กลับมาถึงบ้านครอบครัวหู เครื่องนอนและเสื้อนวมในลานบ้านยังไม่ได้เก็บ เกวียนวัวจึงเข้าลานบ้านไม่ได้ หวังซื่อะโเรียกหูฉางกุ้ยและให้สองพี่น้องย้ายของลงจากเกวียนเข้าในบ้าน
“หือ... เหตุใดหนักเช่นนี้?” หูฉางกุ้ยประหลาดใจ ของหนึ่งตะกร้านี้เกรงว่าจะหนึ่งร้อยชั่งขึ้นไปกระมัง
“อื้ม ค่อนข้างหนักเลย เ้าออกแรงหน่อย” หวังซื่อเตือนอยู่ด้านข้าง
“ฮิๆ ท่านพ่อ มีหนึ่งร้อยกว่าชั่งเลยจะไม่หนักได้อย่างไร ระวังหน่อยนะเ้าคะ” เจินจูเม้มปากแอบหัวเราะ
หูฉางกุ้ยพยักหน้า ออกแรงในมือลากตะกร้าไผ่สานออกมากับหูฉางหลินแล้วยกเข้าไป
จนกระทั่งย้ายของทั้งหมดแล้ว หวังซื่อจึงให้หูฉางหลินจูงเกวียนวัวกลับบ้านเก่า ให้ลูกวัวได้พักเสียหน่อย แล้วถือโอกาสให้ชุ่ยจูกับผิงซุ่นเอามีดหั่นผักและเขียงมาช่วยด้วย
หลัวจิ่งค้ำไม้เท้ายืนอยู่หน้าห้อง มองสถานการณ์คึกคักของสกุลหูหนึ่งกลุ่ม เหมือนว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้เป็การชั่วคราวจึงยืนไม่ส่งเสียงอยู่เงียบๆ
เจินจูหยิบของจากในตะกร้าทีละอันกระจายออกมา พอหยิบแปรงสีฟันกับผงสีฟันก็นึกขึ้นได้ว่าซื้อมาให้หลัวจิ่งโดยเฉพาะ จึงหยิบของขึ้นแล้วเดินไปทางเขา
มองไปไกลๆ เห็นหลัวจิ่งที่ยืนค้ำไม้เท้ากำลังก้มหน้าไม่พูดจา สีหน้าเ็า หากไม่ใช่ว่าแสงแดดในหน้าหนาวสาดส่องมาที่ร่างกายเขา เจินจูคงจะััได้ถึงความอึมครึมที่ไหลออกมาจากกายเขาเป็แน่ เฮ้อ เมื่อใดเด็กนี่ถึงจะร่าเริงมีความสุขสักหน่อยนะ
“ยู่เซิง!” เสียงไพเราะน่าฟังเรียกชื่อเขา หลัวจิ่งยกสายตาขึ้นเล็กน้อย เห็นเด็กสาวที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดทอเข้าที่ใบหน้าบอบบางของนาง รอยยิ้มมุมปากอันงดงามนั้นทำให้หลัวจิ่งผุดความอบอุ่นสายหนึ่งขึ้นมาในใจ
“สิ่งนี้ให้เ้า” เจินจูยื่นตลับไผ่หนึ่งอันส่งให้ ด้านในมีแปรงสีฟันกับผงสีฟัน ส่วนตลับไม้ไผ่เป็หูฉางกุ้ยทำขึ้นด้วยตัวเองในยามว่าง ที่บ้านยังมีอีกหลายอัน
“ขอบคุณ!” หลัวจิ่งรับไป รู้สึกตื้นตันอยู่ข้างใน พวกนางซื้อข้าวของมากมายหนึ่งกอง ไม่นึกเลยว่านางจะไม่ลืมซื้อของเล็กๆ เหล่านี้ให้เขา
“เกรงใจอันใด วันนี้ที่บ้านยุ่งนัก ข้าไปหาของว่างเติมท้องก่อน วันนี้กินแค่ซาลาเปาไปสองลูกเอง ข้าหิวจะตายแล้ว” กล่าวจบก็หนีเข้าห้องครัวไปเปิดพลิกฝาหม้อทันที
หลัวจิ่งมองเจินจูที่หนีเข้าห้องครัวไปแล้วอดยิ้มอย่างเงียบงันไม่ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางเด็กกว่าเขา แต่ท่าทางกลับทำเหมือนพี่สาวคนโตอยู่บ่อยๆ เย้าให้คนหัวเราะจริงๆ สายตาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกภายในใจที่แต่เดิมห่อเหี่ยวเล็กน้อยก็เริ่มมีความสุขขึ้น
ยกกับข้าวจากในหม้อที่หลี่ซื่อเก็บไว้ให้โดยเฉพาะออกมา เจินจูเรียกหวังซื่อเข้ามาทานข้าว สองคนต่างก็หิวเล็กน้อยจึงยกถ้วยขึ้นมาทานกันคำใหญ่
ตลอดทั้งบ่ายทุกคนสกุลหูล้วนยุ่งไม่หยุด เนื้อสองร้อยชั่งในจำนวนนั้นต้องหั่นละเอียดหนึ่งร้อยหกสิบชั่ง สามคนหั่นกันไม่หยุดเกือบหนึ่งชั่วยามจึงหั่นเสร็จ กะละมังไม้ของที่บ้านไม่พอใช้ หูฉางหลินจึงวิ่งไปร้านช่างไม้ตรงทางเข้าหมู่บ้านซื้อมาอีกสองใบ เนื้อวางแยกไว้สี่กองเรียบร้อย เพื่อให้เจินจูง่ายต่อการปรุงรสชาติ
เจินจูย้ายโม่หินเล็กๆ มาที่หน้าประตู ทั้งโม่ไปด้วยตากแดดไปด้วย ดวงอาทิตย์ที่ส่องมาบนกายอย่างอบอุ่นในหน้าหนาว ทั้งเสริมสร้างแร่ธาตุและอบอุ่น ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หยิบเอาเครื่องชั่งที่ซื้อใหม่ออกมา เจินจูใช้ไม่ค่อยเป็นักจึงให้หวังซื่ออธิบายและสาธิตอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงไตร่ตรองแล้วเอาเครื่องเทศทุกอย่างมาชั่งด้วยความรอบคอบให้เรียบร้อย เมื่อจัดสรรน้ำหนักเสร็จแล้วจึงใส่ห่อแบ่งไว้เท่าๆ กัน พอถึงเวลาใช้ก็เปิดออกมาใช้ได้เลย
หน้าที่คลุกเคล้ารับผิดชอบโดยหูฉางหลิน เนื้อสี่กะละมังล้วนต้องคนให้เข้ากันอย่างทั่วถึง ผู้ช่วยอย่างหูฉางหลินกวนเนื้อให้เข้ากันจนปวดเมื่อยไปหมด อย่ามองว่าเป็การทำที่ง่ายดาย พอทำซ้ำๆ อยู่หลายรอบก็เปลืองแรงมากนัก
ด้านนอกประตู ไม่กี่คนกำลังขูดลอกชะล้างไส้เล็กอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ การทำรอบนี้กลับทำเร็วมาก หูฉางกุ้ยกับหลัวจิ่งต่างก็ก้มหน้าก้มตาต่อสู้กับไส้เล็กจนเกลี้ยงเกลาในมือ มีแค่ผิงอันกับผิงซุ่นที่ทั้งขูดลอกไส้เล็กไปด้วยทั้งพูดคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุดไปด้วย
“พี่ชาย อาหารว่างโรงเตี๊ยมร้านนั้นอร่อยมากนัก ทั้งกรอบทั้งร่วน เ้าของร้านผู้นั้นยังยื่นให้ท่านย่าอีกสองห่อ รอท่านย่ามีเวลาว่างแล้วท่านก็ไปชิมดู อร่อยมากเลยล่ะ”
“จริงหรือ? ว้าว เยี่ยมนัก อีกเดี๋ยวข้าจะไป ของว่างของโรงเตี๊ยมต้องอร่อยมากแน่ๆ”
“พี่ชาย ที่แท้หอในเมืองก็มีสองสามชั้นสูงๆ ได้ ข้าเงยหน้ามองจนลำคอปวดเมื่อยไปหมด”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อก่อนตอนข้าเข้าเมืองครั้งแรกก็ใอยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่าหอนั่นแข็งแรงหรือไม่ หากข้าอาศัยอยู่ข้างบนต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน พังลงมากลางดึกจะทำเช่นไร?”
“พี่ชาย วันนี้ข้าเห็นรถม้าแล้ว ที่แท้ม้าก็เป็เช่นนี้ สูงกว่าวัวมากนัก”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อข้าบอกว่าม้าวิ่งได้เร็วกว่าวัวนัก แต่โหนกหลังของวัวแบกของได้มากกว่าม้า ลงพื้นที่ทำนายังเป็วัวที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก”
“…”
หลัวจิ่งมองเ้าเด็กน้อยสองคนที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง เด็กที่โตผู้นั้นเห็นแก่เล่นทานเก่งและไม่อดทน เด็กที่เล็กผู้นั้นพูดมากขี้กลัวและไร้ประสบการณ์ เหตุใดเฉพาะพี่สาวของพวกเขากลับปราดเปรียวฉลาดเฉียบแหลมค่อนข้างมีความคิดและเหตุผลมาก นางอ่านหนังสือโดยรวมแล้วผ่านแค่หนึ่งรอบ เขียนตัวอักษรก็เช่นกัน เขียนเพียงหนึ่งรอบ เข้าเรียนเขียนเป็อย่างไร วันที่สองยังคงเป็เช่นนั้น
เดิมทีคิดว่านางแอบี้เี แต่ทุกครั้งที่สอนไปแต่ละย่อหน้านางล้วนสามารถอ่านออกเสียงออกมาได้ไม่ตกหล่นสักตัว จะกล่าวได้ว่านางเฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ก็ได้กระมัง แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะลวดลายตัวอักษรของนางพอถูๆ ไถๆ นับว่าพอจะประณีตเรียบร้อยได้บ้าง แต่บางครั้งจะแขนขาดขาหาย [1] ตอนเรียนไม่ตั้งใจอยู่เป็นิจ จริงๆ จะนับว่านางเป็นักเรียนที่ดีไม่ได้เลย
ยามค่ำ หลังผ่านมื้ออาหารเย็นไปแล้ว หูฉางหลินหิ้วเถาซูปิ่ง [2] เล็กๆ หนึ่งถุงอยู่ในมือที่สือหลี่เซียงมอบให้มา ในอกยังอุ้มไหสุราอีกหนึ่งไหเดินไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านจ้าวเหวินเฉียง
บ้านจ้าวเหวินเฉียงห่างจากบ้านสกุลหูไม่ไกล ยืมแสงไฟของแต่ละบ้าน เดินเลียบไปตามถนนสายหลักในหมู่บ้านครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเลี้ยวโค้งก็ถึงแล้ว
บ้านของจ้าวเหวินเฉียงเป็บ้านมุงหลังคากระเบื้องอิฐสีฟ้าน้ำเงินหลังใหญ่ที่มีไม่กี่หลังในหมู่บ้าน กำแพงรั้วสูงและตรง ประตูลานบ้านกว้างขวาง
หูฉางหลินมองที่ประตูลานบานใหญ่สีแดงชาด หยุดอยู่พักหนึ่ง ในใจจัดการคำพูดที่ควรกล่าวอยู่ชั่วขณะอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจึงเคาะประตูบานใหญ่ “ปังๆ”
“ผู้ใดกัน?” เสียงผู้หญิงภายในบานประตูกล่าวถามด้วยความสุขุม
“ท่านอาสะใภ้จ้าว ข้าคือหูฉางหลิน มีธุระมาหาหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ” หูฉางหลินตอบทันที
“โอ้ เป็ฉางหลินหรือ เ้ารอเดี๋ยว อาสะใภ้จะไปเปิดประตูให้เ้า” ได้ยินเพียงเสียงดึงสลักประตูหนึ่งเสียง แล้วดึงบานประตูมาครึ่งหนึ่ง
ฟู่เหรินที่เปิดประตูอายุประมาณห้าสิบปี ผิวขาวผ่อง หน้าตาไร้ริ้วรอย เทียบกับฟู่เหรินในหมู่บ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกันค่อนข้างจ้ำม่ำเพราะชีวิตอยู่ดีกินดี เป็หวงซิ่วผิงภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านนี่เอง
“โอ้ จ้าวเสิ่น รบกวนท่านแล้ว” บนใบหน้าหูฉางหลินก่อรอยยิ้มขึ้น
“รบกวนอันใดกัน ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยเ้าหนุ่มนี่ ยังเกรงใจอันใดกันเล่ารีบเข้ามา พอดีเลยท่านอาจ้าวของเ้ากำลังดื่มจนได้ที่กรึ่มๆ แล้ว ข้าไปดื่มเป็เพื่อนเขาอยู่สองจอก” จ้าวเหวินเฉียงเป็หัวหน้าหมู่บ้านมาสิบกว่าปี เื่น้อยใหญ่ของชาวไร่ชาวนาล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของเขา หวงซื่อชินไปนานแล้ว จึงนำทางหูฉางหลินเข้าห้องโถงทันที
“เป็ฉางหลินเองหรือ มา นั่งนี่ ดื่มเป็เพื่อนข้าสองจอก” จ้าวเหวินเฉียงกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร ตบที่ม้านั่งด้านข้างเบาๆ บอกใบ้ให้หูฉางหลินนั่งลง ผิวของเขาค่อนข้างคล้ำ ใบหน้าเหลี่ยมคิ้วหนา รูปร่างจมูกเป็ทรงเหยี่ยวเล็กน้อย ดวงตารื้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา แม้บนใบหน้าจะประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตามองขึ้นลงสังเกตหูฉางหลินอย่างละเอียด
“ฮ่าๆ ท่านอาจ้าว พอดีเลย นี่เป็สุราที่ข้านำมาให้ท่านจากในเมืองโดยเฉพาะขอรับ” ขณะกล่าวหูฉางหลินยื่นไหสุราส่งไปและวางของว่างที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นแสร้งท่าทางสบายๆ พร้อมกับกล่าว “นี่เป็เถาซูปิ่งของสือหลี่เซียง ของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้เฉิงเกอเอ่อร์ลองชิมดูขอรับ”
เฉิงเกอเอ่อร์เป็หลานชายคนเล็กสุดของจ้าวเหวินเฉียง
เถาซูปิ่งเล็กๆ ของสือหลี่เซียง? จ้าวเหวินเฉียงกวาดหางตาแบบไม่รู้ตัวแวบหนึ่ง ห่อที่ใส่ฝีมือละเอียดและงดงาม บนกระดาษน้ำมันประทับตัวอักษรสามตัวว่าสือหลี่เซียง เป็ของร้านนั้นจริงๆ ด้วย ดูเหมือนว่าเื่ที่ชาวไร่ชาวนาวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาพักนี้ กล่าวได้ไม่ผิดจริงๆ สกุลหูหาเงินได้ไม่น้อยเลย
“ฉางหลิน เกรงใจแล้ว มา ดื่มสุราสักจอก อบอุ่นร่างกาย” จ้าวเหวินเฉียงมักใช้คำพูดอย่างเป็ทางการ ถามสภาพการณ์ตอนนี้ของชายชราสกุลหูก่อน แล้วเอ่ยถึงการเก็บเกี่ยวปีนี้เป็เช่นไร อ้อมอยู่หนึ่งรอบ สุราก็ดื่มไปแล้วสามจอกจึงกลับมาที่หัวข้อหลักได้
“ฉางหลิน ค่ำเช่นนี้แล้ว มาหาอามีเื่อันใด?” จ้าวเหวินเฉียงกล่าวถาม
“ท่านอาจ้าว เป็เช่นนี้ ปีนี้ตอนฤดูใบไม้ร่วงไม่ใช่ว่าฝนตกหนักหลายห่าหรอกหรือ เห็ดในเขาผุดขึ้นเป็ตอๆ เด็กที่บ้านจึงขึ้นเขาไปเก็บมากันเสียมากมายทุกวัน” หูฉางหลินหยุดไปพักหนึ่ง
“ฝนที่เข้าฤดูใบไม้ผลิมากนัก แต่ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าไร เห็ดตากไม่แห้ง เก็บแล้ววางไว้ก็เน่าเปื่อย หรือบ้านเ้ามีวิธีอื่นที่สามารถทำให้เห็ดแห้งได้?” จ้าวเหวินเฉียงเคยได้ยินชาวไร่ชาวนากล่าวกัน สกุลหูขายเห็ดแห้งจำนวนมาก ราคาเห็ดแห้งในหน้าหนาวเป็สามเท่าของยามปกติ หากว่ามีวิธีจัดการให้เห็ดแห้งจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่สกุลหูจะร่ำรวยขึ้นมาได้
“ท่านอาจ้าว ท่านฉลาดจริงๆ พอทายก็ทายได้เลยนะขอรับ” หูฉางหลินตอบรับแล้วหัวเราะ ทันทีหลังจากนั้นจึงนำวิธีอบแห้งเห็ดกล่าวออกมาอย่างละเอียด
จ้าวเหวินเฉียงฟังจบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ฉางหลิน เ้าเอาวิธีอบแห้งเห็ดกล่าวออกมา หมายความว่าอย่างไร?” หรือว่าเป็การมาบอกกล่าวเขาโดยเฉพาะ?
“เป็เช่นนี้ขอรับ วิธีนี้เป็ท่านแม่ข้าคลำหาวิธีทำออกมาด้วยตัวเอง พวกเราหมู่บ้านวั้งหลินในป่าเขาที่มีเยอะที่สุดไม่ใช่ว่าเป็เห็ดหรอกหรือ บ้านข้าบ้านเดียวไม่สามารถเก็บเห็ดได้หมด ดังนั้นความหมายของท่านแม่ของข้าก็คือ อาศัยท่านบอกทุกคน ให้เหล่าชาวไร่ชาวนาล้วนหาเงินเสริมได้บ้าง” หูฉางหลินกล่าว
“…” จ้าวเหวินเฉียงตกตะลึง สกุลหูใจกว้างเช่นนี้? วิธีที่เพิ่งคิดได้ยังไม่ปกปิดเก็บเงียบที่บ้านตนเองร่ำรวยขึ้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะกล่าวเปิดเผยออกมาตรงๆ เช่นนี้? หญิงชราสกุลหูของตระกูลพวกเขา ไม่เหมือนฟู่เหรินที่ใจกว้างและเสียสละอย่างนั้น ในหมู่บ้านผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่า ตลอดมาสกุลหูล้วนเป็หวังซื่อที่รับผิดชอบด้วยความเผด็จการ เหตุผลที่นางทำเช่นนี้คืออะไรกัน?
“นี่ เป็ความเห็นของท่านแม่เ้าหรือ?” จ้าวเหวินเฉียงถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่แล้ว ย่อมเป็ความเห็นของท่านแม่ขอรับ” หูฉางหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เช่นนั้น พวกเ้าต้องใช้อันใดแลกเปลี่ยนหรือไม่?” จ้าวเหวินเฉียงถามอีก
“ไม่ต้องขอรับ ท่านแม่กล่าวแล้วว่าเอาวิธีบอกแก่ท่านอาจ้าว อาศัยท่านอาจ้าวบอกทุกคนก็พอ ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เป็คนหมู่บ้านเดียวกัน ่นี้บ้านข้าพึ่งพาการเลี้ยงกระต่ายกับเก็บเห็ดหาเงินเล็กน้อย อยากให้ทุกคนหาเงินได้บ้างสักนิด แค่เพียงต้องขยันขึ้นเขาเก็บเห็ดเร็วหน่อย จะได้หาเงินเป็ค่าอาหารได้บ้าง” มองจ้าวเหวินเฉียงที่แสดงสีหน้าไม่แน่ใจ หูฉางหลินคิดลำพองใจอยู่ข้างในเล็กน้อย สามารถเอาวิธีหารายได้บอกออกมาอย่างไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งไม่ใช่เื่ที่คนทั่วไปจะทำกันได้
จ้าวเหวินเฉียงไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวน้ำเสียงผ่อนคลาย “ได้ ข้าเข้าใจความคิดของท่านแม่เ้า แต่ตอนนี้กำลังอยู่ใน่ที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว วิธีนี้น่ะยังต้องรอจนกระทั่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ หลังจากข้าลองแล้วจึงจะบอกชาวไร่ชาวนาได้” แม้สกุลหูอบแห้งเห็ดไม่น้อย แต่ในฐานะที่เป็หัวหน้าหมู่บ้าน เขาจะต้องทดลองก่อนจึงจะสามารถยืนยันได้
“นี่เป็ธรรมดาขอรับ เช่นนั้นทำให้ท่านลำบากใจแล้ว วันนี้สีท้องฟ้าก็เริ่มค่ำ ไม่พูดมากข้ากลับก่อนจะดีกว่า” จัดการธุระจบ หูฉางหลินลุกขึ้นกล่าวลาในทันที พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปซื้อเนื้อในเมือง ช่างยุ่งมากจริงๆ
ส่งหูฉางหลินไปแล้ว จ้าวเหวินเฉียงนั่งอยู่บนม้านั่งคนเดียว ย่นหัวคิ้ว คาดเดาเจตนาของสกุลหู ทว่าอารมณ์เคลิ้มเมาตีขึ้น ความอ่อนเพลียและความง่วงจู่โจมเข้ามา ไม่มีทางเลือกไปนอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เชิงอรรถ
[1] แขนขาดขาหาย เป็การอธิบายว่าสิ่งของหรืองานที่ไม่สมบูรณ์ มีข้อบกพร่องช่องโหว่อยู่ทุกหนทุกแห่ง
[2] เถาซูปิ่ง คือ คุกกี้ลูกท้อ หรือ ชอร์ตเบรด (Shortbread) ลูกท้อ