พลบค่ำ แสงอาทิตย์อัสดงสาดย้อมผืนป่า แต่ภายใต้กิ่งใบที่แน่นทึบกลับมีเพียงจุดแสงที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบลงมาได้ เป็เหตุให้ภายในป่าทึบนี้แลดูมืดสลัวอยู่บ้าง
หลังจากกล้ำกลืนอาการาเ็และโคจรพลังิญญาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดลงสู่ขาทั้งสองข้าง ไป๋หยุนเฟยจึงวิ่งตะบึงภายในป่าเช่นนี้ได้
บนใบหน้าไป๋หยุนเฟยแสดงความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งร่องรอยความยินดีที่สามารถหลบหนีพ้นจากสถานการณ์ที่ล่อแหลมอันตราย ทั้งยังแฝงความเ็ปจากอาการาเ็ แต่ที่มากสุดกลับเป็ความสำนึกเสียใจอย่างล้ำลึก
“หนามธารน้ำแข็ง หนามธารน้ำแข็งของข้า!!” ยามวิ่งตะบึงไป๋หยุนเฟยก็ร้องคำรามในใจไม่หยุด “กลับต้องสูญเสียไปเช่นนี้... หนามธารน้ำแข็งของข้า!!”
หากเรียงลำดับความชมชอบต่อวัตถุิญญาทั้งหลาย หนามธารน้ำแข็งย่อมต้องอยู่ลำดับแรกเหนือกว่าแม้แต่ทวนเปลวอัคคี เนื่องเพราะนอกจากจะเป็วัตถุิญญาชิ้นแรกที่‘แย่งชิง’มาได้แล้วยังเป็เพราะผลเพิ่มเติมอันร้ายกาจสุดแสน บางคราไป๋หยุนเฟยยังรู้สึกกระทั่งว่าหนามธารน้ำแข็งชั้นหายากระดับต่ำยังประสิทธิภาพเหนือกว่าทวนเปลวอัคคีชั้นสมบัติตกทอดระดับต่ำอีก...
การต่อสู้หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าหนามธารน้ำแข็งกลับมีส่วนในชัยชนะมากกว่าทวนเปลวอัคคีด้วยซ้ำ
แต่ยามนี้ กลับต้องสูญเสียหนามธารน้ำแข็งไป...
ไป๋หยุนเฟยรู้สึกราวหัวใจกำลังหลั่งโลหิต...
วิ่ง วิ่ง วิ่ง... ไป๋หยุนเฟยไม่ทราบว่าวิ่งไปไกลเท่าใด มันวิ่งตะบึงตลอดทางกระทั่งทั้งพลังิญญาและพลังกายถูกใช้จนหมดสิ้นในที่สุดจึงหยุดยั้งลง
ไป๋หยุนเฟยเงยหน้ามองผ่านช่องระหว่างกิ่งใบไปยังท้องฟ้าที่ดาราเกลื่อนกลาด ใบหูก็ได้ยินเพียงเสียงมดแมลงร่ำร้องไม่ขาดสายและบางครายังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายแว่วมา
“มันสมควรจะไม่...สามารถไล่ตามข้าทันชั่วคราวแล้วกระมัง?...” ไป๋หยุนเฟยมองกลับหลังด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “ไม่วิ่งแล้ว ข้าไม่อาจวิ่งตะบึงอีกต่อไปแล้ว ข้าจะหยุดพักค้างแรมที่นี่สักคืน หากข้าวิ่งมาไกลเพียงนี้ศัตรูยังไล่ตามทัน ก็คงไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้ว...”
เมื่อหาต้นไม้ที่สูงใหญ่พบ ไป๋หยุนเฟยก็ปีนป่ายขึ้นไปยังคาคบไม้ที่หยาบหนากว่าลำตัวคน ก่อนจะกวาดตามองรอบด้าน หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอสรพิษหรือสัตว์ร้ายในบริเวณใกล้เคียง ก็นั่งลงขัดสมาธิหลับตาเริ่มต้นฟื้นฟูพลังิญญาและเยียวยาอาการาเ็ภายใน
วันต่อมายามที่ดวงอาทิตย์ลอยสูงส่องแสงเจิดจ้า ในที่สุดไป๋หยุนเฟยที่อยู่บนคาคบไม้ก็ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าหลังจากหยุดนิ่งไม่ไหวติงมาตลอดคืน
ไป๋หยุนเฟยสูดหายใจเต็มที่แล้วผ่อนออกอย่างแ่เบา จากนั้นยกมือขวาขึ้นกำหมัดเหวี่ยงแขนก่อนจะบีบนวดไหล่ซ้ายพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“โธ่! ยังคงฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ แต่เคราะห์ดีที่ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอันใด ข้าสมควรหายดีภายในวันสองวันนี้”
ไป๋หยุนเฟยนำเสบียงออกจากแหวนช่องมิติเพื่อเติมกระเพาะที่ว่างเปล่า ขณะรับประทานก็ครุ่นคิดถึงการต่อสู้ที่ผ่านมาวันก่อน
“มุสิกที่สามารถตามรอยข้าได้ก็ถูกฆ่าไปแล้ว ยามนี้พวกมันย่อมไม่อาจหาข้าได้พบอีก อีกทั้งป่านี้กว้างใหญ่ไม่น้อยต่อให้พวกมันออกค้นหาก็ไม่ต่างอันใดกับงมเข็มในมหาสมุทร ข้าเพียงต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจากนั้นเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังไม่ให้เผยร่องรอยต่อศัตรูเช่นที่ผ่านมา ก็จะไม่มีอันตรายอันใดอีก”
“ข้ายังด้อยประสบการณ์ทั้งยังฝึกปรือฝีมือไม่เพียงพอ แม้ความผิดพลาดเหล่านี้จะไม่ถูกคนธรรมดาหรือผู้ฝึกปรือิญญาที่ด้อยกว่าพบเห็น แต่กลับถูกศัตรูที่เข้มแข็งกว่าข้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง...”
“อุบายต่ำต้อยก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน และหากยังใช้ออกศัตรูกลับจะฉวยโอกาสวางอุบายซ้อนต่อข้าแทน นับจากนี้ ข้าไม่อาจถือดีอีก... ข้อได้เปรียบที่สุดของข้ายังคงเป็กระบวนการอัพเกรด! ขอเพียงผลกระทบพิเศษที่ศัตรูคาดเดาไม่ได้ปรากฏขึ้นก็จะกลายเป็กุญแจสู่ชัยชนะของข้าแล้ว!”
“แต่ยามนี้ แม้อาวุธธรรมดาจะมีผลกระทบเพิ่มเติมแต่ยังยากจะใช้ต่อสู้กับศัตรูที่เข้มแข็งได้ กับวัตถุิญญาข้าหลงเหลือเพียงทวนเปลวอัคคีกับเกราะิญญาไหมทอง โธ่... หนามธารน้ำแข็งของข้า!! หนามธารน้ำแข็งของข้า...” ทันทีที่นึกถึงหนามธารน้ำแข็งไป๋หยุนเฟยก็อดไม่ได้ต้องรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาอีก
“เข้มแข็งขึ้น! ต้องเข้มแข็งขึ้น!! ยามนี้ข้าถูกไล่ล่าราวสุนัขจรจัดเพียงเพราะข้าไม่เข้มแข็งพอ! ข้าต้องเพิ่มพูนพลังิญญาและอัพเกรดสิ่งของให้มากขึ้น!” ความคับข้องใจกลับกลายเป็ความเดือดดาลที่คอยผลักดันให้ไป๋หยุนเฟยไขว่คว้าหาพลังอีกครา
“สำนักช่างประดิษฐ์ สำนักช่างประดิษฐ์... เมื่อใดที่ข้าเข้าร่วมสำนักได้ ก็จะสามารถหลอมสร้างวัตถุิญญาด้วยตนเองได้! เมื่อนั้นหากใช้ร่วมกับกระบวนการอัพเกรดของข้า...”
“โธ่... ข้าคิดไปถึงไหนแล้ว? ยามนี้ที่สำคัญที่สุดคือจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ข้าต้องออกจากมณฑลฉิงหยุนนี้ให้เร็วที่สุด!”
… … … …
ผ่านไปอีกหนึ่งวันเต็ม สุดท้ายไป๋หยุนเฟยก็เดินออกจากป่าทึบนี้ได้ ยามที่มองเห็นหมู่บ้านเล็กๆไม่ไกลจากชายป่า น้ำตาไป๋หยุนเฟยก็ทะลักออกมาด้วยความยินดี “ในที่สุดก็มีผู้คนให้ถามทางได้แล้ว...”
เนื่องเพราะไป๋หยุนเฟยจำต้องพักผ่อนเต็มที่จึงค้างแรมที่หมู่บ้าน ชาวบ้านกลับทำให้ไป๋หยุนเฟยอบอุ่นใจนัก พวกมันต้อนรับคนแปลกหน้าที่พลันปรากฏตัวในที่รกร้างเช่นนี้อย่างกระตือรือร้น หลังจากที่ทราบว่าผู้มาเยือนาเ็ก็ถึงกับต้มยาชามใหญ่ให้ดื่ม...
เช้าตรู่วันต่อมา ไป๋หยุนเฟยกล่าวอำลาชาวบ้านที่สัตย์ซื่อเหล่านี้ด้วยความอาลัยก่อนจะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางเข้าสู่เมือง
สามวันต่อมาหลังจากผ่านทะลุป่าละเมาะออกมา ไป๋หยุนเฟยก็พบเห็นถนนใหญ่โตอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผู้คนสัญจรไปมาบางตา ท่ามกลางพวกมันปรากฏกลุ่มคนที่ดูราวกับเป็ขบวนสินค้าไม่ก็ขบวนผู้คุ้มกันกำลังขนย้ายสิ่งมากมายผ่านมา
“นี่สมควรเป็ถนนเส้นหลัก หากข้าไปตามเส้นทางนี้ก็สมควรไปถึงเมืองใหญ่ได้...” ขณะมองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาไป๋หยุนเฟยก็ลังเลอยู่บ้าง “เมืองใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องมีผู้คนหลากหลาย ข้าไม่ทราบว่าอิทธิพลตระกูลจางครอบคลุมถึงที่แห่งนี้หรือไม่ หากว่าถูกพบเห็นอีกครา...”
หลังจากก้มหน้าพึมพำกับตนเองชั่วครู่ไป๋หยุนเฟยก็สั่นศีรษะเย้ยหยัน พลางกล่าวกับตนเองว่า “หากมัวแต่กังวลไปทุกเื่ราวก็ไม่ต้องออกจากมณฑลฉิงหยุนแล้ว แม้แต่จางเจิ้นซานยังไม่อาจคร่ากุมข้าได้ ต่อให้ถูกบริวารตระกูลจางล้อมจับ ก็เพียงเข่นฆ่าเปิดทางออกไปเท่านั้น!”
“อีกอย่าง คราก่อนเป็เพียงเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น ข้าคงไม่เคราะห์ร้ายทุกครั้งไปกระมัง?” ขณะที่เงยศีรษะขึ้นไป๋หยุนเฟยก็มองดูขบวนสินค้าที่มีผู้คนสิบกว่าคนเดินทางไปตามถนนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะผงกศีรษะกล่าวกันตนเอง “จริงสิ เพียงปะปนไปกับขบวนสินค้าก็ได้แล้ว เมื่อเข้าสู่เมืองก็ซื้อหาสิ่งของที่จำเป็และพักผ่อนสักคืน แล้วจากไปในบัดดล! ใช่แล้ว ข้าต้องซื้อหาแผนที่ต่อไปจะได้ไม่หลงทางอีก...”
เมื่อตกลงใจได้ไป๋หยุนเฟยก็เดินเข้าหาขบวนสินค้า ผู้คนเหล่านี้ล้วนเดินทางอย่างปลอดโปร่ง หลังจากต่อรองกันคราหนึ่งก็รับชายหนุ่มท่าทางธรรมดาผู้นี้เข้าร่วมขบวน ไป๋หยุนเฟยหยิบยืมหมวกฟางมาสวมไว้บนศีรษะ ก่อนจะก้มหน้าอาศัยหมวกช่วยปิดบังพลางเดินทางอย่างเฉื่อยชา...
ผ่านไปถึงยามบ่าย ผู้คนกลุ่มนี้ก็บรรลุถึงประตูเมืองอันใหญ่โต ไป๋หยุนเฟยที่หลบซ่อนท่ามกลางกลุ่มคนก็เข้าสู่เมืองอย่างเชื่องช้า
ก่อนจะเข้าเมืองไป๋หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมองตัวหนังสือเหนือประตูเมืองที่สูงตระหง่าน --- เมืองไป๋เฟิง
กระนั้นไป๋หยุนเฟยกลับไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าเมืองแห่งนี้เป็ที่ซึ่งกำลังหลักแห่งสำนักธารน้ำแข็งชุมนุมกัน
มิหนำซ้ำกระทั่งสำนักธารน้ำแข็งยังตั้งอยู่เชิงเขาไป๋เฟิงที่ห่างจากเมืองออกไปเพียงสองวัน!
