หลังอ่านเสร็จ เจิ้งหยวนก็เก็บจดหมายเข้าที่เดิม ในขณะนั้นเองก็มีเสียงะโของเจิ้งเจวียนดังมาจากข้างนอก “พี่สาวรอง พี่สาวรอง ฉันได้ยินว่าพี่เขยรองกลับมาแล้วค่ะ!”
หัวใจเจิ้งหยวนพลันเต้นผิดจังหวะ เธอเงยหน้าขึ้นมองเจิ้งเจวียนที่เปิดประตูเข้ามาหาพร้อมกระเป๋าหนังสือข้างหลัง เมื่อโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะก็หันมาเอ่ยกับเจิ้งหยวน “ฉันได้ยินคนพูดตอนเลิกเรียนวันนี้ว่าพี่เขยกลับมาแล้ว!”
“กลับมาแล้วเหรอ?” เจิ้งหยวนแปลกใจไม่น้อย “เร็วเชียว!” ไม่รู้เป็เพราะติดความตื่นเต้นจากในจดหมายมาหรือเปล่า เธอถึงประหม่าเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก เฝิงเจี้ยนเหวินกลับมาแล้ว หมายความว่าเธอจะแต่งงานเร็วๆ นี้ การแต่งงานถือเป็หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดของชีวิต ต่อให้ไม่ได้เฝ้ารอก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
“ใช่ค่ะ” เจิ้งเจวียนวิ่งเข้ามานั่งใกล้พี่สาวตน แล้วถูมืออย่างแรง “หนาวจังๆ หนาวแทบตายแล้ว ฉันเดินผ่านหน้าปากซอยบ้านพวกเขามา พอเหลือบมองไปทางนั้นก็เห็นคนล้อมกันเยอะแยะ เขาบอกกันว่าพี่เขยกลับมาแล้ว คึกคักน่าดูเลยละ”
เจิ้งหยวนยัดถ้วยน้ำร้อนที่เพิ่งเทเมื่อครู่ใส่มือเจิ้งเจวียนให้เธออัง น้ำในนั้นร้อนมากเสียจนเจิ้งเจวียนต้องก้มหน้าลงเป่าแล้วค่อยจิบมัน “พี่เขยค่อนข้างดังเลยทีเดียว พอกลับมาคราวนี้คนเลยไปมุงบ้านเขาเต็มไปหมด ฉันก็อยากไปดูด้วย… โธ่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าพี่เขยหน้าตาเป็ยังไง”
“เห็นบอกว่าไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว แถมยังเป็ทหารชั้นสัญญาบัตรด้วย น่าจะไปดูคนหน้าใหม่กันน่ะ” คนเป็ทหารในยุคนี้อนาคตสดใส แต่จะมีสักกี่คนที่ไต่เต้าจนมียศได้ ทหารชั้นสัญญาบัตรแตกต่างกับพลทหารธรรมดาอย่างสิ้นเชิง เงินเดือนของทหารชั้นสัญญาบัตรอยู่ระดับเดียวกับเ้าหน้าที่รัฐในอำเภอและแปรผันตามตำแหน่ง ผู้หมวด ผู้กอง ผู้พัน ผู้การ และนายพล เฝิงเจี้ยนเหวินไม่ได้บอกว่าเขาอยู่ขั้นไหนในจดหมาย แต่จากที่เขาเอ่ยถึงผู้พันราวกับพี่ชายตนเอง แสดงว่าเขาต้องพูดคุยกับผู้พันหลิวอยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ถึงได้ใกล้ชิดขนาดนั้น การที่เขาสนิทชิดเชื้อกับคนระดับผู้พัน คงจะไม่ได้เป็หัวหน้าหมู่เล็กๆ หรอกมั้ง? แค่เดาดูก็รู้ว่าตำแหน่งเขาต้องสูงแน่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องระดับผู้หมวดแหละ แม้กระทั่งตำแหน่งรองผู้หมวดยังมีเงินเดือนเดือนละห้าสิบกว่าหยวน เมื่อรวมกับเงินอุดหนุนสิบเปอร์เซ็นต์ทุกเดือน ก็จะได้เงินหกสิบหยวนเต็มๆ !
หกสิบหยวนมากขนาดไหนน่ะหรือ? ยุคสมัยนี้แป้งสาลีราคาจินละ 0.18 หยวน เนื้อหมูจินละ 0.70 หยวน แค่นึกดูก็รู้แล้วว่าเงินหกสิบหยวนมันเยอะแค่ไหน เอาจริงๆ เงินเดือนเฝิงเจี้ยนเหวินอาจจะสูงกว่าหลินเสี่ยวหยางเสียอีกมั้ง ผู้ชายที่หน้าตาคมคาย ภูมิหลังครอบครัวดี เงินเดือนสูง ล้วนเป็ที่นิยมชมชอบในกองทั้งนั้น เมื่อก่อนเขายังไม่กลับมาทุกคนได้ยินเพียงเื่เล่าของเขา ตอนนี้เขากลับมาแล้ว คนย่อมต้องแห่ไปดูที่สกุลเฝิงว่าบุคคลในตำนานเป็อย่างไรบ้าง และถือโอกาสผูกสัมพันธ์ไปด้วย เพราะบางทีอาจจะ้าความช่วยเหลือจากเขาในสักวัน
เจิ้งเจวียนพลันเบ้ปาก “ใหม่แค่ไหนก็เป็พี่เขยของฉัน!”
เจิ้งหยวนหัวเราะ
เจิ้งเจวียนจิบน้ำอีกอึก พลางลอบสังเกตสีหน้าของเจิ้งหยวน “พี่ ทำไมพี่เหมือนไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยล่ะ?พี่ ไม่สงสัยหรือว่าพี่เขยหน้าตาเป็ยังไง”
ถึงตื่นเต้นก็ไม่ให้เธอมองออกหรอก
เจิ้งหยวนเท้าแขนกับโต๊ะแล้วค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า “จะหน้าตายังไงล่ะ ก็มีสองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากเหมือนมนุษย์น่ะสิ…” เธอเว้น่ครู่หนึ่ง แล้วนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “เฝิงเจี้ยนเหวินกับน้องชายของเขา เฝิงเจี้ยนอู่เป็ฝาแฝดกันไม่ใช่เหรอ หน้าตาน่าจะเหมือนเฝิงเจี้ยนอู่มั้ง?” ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเจิ้งหยวนไปบ้านสกุลเฝิงหลายครั้ง แต่สกุลเฝิงแยกบ้านกันแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองอาศัยอยู่กับครอบครัวลูกชายคนโต เธอเลยบังเอิญเจอเฝิงเจี้ยนอู่เพียงครั้งเดียวและทักทายผ่านๆ เท่านั้น จึงจำได้แค่ว่าตัวค่อนข้างสูง เผลอๆ อาจจะถึงร้อยแปดสิบก็ได้ แต่น่าเสียดายที่เฝิงเจี้ยนอู่หลังค่อมไปหน่อย ซึ่งผู้ชายตัวสูงๆ หลายคนมักประสบปัญหานี้ ดวงตาเขากลมโต คิ้วเข้ม มองแวบแรกถือว่าดูดีเลยทีเดียว ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ต่างจากคนชนบททั่วไปนัก ผิวคล้ำเล็กน้อย ทั้งหน้าตายังอมทุกข์
“ฝาแฝดก็ใช่ว่าจะเหมือนกันนี่” ในกองไม่ได้มีแฝดสกุลเฝิงแค่คู่เดียว เจิ้งเจวียนก็มีเพื่อนร่วมชั้นเป็ฝาแฝดและสองคนนั้นหน้าไม่เหมือนกันสักนิด
“ก็จริงนะ” เจิ้งหยวนเอ่ยพลางครุ่นคิด ฝาแฝดแบ่งออกเป็แฝดแท้กับแฝดคนละฝา แฝดแท้จะหน้าตาเหมือนกัน ทว่าฝาแฝดส่วนใหญ่จะเป็แฝดคนละฝาที่มีลักษณะไม่ต่างจากพี่น้องทั่วๆ ไปนัก แต่คนสกุลเฝิงไม่ได้หน้าตาอัปลักษณ์เสียหน่อย อย่างไรเสีย เฝิงเจี้ยนเหวินก็คงไม่น่าเกลียดหรอกมั้ง ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับเธอ
คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเจวียนจะให้ความสำคัญกับหน้าตาเพียงนี้ เด็กสาววางถ้วยชาแล้วลุกพรวดขึ้น “ไม่ได้ ฉันต้องไปดูหน่อยว่าพี่เขยรองหน้าตาเป็ยังไงกันแน่”
สิ้นเสียงก็เตรียมตัวจะวิ่งแจ้นออกไปทันทีจนเจิ้งหยวนรีบคว้าแขนเธอไว้ “จะไปทำไมน่ะ ฟ้าใกล้มืดแล้วนะ… รีบขนาดนี้ ตกลงคู่ของฉันหรือของแกเนี่ย?”
“ฉันกลัวพี่เขยรองหน้าตาไม่ดีนี่” เจิ้งเจวียนคิดมากจริงๆ ว่าพี่สาวเธอหน้าตาสวยขนาดนี้ หากเฝิงเจี้ยนเหวินน่าเกลียดขึ้นมา ต่อให้เป็ทหารอย่างไรก็คงไม่คู่ควรกับพี่สาวเธออยู่ดี
เจิ้งหยวนจนปัญญา “ไม่ว่าหน้าตาเขาจะเป็ยังไง งานแต่งก็ต้องเกิดขึ้นเหมือนเดิมอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? อย่าเสียเวลาเลย ไม่ช้าก็เร็วต้องเจอกันอยู่ดี ไม่ต้องรีบร้อนหรอก แกหิวแล้วหรือยัง ฉันผิงมันเทศไว้ในเตา น่าจะสุกแล้วละมั้ง” เธออาศัยฟืนใต้หม้อที่เพิ่งดับใส่มันเทศเข้าไปผิงไฟสักพักหลังทำอาหารเสร็จ มันให้รสชาติไม่ต่างจากมันเทศเผา เจิ้งเจวียนกับเจิ้งหยวนเลยชอบกินมาก ซิงซิงก็ชอบเหมือนกัน ดังนั้นเจิ้งหยวนจึงยัดมันเทศหลายหัวไว้ใต้เตาหลังทำอาหารทุกครั้ง
ในขณะเดียวกัน สกุลเจิ้งเริ่มกินข้าว แต่สกุลเฝิงกลับยังไม่ได้ทาน
เฝิงเจี้ยนเหวินเพิ่งกลับถึงบ้าน สมาชิกทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านลูกชายคนโตของสกุลเฝิง ครอบครัวลูกชายคนโต เฝิงเจี้ยนหวา นอกจากสองผู้เฒ่าแล้วก็มีสมาชิกรวมกันเจ็ดคน ครอบครัวลูกชายคนรอง เฝิงเจี้ยนผิง มีทั้งหมดหกคน ส่วนลูกชายคนที่สี่อย่างเฝิงเจี้ยนจวินกับคนที่ห้า เฝิงเจี้ยนอู่มีประชากรน้อยที่สุด เพราะมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น แต่เมื่อครอบครัวใหญ่นับยี่สิบกว่าคนรวมตัวกัน เลยคึกคักมีชีวิตชีวากันสุดๆ
นี่ขนาดส่งญาติๆ และเพื่อนบ้านบางส่วนกลับไปแล้วนะ ่บ่ายคนเยอะยิ่งกว่านี้ เอะอะวุ่นวายจนบอกไม่ถูกเลยละ
เนื่องจากมีปากท้องรอกินข้าวกันมากมายเลยไม่อาจทำอาหารเสร็จในเวลาสั้นๆ ได้ โชคดีที่คราวนี้นอกจากนำบุหรี่ สุรา น้ำตาล และชามาแล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินยังนำปลากับเนื้อแช่แข็งกลับมาด้วย มิอย่างนั้นที่บ้านคงไม่มีกระทั่งวัตถุดิบทำอาหารดีๆ
แต่ก็ทำให้บ้านใหญ่ปวดใจไม่น้อย ปากท้องเยอะขนาดนี้ มื้อหนึ่งต้องเสียเสบียงเยอะเลย!
สะใภ้สกุลเฝิงทำอาหารอยู่ในห้องครัว พวกผู้ชายก็จับกลุ่มคุยเล่นกัน
ผู้ชายมีความผูกพันกับกองทัพ เฝิงเจี้ยนเหวินก็กลับบ้านนานๆ ที กลับมาหนนี้ พวกเขาเลยมีเื่ให้ถามกันเยอะหน่อย
“เจี้ยนเหวิน นายอยู่ในกองทัพเป็ยังไงบ้าง? ได้เลื่อนขั้นแล้วหรือยัง?” พี่ชายคนโตถาม
“เจี้ยนเหวิน ตอนนี้พวกนายยังรบอยู่ไหม ดีร้ายยังไงนายก็เป็ทหารชั้นสัญญาบัตรแล้ว ่รบคงไม่ต้องขึ้นไปอยู่แนวหน้าหรอกมั้ง?” พี่ชายคนรองเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจี้ยนเหวิน อาหารการกินในกองพวกนายเป็ยังไงบ้าง? ฉันได้ยินว่ามีเนื้อทุกมื้อเลย เป็เื่จริงหรือเปล่า?” เป็พี่ชายคนสามที่ถาม
“พี่สี่ กองพวกพี่ฝึกซ้อมกันยังไงเหรอ? ตอนนี้พี่เป็ทหารชั้นสัญญาบัตรแล้ว คงต้องนำทัพใช่ไหม? พี่มีทหารอยู่ในมือกี่คนกัน?” เ้าห้าถาม
เฝิงเจี้ยนเหวินเริ่มคลายข้อสงสัยให้พี่น้องทีละคนๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทน “ผมอยู่ในกองทัพสบายดี ผู้พันหลิวเป็คนมีน้ำใจ ดูแลผมดีมาก ่นี้ไม่รบกันแล้ว สงบสุขกว่าแต่ก่อนมาก แค่ฝึกค่อนข้างโหดไปสักหน่อย อากาศหนาวจัดยังต้องฝึกซ้อม ไม่อาจผิงไฟอยู่ในห้องเหมือนบ้านเราได้ ยกน้ำหนักห้าสิบกงจิน [1] หลายสิบลี้ท่ามกลางหิมะโปรยปราย แช่แข็งคนจนป่วยไปไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่ก็สมควรแล้ว มีบทกวีหนึ่งกล่าวไว้ว่ากระบี่คมต้องผ่านการลับอย่างอดทน ความหอมของดอกบ๊วยมาจากการผ่านฤดูหนาวอันยาวนานไม่ใช่เหรอ งั้นฝึกไม่หนักจะสร้างทหารกล้าออกมาได้ยังไงล่ะ ประเทศให้สวัสดิการดีกับพวกเรา เพราะหวังให้พวกเราฝึกร่างกายและจิตใจจนแข็งแกร่งมาปกป้องบ้านเมือง ชีวิตความเป็อยู่ของกรมเราไม่ได้แย่ อาหารการกินค่อนข้างดี ไม่ได้มีเนื้อทุกมื้อหรอก แต่มีหมั่นโถวแป้งขาวกินตลอด ดีกว่าอยู่ที่บ้านมาก” เขาพูดสิ่งที่พูดได้ไปหมดแล้ว ส่วนที่พูดไม่ได้ก็ปล่อยเบลออย่างชาญฉลาด อย่างเช่นตำแหน่งและเงินเดือนของเขา เขาโชคดีหน่อยที่ระหว่างเป็พลทหารได้รับการแนะนำให้ไปเรียนที่สถาบันทหารปืนใหญ่ พอกลับมาเลยได้เลื่อนขั้นอีกครั้งและกลายเป็รองผู้พัน มีเงินเดือนอย่างเดียวนับร้อยหยวน
เงินเยอะใช่ว่าไม่ดี แต่มีมากเกินไปจะดึงดูดความริษยาและขัดแย้งจนส่งผลกระทบต่อความสามัคคีในครอบครัว แถมสองผู้เฒ่ายังมีลูกชายตั้งห้าคน พี่น้องทุกๆ คนพยายามกตัญญูเต็มที่ย่อมดีกว่ามาหวังพึ่งเขาคนเดียวเพียงเพราะเขาเงินเดือนสูง
เชิงอรรถ
[1] กงจิน หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนักของจีนมีค่าเท่ากับ กิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้