ม่านราตรีปกคลุม สายลมเย็นพัดเอื่อย
แสงจากตะเกียงในเรือนสะท้อนเงาร่างเพรียวบางบนฉากกั้น
“คุณหนู เรือนของท่านอ๋องยังไม่จุดไฟเลยเ้าค่ะ”
ฝูเอ๋อร์แอบมองจากขอบหน้าต่าง นางหันซ้ายแลขวาเป็ครั้งคราว
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมองนาง “เ้ามองหาท่านอ๋องด้วยเหตุอันใด?”
ฝูเอ๋อร์ยังคงแอบมองจากขอบหน้าต่างอยู่เช่นเดิม “ไม่มีอะไรเ้าค่ะ เพียงแต่ดึกป่านนี้แล้วท่านอ๋องยังไม่กลับเลยนะเ้าคะ”
โดยปกติฮั่วเยี่ยนไหวจะกลับไว เป็เพราะโรคกลัวภรรยานั่นเอง
แม้ว่าทั้งสองคนจะนอนที่เรือนของตนเองเพราะกังวลที่ไป๋เซี่ยเหออายุยังน้อย ทว่าการได้เห็นเรือนของฮั่วเยี่ยนไหวจุดตะเกียงสว่างไสวก็มักก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ได้
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มเ้าเล่ห์ “เ้ามองหาท่านอ๋องหรือคนที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องกันแน่?”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ไป๋เซี่ยเหอหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
ปกติแล้วนางรับหน้าที่ดูแลเจียงเยว่เสียน ทว่าวันนี้มารดาของเซี่ยถิงมาถึงแล้ว นางจึงปลีกตัวมาอยู่ข้างกายนายท่านแทน
ฝูเอ๋อร์หน้าแดงทันที นางทั้งเขินทั้งโกรธ “เ้าหัวเราะอะไร? ไม่ช้าก็เร็วคุณหนูก็จะให้เ้าแต่งออกไปเหมือนกัน”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์ที่ถูกโจมตีกะทันหันรีบเก็บสีหน้าทันที นางหน้าแดงด้วยความรวดเร็วชนิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
“เ้า...พูดเหลวไหล ข้าจะอยู่ข้างกายนายท่านตลอดเวลา”
เมื่อกล่าวจบก็วิ่งออกจากเรือนทันที หัวใจของนางเต้นรัว
นางจะได้แต่งงานจริงหรือ?
ไป๋เซี่ยเหอเหลือบมองเจี่ยงอิงเอ๋อร์ที่วิ่งออกไป จากนั้นก็หยอกล้อฝูเอ๋อร์ต่อ “เช่นนั้นเ้าหมายความว่า เ้าอยากแต่งให้อิ๋งเฟิงอย่างนั้นหรือ?”
ฝูเอ๋อร์สำลักเมื่อได้ยินคำถามนี้ หน้าของนางแดงยิ่งกว่าเดิม ทว่ายังคงปากแข็ง
“ไม่ใช่นะเ้าคะ บ่าวเพียงขอให้ใต้เท้าอิ๋งเฟิงสอนวรยุทธ์เล็กน้อยเพื่อป้องกันตัว บ่าวไม่อยากเป็ภาระให้คุณหนูเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอมุ่นคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์กับคำว่า ‘ภาระ’ เท่าใดนัก ทว่านางไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะนี่คือการตัดสินใจของฝูเอ๋อร์ นางทำได้เพียงสนับสนุนเท่านั้น
“เช่นนั้นตอนนี้เ้าเรียนถึงไหนแล้ว?”
ฝูเอ๋อร์เอามือปิดหน้าอยู่นาน ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ใต้เท้าอิ๋งเฟิงบอกว่า หาก้าเรียนวรยุทธ์ อย่างแรกร่างกายและกระดูกต้องแข็งแรง เขาบอกว่าบ่าวผอมเกินไป ต้องกินข้าวให้มากเสียก่อน บำรุงร่างกายให้ดี จึงจะเริ่มเรียนได้เ้าค่ะ”
ถ้อยคำนี้ฟังดูไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ทว่า...
ใบหน้ารูปไข่ที่ตอนนี้ดูกลมขึ้นเรื่อยๆ ของฝูเอ๋อร์ มีส่วนใดใกล้เคียงกับคำว่าผอมเกินไปบ้าง?
“คุณหนู มีสาวใช้นางหนึ่งมาขอพบ นางรออยู่หน้าจวนเ้าค่ะ”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย นางวางจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะตรงหน้าไป๋เซี่ยเหอ
ฝูเอ๋อร์รีบรุดมายืนมาข้างกายเจี่ยงอิงเอ๋อร์ก่อนจะกล่าวว่า “ดึกป่านนี้แล้ว ผู้ใดมาขอเข้าพบกัน? บอกไปว่าคุณหนูพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
ดวงตาของเจี่ยงอิงเอ๋อร์ทอประกายเย็นเยียบ “ข้าบอกไปแล้ว แต่นางบอกว่าน้องรองของคุณหนูรู้สึกปวดท้อง จึงอยากเชิญคุณหนูไปตรวจดู”
ไป๋หว่านหนิงหรือ?
“ตำหนักของไท่จื่อไม่มีหมอหลวงหรือ? เหตุใดถึงต้องมาเชิญคุณหนูที่จวนของเราตอนดึกดื่นเช่นนี้?”
ไป๋เซี่ยเหอหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน เป็สายมือของไป๋หว่านหนิงไม่ผิดแน่
นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืน “เ้าไปบอกสาวใช้ผู้นั้นว่าให้นางกลับไปก่อน แล้วข้าจะตามไป”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์มุ่นคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของไป๋เซี่ยเหอ
“คุณหนู วันนี้ดึกมากแล้ว นอกจากนี้เราอาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้มาหลายวันแล้ว ทว่าเหตุใดถึงได้มาเชิญคุณหนูในวันที่ท่านอ๋องไม่อยู่? บ่าวคิดว่าคุณหนูควรพิจารณาให้รอบคอบเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอยื่นมือไปบีบใบหน้าของเจี่ยงอิงเอ๋อร์ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือหรือ?”
“หากนางจงใจที่จะเล่นงานข้า ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้นางต้องลงมือแน่ จะเป็วันไหนก็เหมือนกัน ทว่าถึงอย่างไรผู้กระทำย่อมแข็งแกร่งว่าผู้ถูกกระทำเสมอ”
นอกจากนี้ จิตใต้สำนึกของไป๋เซี่ยเหอยังบอกอีกด้วยว่า ไป๋หว่านหนิงไม่น่าหยิบยกเอาเด็กในครรภ์ของตนเองมาล้อเล่น
“ไม่ว่าอย่างไรเด็กในครรภ์ของไป๋หว่านหนิงก็เป็หลานของข้า ข้าย่อมไม่อาจหลับหูหลับตา ถึงอย่างไรก็เป็ชีวิตที่บริสุทธิ์”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์กำดาบแน่น แววตาเ็าแผ่ไอสังหารออกมา “เช่นนั้นบ่าวจะตามคุณหนูไปด้วย หากมีอันตรายเกิดขึ้น ตราบใดที่บ่าวยังมีลมหายใจ บ่าวต้องทำให้คุณหนูกลับมาที่จวนแห่งนี้ให้จงได้เ้าค่ะ!”
ไป๋เซี่ยเหอส่ายหน้า
“เ้าอยู่เฝ้าที่นี่ หากผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วข้ายังไม่กลับ ให้เ้าไปหาฮั่วเยี่ยนไหว เ้ามีวรยุทธ์ติดตัว หากคนนอกไม่รู้ว่าข้างกายข้ามีเ้า พวกเขาก็จะลดการป้องกันลง”
หลังจากนางตกหน้าผา ฝูเอ๋อร์ก็ถูกโหยวพิงถิงขัดขวาง และถูกมองว่าเป็มือสังหารจนเกือบถูกจับตัวไปลงโทษ
หากวันนั้นอิ๋งเฟิงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นทันเวลา...
อย่างมากตัวนางเองก็เพียงพักฟื้นอยู่ที่หุบเขาสักระยะ จากนั้นนางย่อมหาทางปีนขึ้นมาเองได้ ทว่าฝูเอ๋อร์นั้น...
ฝูเอ๋อร์กลับโชคร้ายมากกว่าโชคดี
ทว่าเจี่ยงอิงเอ๋อร์มีวรยุทธ์ติดตัว หากเจอสถานการณ์อันตราย อย่างน้อยนางย่อมเอาชีวิตรอดได้
หลังจากอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ไป๋เซี่ยเหอก็พาฝูเอ๋อร์ออกมา
“คุณหนู เราจะเดินไปจริงๆ หรือเ้าคะ?”
ฝูเอ๋อร์เดินอยู่ด้านหลังของไป๋เซี่ยเหอ รู้สึกสับสนอยู่บ้าง พวกนางไม่ได้รีบไปช่วยชีวิตคนหรือ? เหตุใดคุณหนูถึงได้ดูไม่รีบร้อนเลยเล่า?
ไป๋เซี่ยเหอเดินนำหน้า สายลมเย็นพัดเอื่อย รู้สึกสบายตัวเป็อย่างยิ่ง
“ไม่ได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกหลายวันแล้ว ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด”
“ไม่ใช่เ้าค่ะ บ่าวหมายถึงคุณหนูรองรอให้ท่านไปตรวจอาการอยู่นะเ้าคะ”
ไป๋เซี่ยเหอถอนหายใจอย่างจนปัญญา ฝูเอ๋อร์ยังคง ‘ซื่อบื้อ’ ปานนี้ได้อย่างไร?
“ไป๋หว่านหนิงให้สาวใช้มาขอพบพวกเราที่จวนในยามดึกดื่น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่ร้ายแรง เด็กในครรภ์ของนางนับว่าล้ำค่านัก หากมีปัญหาร้ายแรงจริง หมอหลวงทั้งเมืองคงแห่ไปที่ตำหนักของไท่จื่อแล้ว”
“คุณ...คุณหนู มีผีเ้าค่ะ!”
ฝูเอ๋อร์กรีดร้องอย่างกะทันหัน ก่อนจะะโหลบหลังไป๋เซี่ยเหอทันที
ไป๋เซี่ยเหอเงยหน้ามอง
บริเวณสี่แยกตรงหน้า คนผู้หนึ่งในชุดคลุมยาวสีขาวรีบเดินมายังทิศทางของพวกนาง
เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว เรือนผมที่ยาวถึงเอวก็เป็สีขาวเช่นเดียวกัน ส่วนดวงตาของเขาเป็สีน้ำเงินเข้มที่หาได้ยากยิ่ง
ภายใต้แสงจันทร์ เขาแผ่รัศมีเยือกเย็นออกมาจากทั่วสรรพางค์กาย ความสูงส่งและความสง่างามราวกับแผ่ออกมาจากกระดูก
เขาเดินมาตรงหน้าของไป๋เซี่ยเหออย่างรวดเร็ว ทว่ากลับเดินเฉียดนางไปราวกับมองไม่เห็น
‘ติ๊ง’
เสียงอะไรบางอย่างตกลงกระทบพื้น เสียงนั้นเบามากจนคนธรรมดาแทบไม่ได้ยิน
ทว่าไป๋เซี่ยเหอมีความสามารถของจิ้งจอก การได้ยินของนางจึงดีกว่าคนอื่น
นางหันกลับไปมองที่พื้น มีปิ่นปักผมเล่มหนึ่งตกอยู่ด้านหลังตนเองไม่เกินห้าก้าว
เห็นได้ชัดว่ามันร่วงลงมาจากตัวของชายผู้นั้น
นางเดินไปหยิบปิ่นปักผมเล่มนั้นขึ้นมา
เป็เพียงปิ่นไม้ธรรมดาๆ ดูราคาถูกเสียจนไม่เข้ากับการแต่งกายของชายผู้นั้นเลย เพียงแต่...
บนปิ่นปักผม มีลวดลายที่ไป๋เซี่ยเหอคุ้นตาจนไม่อาจคุ้นตาไปได้มากกว่านี้แกะสลักอยู่
จิ้งจอกหิมะเก้าหาง!
ไป๋เซี่ยเหอเก็บปิ่นปักผมเล่มนั้นโดยไม่รอให้ชายชุดขาวหวนกลับมา จากนั้นก็เดินนำฝูเอ๋อร์ไปที่ตำหนักของไท่จื่อ
“ท่านคือคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ใช่หรือไม่? ไป๋เช่อเฟยสั่งให้บ่าวรอท่านอยู่ที่นี่ บ่าวจะพาท่านเข้าไปเ้าค่ะ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าว
การตกแต่งในตำหนักของไท่จื่อช่างแตกต่างจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
ทว่าหากเปรียบเทียบกับความหรูหราตระการตาของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ตำหนักของไท่จื่อนับว่าร่ำรวยไม่แพ้กัน
ั้แ่พื้นที่รอบตำหนักไปจนถึงการตกแต่ง สถานที่ใดใช้สีทองได้ ก็จะใช้สีทองโดยไม่มีสีอื่นเจือปน มองปราดเดียวไป๋เซี่ยเหอก็นึกถึงคำคำหนึ่งทันที นั่นคือ
ร่ำรวย
ทว่าในคำว่าร่ำรวย กลับปราศจากความประณีตและละเอียดอ่อน
หลังเดินไปตามทางเดินยาวเก้าโค้งที่ประดับด้วยเสาหินชุบทอง จู่ๆ ฝูเอ๋อร์ก็มุ่นคิ้วและเอามือกุมท้อง “คุณหนู บ่าวรู้สึก...ไม่สบายท้องเ้าค่ะ”
นางกำนัลที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเม้มปากเป็รอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณหนูไป๋ ท่านเดินตรงไปตามศาลาหลังนี้นะเ้าคะ ส่วนบ่าวจะพาสาวใช้ของท่านออกไปก่อน ท่านเดินไปคนเดียวได้หรือไม่เ้าคะ?”
ไป๋เซี่ยเหอพยักหน้า ทว่าอดไม่ได้ที่จะระแวดระวัง นางเอ่ยกับฝูเอ๋อร์ “เ้าระวังตัวด้วย”
------------------------