้แน่นหัวเราะ แล้วจึงเอ่ยถาม “มึงถามพวกมันเหรอ?”
“เออดิ!”
“งั้นจะหยุดรอคำตอบจากพวกมันไหมล่ะ?”
“นับเป็การล้อเล่นที่เหี้ยมาก…”
เป็เหมือนเดิมที่ประโยคคำพูดของเฮียจะเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนสนิทได้ หากแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ภูมิใจในความตลกของตัวเองสักเท่าไร นั่นคงเพราะตอนนี้เฮียไม่สนใจอะไรนอกจาก ‘อยากรอดจากวิกฤติสิบตีนจะแย่แล้วโว้ยยยย’
“ข้างหน้าแล้ว”
“ฮือออ...ถึงสักทีเถอะ กูวิ่งจนขาปัดไปหมดแล้ว”
เฮียร้องครวญครางได้ไม่นานนัก เพื่อนสนิทก็พาวิ่งออกมาจากซอยแคบ ๆ นั้น แล้วก็เจอกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่นั่งเล่นอยู่บริเวณโต๊ะหินอ่อนหน้าร้านขายน้ำปั่นที่ยังไม่เปิดขายในเวลาเช้าแบบนี้
“นั่นไง...ไอ้เรียวไปรับไอ้เหี้ยมาแล้ว”
นั่นไง...
เรียกชื่อกูเพี้ยนอีกแล้ว
ไอ้พวกหอกหัก ;______;
“มีพวกโรงเรียน xx โจทก์เก่าไอ้ฟ้ากำลังตามมา”
ไอ้เรียวพาเขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าทุกคน พอเพื่อนในกลุ่มได้ยินแบบนั้นแล้ว พวกมันก็ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมทันที บรรยากาศรื่นเริงจากเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สถานการณ์ดูขมุกขมัวไปด้วยความดุดันของเพื่อน ๆ
แล้วเพื่อนคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก็คือไอ้ฟ้า มันโยนไม้หน้าสามมาให้ไอ้เรียว แล้วไอ้ห่านี่ที่ยังไม่ปล่อยมือเขาก็ดันใช้มืออีกข้างรับอาวุธได้อย่างเท่ ๆ ด้วย
“มันตามมาทางนี้ใช่ไหม?” ไอ้ฟ้าเอ่ยถามขึ้น
“เออ...”
ทันทีที่ไอ้เรียวเอ่ยตอบไป ไอ้ฟ้าก็เดินไปทางปากซอยโดยไม่พูดอะไร มีเพียงแต่เสียงไม้ท่อนยาว ๆ ในมือของมันที่ลากไปตามพื้นปูนจนดัง ‘แกร๊ก~’ แล้วเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เดินถือไม้หน้าสามตามไอ้ฟ้าไป
“ไอ้เฮีย”
เฮียละลายตาจากกลุ่มเพื่อนของตัวเอง แล้วหันมองคนข้างกายที่เอ่ยเรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้อง ไอ้เรียวจ้องมองเขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มึงไปยืนหลบข้าง ๆ ถังขยะ”
“ข้างถังขยะอีกแล้วเหรอวะ?”
“เออดิ!! ...หรือมึงจะออกไปบวกเหมือนคนอื่นอะ”
“กูก็อยากบวกนะ แต่ต้องหัวแตกกลับมาแน่ ๆ เลยว่ะ”
“มึงไม่ไหวหรอก...ไปหลบที่เดิมเถอะ เชื่อกู”
“...” เฮียนิ่งเงียบพลางสบกับสายตาจริงจังของเพื่อน ในแววตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายไม่สั่นไหวด้วยความกลัวเลยแม้แต่น้อย “กะ กูขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจเรียกตีนให้พวกมึงเลย แต่ว่ากูดันเดินผ่านหน้าร้านข้าวที่พวกมันนั่งอยู่พอดีอะ”
“...”
“พอมันถามว่าเป็เพื่อนไอ้ฟ้าใช่ไหม?”
“...”
“กูก็ตอบไปตามความจริงว่า...ใช่จ้า”
“...”
“แล้วหลังจากนั้นก็ตัดภาพมาที่กูวิ่งหนีตีนแตกเลย”
ไอ้เรียวส่ายหน้าคล้ายเอือมระอาเพื่อนสนิทอย่างเฮีย ก่อนเอ่ย “เออ...จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้มึงไปหลบก่อน”
“โอเค ๆ ...ข้างถังขยะนะ”
“เออ!”
ไอ้เรียวตอบแบบนั้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่มันจะวิ่งไปสมทบกับเพื่อนคนอื่น ๆ แล้วในนาทีที่เฮียเดินมาหลบอยู่ข้าง ๆ ถังขยะสีเขียวเข้ม เขาก็เห็นกลุ่มพวกคู่อริวิ่งออกมาจากซอย แล้วพุ่งตรงเข้ามาหาเพื่อน ๆ ของเขา
เฮียเบิกตาโตตอนได้ยินเสียงกู่ร้องของกลุ่มเพื่อนสนิทขณะวิ่งเข้าไปหาฝ่ายคู่อริ มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาลูบที่หน้าอกของตัวเองตอนเห็นคนสองกลุ่มฟาดไม้ใส่กันอย่างแรง ก่อนที่มืออีกข้างจะยกขึ้นปิดจมูกเพราะทนกลิ่นเหม็นจากถังขยะที่ลอยโชยมาใต้จมูกไม่ไหว
แล้วในใจก็คิดว่า...
พวกมึงรู้จักเจ็บกันบ้างเถอะ...
จะได้เลิกตีกันสักที...
“อะ ไอ้ฟ้า ระวัง!”
เขาร้องะโเสียงดัง หวังช่วยเตือนเพื่อนสนิทให้ระวังด้านหลัง เพราะเฮียเห็นเด็กอีกโรงเรียนเงื้อมือเตรียมจะฟาดไม้ไปที่หลังของไอ้ฟ้า และเมื่อเพื่อนสนิทได้ยินเสียงร้องเตือนของเขา ไอ้ฟ้าเลยหลบอีกฝ่ายได้ทัน ก่อนจะหวดไม้กลับไปที่บริเวณลำตัวของคู่อริ
“พ่อ! ...เก่งมากเลยพ่อ”
แล้วเฮียก็ต้องเบิกตาโตกว่าเดิมตอนที่เห็นไอ้เรียวโดนคู่อริจู่โจมด้วยการฟาดไม้เข้ามาแสกหน้า หากแต่เพื่อนสนิทยกแขนข้างหนึ่งมากันใบหน้าไว้ได้ทัน ภาพที่เพื่อนสนิทโดนโจมตีอย่างแรงนั้นทำให้เขาเป็กังวล เพราะไอ้เรียวดูจะเป็รองอีกฝ่าย
แต่ทว่าไอ้เรียวกลับโยนไม้ในมือตัวเองทิ้ง ก่อนจะใช้กำปั้นชกเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้เด็กอีกโรงเรียนเสียหลักเซถอยหลังไปหลายก้าว และเขาเดาว่าไอ้เรียวคงอยากเอาคู่อริให้ล้ม มันถึงได้วิ่งเข้าไปซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าของคู่อริอย่างแรง จนไอ้คนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น
เขาอดปรบมือแปะ ๆ ไม่ได้ขณะมองไอ้เรียวสะบัดมือข้างที่ใช้กำราบคู่อริคล้ายกำลังไล่ความเ็ป มันยกมือข้างนั้นขึ้นดึงชายเสื้อออกจากกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ก่อนจะวิ่งไปช่วยเพื่อนคนอื่นต่อ
“พวกมึง...ระวังตัวนะเว้ย!”
เฮียพูดแบบนั้นด้วยความเป็ห่วงจากใจจริง และเขาก็เผลอก้าวเท้าออกมาจากบริเวณนั้นเล็กน้อย นั่นคงเป็เพราะใจอยากจะไปช่วยเพื่อนที่กำลังโดนทำร้ายอยู่ แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสกิลการต่อยตีเท่าคนอื่น ถ้าเข้าไปในดงมือดงตีนก็อาจจะกลับออกมาแบบไม่สมประกอบ
“อะ ไอ้โก้!”
ทว่าเป็ตอนนี้เองที่เขาเห็นเพื่อนตัวเองโดนซัดด้วยหมัดจนหมอบอยู่กับพื้น เฮียร้องะโเสียงดังด้วยความใ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งเข้าไปช่วยเพื่อน เขาไม่มีอาวุธในมือเลยสักอย่าง แต่ในระหว่างที่วิ่งเข้าไปหาไอ้โก้ เฮียคิดแค่ว่า ‘กูก็มีสองมือสองตีนเหมือนกัน ยังไงกูก็ต้องช่วยเพื่อนกูให้ได้’
แค่ผลักแม่งให้เสียหลักก็ยังดีวะ!
ดีกว่าไอ้โก้ต้องเจ็บมากไปกว่านี้...
ผลัก!!
แล้วเฮียก็ทำแบบนั้นจริง ๆ เขาเลือกจะวิ่งพุ่งเข้าไปผลักคู่อริที่ยืนคร่อมร่างไอ้โก้อยู่ คนที่ต่อยไอ้โก้ไม่ยั้งเสียหลักล้มไปกองกับพื้น เฮียจึงทิ้งตัวคุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อนที่นอนเืกบปากอยู่ ไอ้โก้ทำตาปรือคล้ายจะหมดสติ เขาเลยส่งมือไปตบที่หน้ามันเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“อะ ไอ้โก้ มึงอย่าเพิ่งเป็อะไรนะเว้ย...”
“...”
“ถึงกูจะเกลียดที่มึงชอบพูดขัดกูอะ แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเป็อะไรนะ”
“ไอ้เหี้ย!”
เฮียกลืนน้ำลายลงคอจนดังเอื้อก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากใครบางคน เขาฟังดูแล้วมันอำมหิตเหลือเกิน ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคงเป็เสียงของไอ้คนที่โดนเขาผลักจนล้ม เฮียพรูลมออกจากปากแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
คู่อริหัวเกรียนที่ถือไม้อยู่ในมือจ้องเขม็งใส่เขาด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะเงื้อมือที่ถือไม้ขึ้นเหนือศีรษะ แล้วในนาทีถัดมา คนตัวสูงก็เตรียมจะฟาดท่อนไม้ยาวใส่เขา เฮียหลับตาปี๋พร้อมทำใจยอมรับชะตากรรมในครั้งนี้
ตุบ!!
เฮียได้ยินเสียงท่อนไม้กระทบเข้ากับบางสิ่งอย่างแรง แล้วสิ่งนั้นก็ควรเป็ใบหน้าของเขาเอง หากแต่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บสักนิด ทั้ง ๆ ที่ควรจะรู้สึกเจ็บ...
หรือว่ามันเจ็บจนชาวะ?
หรือว่ากูตายแล้ว มันก็เลยไม่รู้สึกเจ็บ
ตายคาที่...แบบหมดสติไปเลยอะนะ
เขาคิดแบบนั้นขณะหลับตาปี๋อยู่ แต่ไม่นานนักก็ค่อย ๆ เลิกเปลือกตาขึ้น แล้วภาพตรงหน้าที่เห็นก็ทำให้เฮียเบิกตาโตด้วยความใซ้ำสอง ไอ้เรียวนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางฝืนเก็บซ่อนอาการเ็ป แต่เพื่อนอย่างเขารู้ดีว่ามันต้องรู้สึกเจ็บมาก
“อะ ไอ้เรียว...”
“ไอ้เหี้ย...”
“...”
“กูบอกแล้วใช่ปะ...” ไอ้เรียวหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้า ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “...ว่าให้หลบอยู่ข้างถังขยะ”
“...”
“ถ้าเมื่อกี้กูเข้ามาช่วยมึงไม่ทัน แล้วมึงโดนมันฟาดไม้ใส่หน้าจริง ๆ ...กูจะทำไงวะ?”
“ฮืออ...กูขอโทษ กูเป็ห่วงไอ้โก้”
เฮียร้องฮือในลำคอด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะขยับไปวาดแขนโอบกอดคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ เขาพยายามจะปกป้องเพื่อนจากการถูกทำร้าย ถ้าใครจะมาทำไอ้เรียวต่อจากนี้...มันจะต้องข้ามศพไอ้เฮียคนนี้ไปก่อน!!
แต่ภาพตรงหน้าที่ไอ้ฟ้าซัดคู่อริต่างโรงเรียนจนหมอบราบไปกับพื้นทุกคน รวมถึงคนที่ใช้ไม้หน้าสามทำร้ายไอ้เรียวด้วย นั่นทำให้เฮียรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้อีกหน่อย
“เดี๋ยวกูจะพามึงไปโรง’ บาล...ไปพร้อมไอ้โก้เลย”
เพราะไอ้เรียวไม่ยอมตอบอะไร เฮียจึงคลายวงแขนของตัวเองออก แล้วมองใบหน้าที่มีรอยช้ำบริเวณมุมปากเล็กน้อย ไอ้เรียวยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ย...
“ดูแลตัวเองดี ๆ หน่อยดิ ไอ้เหี้ย...”
นี่เป็ภาพและเสียงที่ติดอยู่ในความทรงจำของ ‘เฮีย’ เื่ราววัยมัธยมชอบฉายซ้ำในหัวตอนที่มีเื่ราวทุกข์ใจ คล้ายจะเตือนหัวใจที่กำลังทุกข์อย่างหนักว่า ‘ต่อให้ทั้งชีวิตนี้จะไม่มีใครรักมึงจริง ๆ ...แต่ก็ยังมีเพื่อนที่รักมึงจริง ๆ จากใจอยู่’
แม้ว่าเื่ราวที่สร้างความผูกพันเ่าั้จะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จนถึงปัจจุบันที่เฮียเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มาถึงสองปีแล้ว ทว่ามิตรภาพลูกผู้ชายพวกนี้ไม่เคยลบเลือนไปเลย
หากแต่มีหนึ่งสิ่งที่ทำให้ภาพจำเ่าั้ค่อย ๆ เลือนรางจางหายไป นั่นคือแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในร่างกายมากจนเกินไป เป็เพราะเฮียดื่มเหล้าั้แ่่หัวค่ำจนถึงตีสองกว่า และดื่มในปริมาณที่มากพอสมควร จึงทำให้เมาจนเริ่มขาดสติ
ชายหนุ่มพนักงานบริการในร้านเหล้าคนหนึ่งยืนสังเกตอาการของลูกค้าคนนี้มาสักพักแล้ว และตอนนี้เขาคิดว่าเ้าตัวคงกลับบ้านเองไม่ไหว เขาพอจะคุ้นหน้าลูกค้าคนนี้อยู่บ้าง เพราะเ้าตัวเคยมาเที่ยวที่นี่กับ ‘พี่เรียว’ ซึ่งพี่เรียวเป็รุ่นน้องคนสนิทของเ้าของร้านแห่งนี้
และเขาเดาว่าลูกค้าหน้าตาดีคนนี้คงเป็เพื่อนสนิทกับพี่เรียว แต่ทว่าวันนี้ทั้งสองคนกลับไม่ได้มาด้วยกัน อีกทั้งลูกค้าคนนี้ยังมาคนเดียว ราวกับอยากมาระบายความทุกข์โดยไม่ให้ใครรู้
พนักงานหนุ่มที่แต่งตัวเนี้ยบั้แ่หัวจรดเท้าส่ายหน้าเบา ๆ ขณะมองเพื่อนของพี่เรียวพูดพึมพำอย่างคนขาดสติ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“พี่ครับ...”
“อือ...อึก...”
คนที่เมาจนหน้าแดงไปหมดครางอื้อในลำคอ พร้อมทั้งสะอึกเป็ระยะ เงยหน้าขึ้นมองพนักงานหนุ่ม คนเมามากฉีกยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเขา ก่อนจะเอ่ย...
“เป็งายย...สมัยก่อนอะ พี่โคตรรรรเปรี้ยวตีนกันเลยใช่ปะ~”
“เอ่อ...ครับ...”
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกค้าหน้าตาดีคนนี้พูดนักหรอก หากแต่เขารู้ดีว่า...
คนเมาอะ...
อย่าไปถือสา แล้วก็อย่าไปขัดคอ
เดี๋ยวมีเื่...
“ไอ้เรียวอะนะ~…มันเป็เพื่อนที่โคตรดีเลยยย” คนเมาพูดพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้น
“...”
“สุดยอดไปเลย เพื่อนกู...”
“เพื่อนกันจริงเหรอ? ...ขนาดเมาแล้วยังคิดถึงเขาเลย” พนักงานหนุ่มเอ่ยเสียงแ่กับตัวเอง
“สุดยอดจริง ๆ ...”
“พี่ครับ...พี่จะกลับยังไงครับ?”
“ไอ้เรียว...” แล้วคนที่เมามากจริง ๆ ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ก่อนจะพูดพึมพำเบา ๆ “...กูขอโทษษษ กูรักษาตัวเองไม่ดีเลย ฮือออ”
พนักงานหนุ่มลอบถอนหายใจด้วยความเป็ห่วง ก่อนจะกวาดสายตามองหาคนช่วย ทว่าสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับ ‘พี่เป้’ เ้าของร้านแห่งนี้ที่เป็รุ่นพี่ของพี่เรียว เขาโบกมือเรียกพี่เป้ที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในร้าน
“พี่เป้ครับ! พี่เป้!”
เ้าของร้านไม่ได้เมินเฉยต่อเขา เ้าตัวเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาทันที ก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรกอล์ฟ”
“คือลูกค้าคนนี้ พี่เป้รู้จักใช่ไหมครับ?”
พี่เป้ที่หันไปมองทางคนเมาเบิกตาโตคล้ายแปลกใจ ก่อนเอ่ย “เอ๊า! ไอ้เฮียยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“...”
“พี่นึกว่ามันเช็กบิลกลับไปนานแล้วนะ”
“ยังเลยครับ นี่ก็เมาจนฟุบโต๊ะไปแล้วด้วย”
“แล้วมันมาคนเดียวใช่ปะ?”
“ครับ”
“โอเค ๆ รอแป๊บ...”
เ้าของร้านเหล้าอย่างเป้ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงทันที ก่อนจะกดโทรหารุ่นน้องคนสนิท รอเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
[ฮัลโหล]
“ไอ้เรียว...เพื่อนสนิทมึงมานอนเมาแอ๋ที่ร้านกูเนี่ย เอาไงวะ?”
[ไอ้เหี้ยไปแดกเหล้าร้านพี่เหรอ?]
“เออ มาั้แ่หัวค่ำอะ”
[ไอ้เหี้ย! ...แล้วบอกว่าจะนอนอยู่บ้าน]
“เื่ผัวเมียกูไม่รู้นะ ไปจัดการกันเอาเอง แต่ตอนนี้จะให้กูทำไง?” เป้พูดเย้าแหย่พลางหัวเราะ
[ถ้าไม่ติดว่าเป็รุ่นพี่นะ กูจะด่าให้ลืมบ้านเลขที่เลย]
“แหม...มึงพูดมาขนาดนี้แล้ว ด่าเลยก็ได้มั้ง ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
[เื่นี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เื่ไอ้เหี้ยสำคัญที่สุด]
“มีแปะโป้งไว้ก่อนด้วยนะ ไอ้สัด”
[มันไปคนเดียวเหรอ?]
“เออ มาคนเดียวเลย ซดเพียว ๆ ด้วย…แต่เดี๋ยวก่อน กูขอถามเพื่อความแน่ใจก่อน”
[พี่บอกว่ามันเมามาก แล้วจะไปถามรู้เื่ได้ไง]
“ก็ลองดูก่อนดิวะ”
เป้ลดโทรศัพท์ลงจากใบหูเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนเมาที่นอนฟุบหน้าไปกับโต๊ะ มือหนายื่นไปจับที่ไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล
“เฮีย...”
“จ้ะ เฮียเองจ้ะ...” คนเมาขานรับด้วยเสียงพูดที่ฟังแทบจะไม่รู้เื่
“ได้อยู่ว่ะ ยังตอบได้อยู่”
“...”
“น้องเฮียมากับใครจ๊ะ?”
“อือ...” คนเมาที่ตอนนี้หลับตาสนิทพรูลมออกจากปากเล็กน้อย ก่อนจะพูดบางประโยคซ้ำ ๆ คล้ายกำลังร้องเพลงอยู่ “...เฮียจ้ะ เฮียจ้ะ มากับเรียว แล้วก็มากับฟ้าาาา”
“กูได้คำตอบแล้วว่ามากับใคร เฮ้ออออ...คนเมาอะเนอะ”
“...”
เป้พูดกับตัวเองแบบนั้น แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเองอีกรอบ ก่อนเอ่ย “มึง...”
[ได้ยินแล้ว]
“...”
[มากับเรียวกับฟ้าพ่อมึงสิ อีน้ำส้วม!]
“...”
[กูอยู่ภูเก็ต]
“ก่อนกูจะถามอย่างอื่น กูขอถามเื่หนึ่งก่อนได้ไหม?”
[เื่อะไร?]
“ทำไมมึงถึงชอบเรียกเฮียว่า ‘อีน้ำแดง’ บ้าง ‘อีน้ำส้วม’ บ้างวะ?”
[เื่มันยาวว่ะ ไว้เล่าให้ฟังวันหลังละกัน]
“จริง ๆ กูอยากรู้ฉิบหายเลยนะ แต่เออ...วันหลังก็วันหลัง”
[คืนนี้พี่นอนค้างที่ร้านไหน?]
“มึงถามแบบนี้...”
[อือ...ผมจะรบกวนให้พี่นอนเฝ้ามันหน่อย]
“…”
[ให้มันนอนพักอยู่ที่ห้องทำงานพี่ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะนั่งเครื่องกลับกรุงเทพแต่เช้า แล้วจะรีบขับรถไปรับมันเอง]
“นี่กูเห็นแก่ตอนที่มึงเป็ยมทูต เอ๊ย! ไม่ใช่ยมทูตดิ”
[กามเทพบ้างเหอะ! ...อย่ากวนตีนขนาดนั้นเลย พี่เป้ ปวดหัวว่ะ]
เป้หัวเราะร่วน เมื่อรุ่นน้องจับทางความคิดตัวเองได้ ก่อนเอ่ย “เออออ...กูเห็นแก่ตอนที่มึงทำให้กูกับเมียได้รักกันมาจนถึงทุกวันนี้หรอกนะ เดี๋ยวกูจะเฝ้าน้องน้ำแดงของมึงให้”
[ขอบคุณมากพี่]
“ถ้างั้นกูแบกเฮียไปนอนที่โซฟาในห้องทำงานเลยนะ”
[โอเค...แต่ตอนพี่ให้มันขี่หลังอะ ต้องให้ใครสักคนคอยเดินประคองหลังมันไปด้วยนะ เพราะเวลามันเมามาก มันชอบหงายหลังตลอด]
“กูเหรอ? ...ที่ต้องให้เฮียขี่หลัง”
[ก็ใช่ไง...ถ้าไม่ใช่พี่แล้วจะเป็ใครได้ คนอื่นผมไม่ไว้ใจหรอก]
“เดี๋ยว ๆ ไอ้เรียว...อายุกูก็มากแล้ว ปีนี้ก็เข้าเลขสะ...”
[ผมรู้ว่าพี่แข็งแรง พี่ยังฟิตเหมือนตอนยี่สิบเลยใช่ปะ?]
“โธ่ ไอ้สัด มึงพูดขนาดนี้แล้ว กูคงจะปฏิเสธได้อยู่หรอก”
[ฝากด้วยนะพี่เป้]
“เออ...”
[ก่อนจะวางสาย ผมขอคุยกับอีน้ำแดงหน่อย]
“แต่มันเมานะ...”
[นั่นแหละ]
“อะ ๆ กูไม่อยากขัดศรัทธาใคร...”
เป้ลดโทรศัพท์จากใบหูตัวเอง แล้วยื่นไปแนบข้างใบหูแดง ๆ ของคนเมา เขาไม่รู้ว่ารุ่นน้องพูดอะไร แต่คนเมาที่ตะแคงใบหน้าแนบไปกับโต๊ะค่อย ๆ ปรือตาตื่นพลางคลี่ยิ้มน้อย ๆ
“อือออ...”
จากใจจริง ๆ เป้ก็อยากจะรู้ว่าไอ้เรียวพูดอะไรกับคนเมา ถ้าจะกดเปิดสปีกเกอร์โฟนก็กลัวจะเสียมารยาท แต่เพราะความสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าใครออกใคร เขาจึงกลั้นใจกดเปิดสปีกเกอร์โฟน
[อีน้ำแดง...]
“…”
[เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปรับนะ]
เป้เม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้ม ก่อนเอ่ยเสียงหวาน “จ้า...”
[พี่เป้...สันดานขี้เสือกเนี่ย ลดลงหน่อยได้ปะวะ?]
เป้หัวเราะเสียงดัง ก่อนเอ่ย “นี่มันสันดานคนนะเว้ย ไม่ใช่ราคาผลไม้ในตลาด ลดง่าย ๆ ได้ที่ไหนล่ะ”
[เอาเหอะ...เื่ของพี่มึงเลย กูชักจะปวดหัวแล้ว]
“...” เสียงเอือมระอาของปลายสายยิ่งทำให้เป้รู้สึกขบขันมากกว่าเดิม
[ถ้าพี่พามันไปนอนในห้องทำงานแล้ว รบกวนถ่ายรูปส่งมาให้ผมดูด้วยนะ]
“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
[ขนาดนั้นแหละ...พี่เข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า?]
“เออ ๆ เข้าใจ”
[ผมรบกวนพี่แค่นี้แหละ]
“เออ...”
เป้กดปิดสปีกเกอร์โฟน ก่อนจะวางสายจากรุ่นน้องคนสนิท เ้าของร้านเหล้าที่เพิ่งได้รับภาระหนักอึ้งถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง
“กอล์ฟ มาช่วยพี่เอาเฮียขึ้นหลังที”
“ครับ ๆ”
ชายหนุ่มย่อตัวลงใกล้ ๆ คนเมาที่ตอนนี้หลับไปแล้ว แล้วกอล์ฟก็ช่วยพยุงร่างของเฮียให้ขึ้นขี่หลังเขา เป้ส่ายหน้าเบา ๆ พลางคิดว่า ‘สังขารมันไม่เที่ยงจริง ๆ ’ แต่ก่อนเขาสามารถแบกของที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวรุ่นน้องได้สบาย ๆ ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าการแบกของหนัก ๆ เป็เื่ยากลำบากไปแล้ว
“พี่เป้ไหวไหมครับ?”
“พอไหวอยู่...” เป้เอ่ยตอบพนักงานในร้าน แล้วจึงฮึดลุกขึ้นยืน ก่อนจะแบกรุ่นน้องที่หมดสติไปที่ห้องทำงาน “กอล์ฟ ช่วยประคองหลังเฮียให้พี่หน่อยนะ”
“ได้ครับพี่เป้”
“...อึก...”
“เฮ้ย ๆ เฮีย...อย่านะ” เป้เอี้ยวคอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคนเมาที่วางซบอยู่ตรงไหล่ตัวเอง เพราะเฮียทำท่าจะอ้วก เขาจึงต้องเอ่ยห้ามปราม ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเื่แบบนี้ห้ามไม่ได้ “...อย่าอ้วกนะ พี่ไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยนนะเว้ย”
“...”
“กลืนลงไปก่อนเด้ออ...ถือว่าพี่ขอร้อง”
เป้ชะงักฝีเท้า แล้วหยุดยืนนิ่ง ๆ เพื่อลดอัตราอ้วกพุ่งที่ถูกกระตุ้นด้วยการเคลื่อนไหว พอเขาเห็นว่ารุ่นน้องมีท่าทีที่สงบลงแล้ว เป้จึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินต่อ
“เวรกรรมอะไรของมึงวะไอ้เป้!”
เ้าของร้านเหล้าที่อายุเข้าเลขสามต้น ๆ บ่นเสียงแ่เบา ก่อนจะเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานของตัวเอง กอล์ฟ พนักงานในร้านรีบดันประตูเปิดให้อย่างรู้หน้าที่ แล้วเป้ก็พาคนเมาของไอ้เรียวไปนอนบนโซฟาหนังตัวยาว
“อือออ...”
คนตัวสูงยกมือขึ้นทุบบริเวณแผ่นหลังที่ปวดร้าวของตัวเองขณะมองรุ่นน้องที่นอนอยู่บนโซฟา เฮียร้องอื้อในลำคอพลางพลิกตัวหันหน้ามาทางเขากับกอล์ฟ
“หลังกูเสียเลย...”
เป้เอ่ยแบบนั้น แล้วเอียงคอมองใบหน้าแดงก่ำของรุ่นน้อง เฮียเป็คนไทยเชื้อสายจีนที่มีดวงตาทรงเรียวรี มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง และมีริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ โดยรวมเ้าตัวเป็คนหน้าตาดีพอสมควร แล้วจากที่เรียวเคยพาเฮียมาหาเขาหลายครั้ง เป้คิดว่าเ้าตัวเป็คนที่มีทั้งความหล่อและความน่ารักอยู่ในตัว
แล้วในสมองของเขาก็ดันประมวลภาพของเรียวกับเฮียยืนคู่กัน เรียวที่สูงราวร้อยแปดสิบห้า กับเฮียที่สูงราวร้อยเจ็ดสิบสาม คนตัวสูงกว่ามีโครงสร้างทางร่างกายใหญ่โตและดูแข็งแกร่งกว่าพอสมควร ส่วนคนตัวสูงน้อยกว่าเป็ผู้ชายหุ่นสมส่วน
พอคิด ๆ ดูแล้ว เป้ก็อมยิ้มอยู่คนเดียว
พลางคิดว่า...
เหมาะสม...
“พี่เป้ครับ...”
เป้ที่ถูกดึงออกจากภาพในจินตนาการหันมองคนข้างกาย ก่อนเอ่ย “ว่าไงกอล์ฟ?”
“ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว พี่เป้ว่า...พี่เรียวกับพี่เฮียแอบชอบกันไหมครับ?”
“บ้าน่าาา....”
“พี่เป้ทำหน้าแบบนี้...แสดงว่ากำลังคิดเหมือนผมอยู่ใช่ไหมครับ?”
เพราะว่าเป้พยายามกลั้นยิ้มจนดูมีพิรุธ จึงโดนอีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าเ้าของร้านอย่างเขาก็ทำได้แค่ยื่นมือไปตบไหล่ลูกน้องเบา ๆ
“กอล์ฟ พี่จะบอกให้นะ...”
“…”
“ไอ้สองคนนี้มันเป็เพื่อนกันมานานมาก แล้วก็สนิทกันมากด้วย”
“...”
“เื่นี้มันเป็ฝันที่ไม่กล้าฝันอะ เข้าใจไหม?”
“แต่ก็ยังฝันได้อยู่ใช่ไหมครับ?”
พอเป้ได้ยินแบบนั้น เขาก็ชักมือกลับมา แล้วยืนกอดอกพลางจ้องมองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ย “เอาแบบนี้ดีกว่ากอล์ฟ...”
“...”
“กอล์ฟจิ้นคู่นี้ใช่ไหม?”
กอล์ฟหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ย “พี่พูดอะไรของพี่?”
“ก็คู่จิ้นไง ไม่รู้จักคู่จิ้นเหรอ? ...เมียพี่หวีดคู่จิ้นของเขาทุกวัน”
“เคยได้ยินเื่คู่จิ้นอยู่บ้างครับ”
“เออ นั่นแหละ”
“...”
“ไอ้ห่าเอ๊ย!! ลืมเลย” เป้พูดโผงขึ้นมาคล้ายเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความรีบร้อน
คนตัวสูงก้าวถอยห่างจากโซฟาหนังตัวยาวไปครึ่งก้าว แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปคนเมาที่นอนหลับสนิทอยู่ เป้ส่งรูปถ่ายไปให้รุ่นน้องทางแอปพลิเคชันไลน์ ไม่ถึงนาที คำว่า ‘Read’ ก็ปรากฏขึ้นทันที นั่นแสดงให้เห็นว่าเรียวกำลังรอรูปถ่ายจากเขาอยู่ แล้วไม่นานรุ่นน้องก็ส่งข้อความกลับมาให้...
R. : โอเค
R. : ขอบคุณอีกครั้งนะพี่เป้
เป้พรมนิ้วไปบนแป้นพิมพ์เพื่อตอบกลับรุ่นน้อง
Pae : ไม่เป็ไร
Pae : พรุ่งนี้มึงก็รีบมารับมันก็แล้วกัน
R. : ผมจะรีบไปรับมันให้เร็วที่สุด
R. : เท่าที่ผมจะทำได้
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้