เนื่องมาจากอวี้อ๋องกล่าวถ้อยคำที่น่ากลัวเอาไว้ บัดนี้ทุกคนต่างกระสับกระส่าย ด้วยเกรงว่าจะถูกหมายตา ควรรู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคือรัชทายาท ไม่ใช่อวี้อ๋อง
แม้อวี้อ๋องจะมีฐานะสูงศักดิ์ แต่คนผู้นี้ไม่ปรกติ มักทำให้ผู้อื่นครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก
เป็บุรุษแต่กลับสวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาดบาดตา ในความรู้สึกของพวกนางนี่เป็การแต่งกายที่แปลกพิลึก
และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงพากันสงบเสงี่ยมเจียมตัว ด้วยกลัวจะพลาดพลั้งถูกเขาหมายตา พูดตามตรง เฉียวเยว่รู้สึกว่าเป็คุณหนูเช่นพวกนางไม่ง่ายเลยจริงๆ ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือของผู้อื่น ต้องคอยระแวงว่าตนเองจะถูกคนหมายตาหรือไม่
นางถอนหายใจเบาๆ ไท่ไท่สามหยิกนางหนึ่งที
ปรกติแล้วบุรุษที่เข้ามาส่วนใหญ่หลังจากคารวะทักทายแล้วก็จากไป บุรุษสตรีจำเป็ต้องแยกกันให้ชัดเจน แต่หรงจ้านกลับไม่ใช่ เขาเดินมานั่งข้างพระวรกายของฮองเฮาโดยตรง และเริ่มเช็ดมือ เช็ดนิ้วมือทีละนิ้วอย่างพิถีพิถัน หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกเฉียวเยว่ "เ้าแตงน้อย มากินอิงเถาเร็ว"
อิงเถาผลกระจิริดแวววาวใครเห็นเป็ต้องชอบ แต่เฉียวเยว่กลับส่ายหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง "ท่านพี่อวี้อ๋องเสวยเองเถิด ขอบพระทัยเพคะ"
เดินขึ้นไปหยิบของกินข้างพระวรกายไทเฮา นางต้องใช้ความกล้าถึงขั้นไหน!
เพิ่งใคร่ครวญเสร็จหมาดๆ อิงเถาลูกหนึ่งก็ลอยออกมา เฉียวเยว่คว้าหมับรับอิงเถาไว้ด้วยสัญชาตญาณราวกับภูตปลาน้อย
หลังจากนั้นลูกที่สองก็โยนออกมา เฉียวเยว่ก็รับอีกหน
หลังรับเสร็จถึงตระหนักได้ ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ดูแปลกอย่างไรชอบกล
นางถืออิงเถาสองผล มองหรงจ้านอย่างงุนงง
ให้ตายเถอะ พฤติกรรมเมื่อครู่นี้เหมือนตอนเล่นกับเสี่ยวไป๋ไม่มีผิด
เขาเห็นสตรีสะสวยเช่นนางเป็สุนัขหรือไร? นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็หน้าง้ำ ทำปากยื่นใส่หรงจ้าน แล้วกล่าวตัดพ้อต่อว่า "ท่านพี่จ้าน การกระทำของท่านแย่มาก"
หรงจ้านไล้ปลายนิ้วบนขอบถ้วยชา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ค่อยๆ เอ่ยว่า "คำกล่าวนี้ปรักปรำผู้อื่นเป็อย่างยิ่ง ข้าไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง เ้ารับของเ้าเอง ยังมาโทษข้าอีกหรือ"
เฉียวเยว่ "..."
สาวน้อยทำแก้มป่อง กลับมานั่งที่ของตนเองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มือบีบผลอิงเถา จะกินก็ไม่ได้ จะไม่กินก็ไม่ได้
"จ้านเอ๋อร์อย่าแกล้งเฉียวเยว่อีกเลย หากแม่หนูน้อยถูกแกล้งจนร้องไห้จะแย่เอา" ไทเฮาทรงหยอกเย้า
หรงจ้านกลับไม่นำพา "นางไม่ชอบร้องไห้ ขนาดตอนเด็กๆ ยังไม่ร้อง ไหนเลยจะมาร้องเวลานี้"
พูดถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้ามองหรงฉางเกอ ทำท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "คนของญาติผู้น้อง.... ทำให้นางใ นางยังไม่ร้องไห้เลย จะว่าไป เ้าแตงน้อย เ้ากับน้องชายติดหนี้บุญคุณข้าอยู่หนหนึ่งนะ"
หากเขาไม่หยุดเว้น่ตรงกลางก็คงไม่มีคนรู้สึกอะไร แต่พอเขาหยุดเท่านั้นก็ทำให้คนรู้สึกว่าต้องมีอะไรอย่างเด่นชัด
คำพูดของคนประเภทนี้มักมีความหมายล้ำลึกแฝงอยู่เสมอ ผู้อื่นพากันก้มหน้า ด้วยกลัวว่าจะถูกเรียกชื่อ
แต่เฉียวเยว่กลับตอบชัดถ้อยชัดคำ "เช่นนั้นข้าจะเป็ม้าเป็วัวให้ท่านดีหรือไม่"
หรงจ้านส่ายหน้า "วัวกับม้ายังมีประโยชน์กว่าเ้าเยอะ"
เฉียวเยว่ถลึงตาอย่างโกรธจัด อิ้งเยว่กลัวน้องสาวจะอาละวาดโดยไม่คำนึงว่าที่นี่เป็วังหลวง จึงกุมมือของนางไว้แน่น
ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายพระเนตรของไทเฮา
"นั่งคุยกันเช่นนี้ เกรงว่าเด็กๆ คงจะรู้สึกเบื่อ ไม่สู้มาเล่นต่อคำเป็บทกวีดีหรือไม่?" ไทเฮาแย้มพระสรวลเบาๆ "พวกเราอายุมากแล้วไม่ขอเข้าร่วม ให้แม่นางน้อยอย่างพวกเ้าเล่นกันเป็อย่างไร?"
ดูท่านี่คือการทดสอบทุกคน
ตามที่ได้ยินมา การเข้าวังในวันนี้ก็เพื่อคัดเลือกชายาให้รัชทายาท การทดสอบเช่นนี้ไม่นับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมาย
ทุกคนย่อมไม่ขัดพระประสงค์ของไทเฮา แสดงความคล้อยตามทันที
"มิสู้ไทเฮาทรงเริ่มประโยคแรกดีหรือไม่?"
"อันความรู้บนกระดาษมักตื้นเขิน ต้องดำเนินเพียรฝึกฝนจนแตกฉาน" ไทเฮาทอดพระเนตรไปที่เฉียวเยว่ "ให้แม่นางน้อยเริ่มต้นก่อนดีกว่า"
เฉียวเยว่พยักหน้า "เดินมาถึงเขาร้างถิ่นกันดาร ยลเมฆาคล้อยผ่านสำราญใจ"
หากแสร้งโง่เขลาในเวลาแบบนี้เกรงว่าจะชัดเจนเกินไปจึงต้องเล่นไปก่อน ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างร่วมเล่นกัน พอวนไปได้สองรอบ เริ่มมีคนต่อไม่ได้ อาจเป็เพราะตอนแรกไม่มีกฎคัดออก เมื่อมีคนติดขัด จึงมักเป็อิ้งเยว่ที่ช่วยต่อแทนให้เพื่อให้การละเล่นดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น แต่นางก็ทำตัวปรกติมิได้แสดงความโอ้อวดหรือภาคภูมิใจมากมายนัก
เมื่อทุกครั้งที่มีคนไม่ได้ ก็มีคนต่อให้ การละเล่นนี้จึงสามารถเล่นกันได้ต่อเนื่องยาวนาน
จนในที่สุดก็มีคนทนไม่ได้
"เล่นอย่างนี้จะสนุกอะไร ไม่สู้ให้อิ้งเยว่เล่นไปคนเดียวยังดีกว่า" หรงจ้านพูดแกมประชด
ไทเฮากลอกพระเนตรใส่เขา
แต่หรงจ้านก็ยังพูดอย่างไม่เกรงใจ "ต้องมีการคัดออกถึงจะน่าสนใจ"
"เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นเถอะ"
เฉียวเยว่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเล่นอะไรเหล่านี้ หรือว่าคนไหนที่เฉลียวฉลาดหน่อยถึงจะมีคุณสมบัติเป็ชายารัชทายาท นางไม่เข้าใจจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงร่วมเล่นกับทุกคน
จนกระทั่งการละเล่นใหม่่เย็นสิ้นสุดลง เฉียวเยว่ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
"คุณหนูเจ็ดสกุลซูช่างร่าเริงสดใสยิ่งนัก" จู่ๆ ฮองเฮาซึ่งสงวนวาจามาโดยตลอดก็ตรัสขึ้น พระพักตร์ฉายรอยยิ้มอยู่หลายส่วน "แม่นางที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้น่าจะเข้ากับเหยียนเอ๋อร์ได้ดี"
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่านางพูดอะไร เหยียนเอ๋อร์? หมายถึงองค์หญิงอวิ๋นเล่อหรือ?
เป็ไปตามคาด หรงจ้านลุกขึ้น ยื่นมือมา "มา พี่จ้านจะพาเ้าไปเล่นกับพี่สาวคนหนึ่ง"
เฉียวเยว่มองฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม "ไปเถอะ แต่กลับมาเร็วหน่อยเล่า งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว"
ไทเฮาเม้มพระโอษฐ์ แต่มิได้แสดงอะไรเป็พิเศษ เพียงตรัสว่า "ยังมีเวลาเหลืออยู่ พวกเราเล่นของพวกเราไป ให้นางไปเถอะ"
หรงจ้านจูงเฉียวเยว่เดินออกมา เฉียวเยว่กระซิบเสียงเบา "ท่านพี่จ้าน ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน ท่านจูงข้าเช่นนี้ ผู้อื่นจะเอาไปนินทาได้"
หรงจ้านกุมมือนางแน่นกว่าเดิม "แล้วอย่างไรเล่า? เ้าคิดว่าข้าเป็คนประเภทสนใจถ้อยคำนินทาของผู้อื่นหรือ? คนเราควรดูแลตนเองให้ดีก็พอ หากมัวแต่วิตกว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรคงได้เหนื่อยตายพอดี ส่วนที่บอกว่าไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว หึๆ เ้ายังมีหน้ามาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้อีกหรือ ตอนเด็กๆ ข้าเคยอุ้มเ้า เคยจับก้นน้อยๆ ของเ้ามาแล้วด้วย อ้อ จริงสิ เ้ายังเคยทับข้าด้วย อื้ม ตอนที่ข้ากระดูกหักครานั้นอย่างไรเล่า"
ดูเหมือนเื่ราวในอดีตเ่าั้จะถูกคนผู้นี้ขุดออกมาพูดจนหมดเปลือก เฉียวเยว่หน้าแดงก่ำ อยากเข้าไปถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาจนแทบไม่ไหว เคยจับก้นของนางอะไรกัน อุ้มเด็กถ้าไม่จับก้นจะให้จับหน้าหรือ?
นอกจากนี้ นั่นคือตอนที่นางห้าขวบ เด็กขนาดนั้น เขายังอุตส่าห์จำได้
"ท่านพี่จ้าน สิบปีก่อนท่านเคยทำอะไรมาบ้างล้วนจดใส่สมุดบันทึกไว้ทั้งหมดใช่หรือไม่?" นางถามอย่างจริงจัง
หรงจ้านเนื้อยิ้มหนังไม่ยิ้ม "ไหนเลยจะเป็เช่นนั้น ข้าเป็คนความจำดีเยี่ยมแต่กำเนิด อย่าว่าแต่ตอนเ้ายังเล็ก เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ายังช่วยชีวิตเ้า ตอนนั้นข้ายังกอดเ้าด้วย"
เื่มีตั้งมากมายไม่พูด ต้องไปพูดถึงเื่นั้น คนผู้นี้จริงๆ เลย เฉียวเยว่นึกอย่างจะกัดคนมาก
นางพยายามฝืนทำหน้ายิ้ม เอ่ยเสียงเบาหวิว "เช่นนั้นข้าขอขอบคุณในพระคุณที่ท่านช่วยชีวิตเ้าค่ะ"
จะว่าไปเฉียวเยว่ไม่ใช่หมาป่าตาขาว ครานี้หรงจ้านช่วยชีวิตนางเป็บุญคุณอันใหญ่หลวง แต่ด้วยเหตุอันใดก็สุดรู้ นางกลับไม่รู้สึกอะไรเป็พิเศษ นี่คือสิ่งที่นางข้องใจอยู่ลึกๆ ตามหลักเหตุผลเมื่อติดหนี้บุญคุณผู้อื่น ก็ควรเจียมเนื้อเจียมตัวให้มาก หลังจากนั้นก็คิดหาวิธีตอบแทนบุญคุณให้เร็วที่สุด แต่นางกลับเหมือนไม่ใส่ใจอะไรเลย หรือว่าเพราะคุ้นเคยกันมากเกินไป?
เฉียวเยว่สับสนในตัวเอง เช่นนี้ไม่ดีเลย ไม่ดีจริงๆ
ระหว่างที่คิดอะไรฟุ้งซ่านก็ถูกหรงจ้านลากมาถึงนอกตำหนักแห่งหนึ่ง เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีสูงต่ำ "เ้าคิดว่าคนอย่างหรงฉางเกอเป็อย่างไร?"
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ "ก็ไม่เท่าไร"
คำพูดตรงๆ ของนางทำให้หรงจ้านหัวเราะขบขัน "เช่นนั้นจะให้เ้าได้พบกับแม่นางน้อยที่ไม่เท่าไรยิ่งกว่า"
"ยามพูดคุยกับนางเ้าต้องระวังหน่อย คนบางคนอาจไม่เป็อย่างที่เห็น" เขาเอ่ยอย่างสบายๆ
หลังจากนั้นก็เคาะประตู นางกำนัลเห็นเขาก็ยอบกายถวายพระพร
หรงจ้านจูงเฉียวเยว่เข้าประตูมา "องค์หญิงเล่า? เหยียนเอ๋อร์ ข้าพาน้องสาวมาเล่นกับเ้าแล้ว"
"ท่านพี่อวี้อ๋อง เข้ามาเถิด"
น้ำเสียงเนิบเบา เหมือนคนที่มีลมหายใจแต่ไร้กำลัง เหมือนคนอ่อนแอมาก ต่างจากน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเฉียวเยว่โดยสิ้นเชิง
เฉียวเยว่ตามหรงจ้านเข้าไปข้างใน เห็นดรุณีน้อยสวมชุดสีฟ้าอ่อนนั่งอ่านตำราอยู่ข้างโต๊ะ ตามเหตุผลแล้วนางอายุมากกว่าเฉียวเยว่สองปี ควรจะโตกว่า แต่ผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้ากลับตัวเล็กนิดเดียว สีหน้าก็ยังขาวซีด
นางยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงแ่เบา "ท่านพี่อวี้อ๋อง นี่คือน้องสาวที่ท่านเอ่ยถึงหรือ?"
เฉียวเยว่ถวายพระพรทันที
องค์หญิงอวิ๋นเล่อทอยิ้มอ่อนจาง "รีบลุกขึ้น ท่านพี่อวี้อ๋องมักชมน้องสาวอยู่บ่อยๆ ได้พบกันดียิ่งนัก"
เฉียวเยว่ลุกขึ้นยืนข้างกายหรงจ้าน พร้อมกับรายงานตัว "ข้าชื่อเฉียวเยว่คุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหว ท่านพี่องค์หญิง เหตุใดท่านไม่ไปเล่นที่ตำหนักไทเฮาเล่า คนมาเยอะเลยเพคะ"
เมื่อผู้ต้องชอบความร่าเริงสดใสของนาง ก็ต้องแสดงออกมาให้มากหน่อย
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ "พวกนางกำลังแต่งบทกวีกันอยู่เพคะ"
อวิ๋นเล่อก้มหน้า หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "แต่ว่า..." นางขบริมฝีปาก ก่อนเงยหน้าขึ้น "ข้าไม่เป็น่ะสิ ไปแล้วอาจรบกวนความสำราญของพวกเ้าเปล่าๆ"
เฉียวเยว่ส่ายหน้ายิก "ไม่หรอก ไม่หรอก แท้จริงแล้วข้าก็ไม่เป็เหมือนกัน พวกนางเรียนหนังสือกันหมดแล้ว แต่ข้ายังไม่เรียนเลย แค่เข้าไปร่วมครึกครื้นส่งเดชเท่านั้น ถึงอย่างไรคนไม่เป็ก็ย่อมไม่ขายหน้า"
อวิ๋นเล่อดูเหมือนจะชอบเฉียวเยว่มาก นางยิ้มพร่างพราย "ต่อไม่ได้ไม่ขายหน้าหรือ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "มีด้านอื่นที่ข้าเก่งกว่าพวกนาง จึงไม่รู้สึกขายหน้า"
นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างน่ารัก
"อืม เช่นการก่อปัญหา พวกนางล้วนสู้ข้าไม่ได้ แล้วข้าก็ชอบอวดเก่ง เลยไม่แคล้วถูกลงโทษ"
เฉียวเยว่ทำหน้าละห้อยทันควัน
อวิ๋นเล่อมองเฉียวเยว่ด้วยความสงสัย "เ้าถูกลงโทษบ่อยเลยหรือ?"
"ตีเพราะหวังดีด่าเพราะรัก" เฉียวเยว่ตอบทันควัน
อวิ๋นเล่อหัวเราะออกมาอีกครา บุคลิกของนางเป็คนอ่อนโยน แม้ว่านางจะมีสถานะเป็องค์หญิง แต่ก็เข้าถึงง่ายและดูเป็มิตร ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่หรงจ้านบอกสักนิด
"ท่านพี่อวี้อ๋อง รีบนั่งลงเถอะ"
อวี้อ๋องส่ายหน้า "ไม่เอา สกปรก"
อวิ๋นเล่อดูเหมือนจะชินเสียแล้ว และทำท่าเข้าใจ "ท่านพี่อวี้อ๋องมักเป็เช่นนี้ ภายหน้าจะแต่งภรรยาได้อย่างไร"
อวี้อ๋องเลิกคิ้ว "วันนี้ข้าอุตส่าห์แต่งตัวเฉิดฉายถึงเพียงนี้ แต่แม่นางเ่าั้ดูเหมือนจะไม่มีสายตา หวาดกลัวข้ากันแทบเป็แทบตาย เฝ้ารอแต่จะเป็เ้าสาวของพี่ชายเ้า เห็นแล้วก็น่ารำคาญยิ่งนัก แทบอยากจะควักลูกตาของพวกนางออกมา มีตาแต่ไร้แวว แล้วจะมีไปทำไม?"
อวิ๋นเล่อหัวเราะคิกคัก "ท่านพี่อวี้อ๋องพูดเหลวไหลเช่นนี้ ทำให้คุณหนูซูใแย่แล้ว"
นางก้มหน้า หลังจากนั้นก็เงยขึ้นมาถาม "คุณหนูซู... กลัวหรือไม่?"
ั์ตามืดดำแลดูน่ากลัว
เฉียวเยว่นึกในใจ ไอ้หยา... นางไม่ปรกติจริงๆ เสียด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้