บทที่ 6 ระดับปิ่ง
ณ แท่นพิธี
"ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก! บางทีข้าอาจไม่เคยพบเจอผู้ใดเช่นนี้มาก่อนในชีวิตเลย"
เซวี่ยจิงยังคงสวมอาภรณ์ผ้าป่านร้อยปะเช่นเดิม เขาลูบเครายาว ดวงตาทอประกายแวววับด้วยความตื่นเต้น
เซวี่ยจิงมิได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อยสำหรับรากฐานกระดูกระดับ 甲上 (เจี่ยซ่าง) ของอิ๋งปิง
ไม่ไกลออกไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเกียจคร้าน
สตรีในชุดอาภรณ์ราชสำนัก ใบหน้าขึ้นสีเรื่อด้วยฤทธิ์สุรา เอนกายพิงเก้าอี้อย่างไม่กระตือรือร้น
"นางคือผู้ที่ท่านกล่าวถึง ว่าพบเจอระหว่างที่ลงเขาหรือ?"
"แม่นางน้อยนี่แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงระดับใดบนบันไดสู่์"
เซวี่ยจิงเหลือบมองสตรีผู้นั้น แววตาเผยความจำยอม
"แม่หนูคนนี้ ข้าถูกใจนาง"
สตรีในชุดอาภรณ์ราชสำนักยกสุราขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจนัก
เหล่าผู้าุโ "......"
นี่เ้าไม่ได้มองความงามล่มเมืองของแม่หนูน้อยนั่นหรอกรึ?
"นางไม่เหมาะกับวิชาสายของท่านหรอก"
เซวี่ยจิงกล่าวอย่างจำยอม
"นี่เ้ามาพูดอะไรเหลวไหล! เ้าฝึกฝนตัวเองจนตัวร้อนราวเตาไฟ สตรีผู้นี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ควรเป็ศิษย์ของเ้า"
"หานเฮ่อ เ้าอยากจะสู้กับข้ารึ?"
เสียงที่แฝงความเ็าเอ่ยขึ้น
สตรีในชุดอาภรณ์ราชสำนักกำหมัดแน่น ท่าทางค่อนข้างกระหายการประลอง
"ทุกคนหยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว!"
ผู้าุโ หานเฮ่อถอยไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว พลางส่งเสียง 'ฮึ' ออกมาอย่างเกรงใจ
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
เมื่อเ้าสำนักเอ่ยปาก สตรีในชุดอาภรณ์ราชสำนักจึงหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มอีกสองอึกอย่างไม่เต็มใจ
เหล่าผู้าุโต่างมองหน้ากันอย่างฉงนสนเท่ห์
หรือว่าเ้าสำนักจะสนใจแม่หนูน้อยคนนั้น?
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปโดยไม่ทันรู้ตัว
มีผู้ผ่านการตรวจกระดูกในระหว่างนั้นแล้วกว่าห้าร้อยคน
ในที่สุด ก็ถึงคิวของหลี่โม่
หญิงชราจับไหล่เขาไว้ พลันรู้สึกถึงพลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามา พลังนั่นเตรียมที่จะไหลเวียนไปทั่วเส้นชีพจรและรากฐานกระดูก
แต่ไม่นาน…ก็อันตรธานหายไป
เอ๊ะ?
หญิงชราที่อยู่ตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงุนงง เป็ครั้งที่สอง
พลังภายในสามารถกระตุ้นอวัยวะ เส้นชีพจร และรากฐานกระดูกของมนุษย์ได้
รากฐานกระดูกยิ่งดี การตอบสนองต่อการกระตุ้นนั้นก็จะยิ่งรุนแรง
แต่...
ร่างกายของเด็กหนุ่มผู้นี้ กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
หากเป็เพียงแค่นั้นคงไม่เป็ไร ทว่าที่น่าแปลกคือ พลังภายในของนางกลับหายไปราวกับจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งที่ไร้จุดสิ้นสุด หากมิใช่นางเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าด้วยตาตัวเอง นางคงคิดว่านั่นเป็เพียงก้อนหินไร้ชีวิต
หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงจดชื่อเขาลงไป
"หลี่โม่ ระดับ 丙 (ปิ่ง) ไปได้"
"ขอบคุณขอรับ"
หลี่โม่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว จึงประสานมือคารวะหญิงชรา ก่อนจะเดินผ่านประตูสำนักไปด้วยสีหน้าปกติวิสัย
"แย่แล้ว ได้แค่ระดับ 丙 (ปิ่ง) ท่านพ่อคงไม่พอใจแน่"
"ถึงตอนนั้นเ้าต้องช่วยข้าพูดหน่อยนะ ท่านพ่อฟังคำพูดของเ้า"
หลี่โม่หัวเราะอย่างร่าเริง พลางใช้ไหล่ชนไหล่เด็กสาวข้างกายเบาๆ
อิ๋งปิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะถึงแม้พร์ระดับ 丙 (ปิ่ง) จะไม่ได้แตกต่างจากในความทรงจำมากนัก ทว่าหลี่โม่กลับดูไม่ผิดหวังเลย
หลี่โม่มีสีหน้าไม่ใส่ใจ ยังคงหัวเราะอย่างร่าเริงเช่นเดิม
"สามส่วนอยู่ที่ลิขิตฟ้า เจ็ดส่วนอยู่ที่มานะบากบั่น"
"จะรีบร้อนไปทำไม ข้ามีตัวช่วยดีอยู่น่ะ"
อิ๋งปิงมองดูท่าทางสบายๆ ของเด็กหนุ่ม
ช่างเถอะ
อย่างน้อยยาเม็ดสุริยะบริสุทธิ์หนึ่งขวดของเขาก็ช่วยให้นางเปิดเส้นชีพจรล่วงหน้าได้ถึงครึ่งปี
จิตใจเช่นนี้ก็นับว่าคู่ควรที่จะช่วยส่งเสริมให้ก้าวหน้า ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว
ในขณะนั้นเอง เสียงประกาศของผู้ดูแลคนหนึ่งไม่ไกลนัก ก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคนอีกครั้ง
ณ ลานพิธี
"หวังหู่ แขนเสือ เอวเสือดาว ระดับอี่จง!"
เสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วลานพิธี
นอกเหนือจากสองอัจฉริยะระดับเจี่ยแล้ว
หวังหู่ถือเป็ผู้มีพร์โดดเด่นที่สุดในที่นั้นเลยก็ว่าได้!
อาจเรียกได้ว่าเป็หนึ่งในหมื่นคนเลยทีเดียว
หวังหู่เชิดหน้าขึ้น ยิ้มหยิ่งผยองอย่างพึงพอใจกับคำยกยอจากผู้คนรอบข้าง พลางกวาดสายตามองฝูงชน
"มองอะไร?"
หลี่โม่ยังคงจมอยู่ในห้วงความคิด...
พลันนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ร่อนลงตรงหน้าประตูสำนัก
"รูปร่างดุจเสือพยัคฆ์อย่างนั้นรึ?"
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ดุจหอคอยเหล็ก ยื่นมือออกไปคว้าไหล่ของหวังหู่ทันที
หวังหู่ใจหายวาบ ทว่าก็เห็นพี่ชายเดินออกมาจากกลุ่มศิษย์ พร้อมส่งสัญญาณบางอย่างให้เขา
"ไม่เลว ไม่เลว เป็แขนเสือเอวเสือดาวจริงๆ"
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มอย่างพึงพอใจ
"ท่านอาจารย์ นี่คือน้องชายข้าขอรับ" หวังฮ่าวคารวะอย่างนอบน้อม
"ไม่เลว ไม่เลว เขาเหมาะสมที่จะฝึกฝ่ามือพยัคฆ์อัสนีของข้ามากกว่าเ้าเสียอีก"
เสียงหัวเราะของเขากังวานไปทั่วจนผู้คนเจ็บแก้วหู
"ฝูถู รอให้เขาเข้าศิษย์ชั้นในก่อน เ้าค่อยรับเขาเป็ศิษย์ก็ยังไม่สาย"
ผู้าุโร่างเตี้ยอ้วนขมวดคิ้วเตือน
ฝูถู?
หวังหู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดีใจจนเนื้อเต้นราวกับได้ของวิเศษ
นี่คือหนึ่งในผู้ดูแลศิษย์ชั้นในที่แข็งแกร่งเป็อย่างมาก หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งผู้าุโมีจำกัด เขาคงได้ขึ้นไปยังยอดเขานานแล้ว
"ฮ่าๆๆ กฎระเบียบข้ารู้ดี"
ฝูถูประสานมือคำนับอย่างไม่ใส่ใจนัก
ภายใต้การชี้นำของพี่ชาย หวังหู่รีบร้อนคารวะ
"คารวะท่านอาจารย์"
"เ้าไปผ่านบันไดสู่์เสียก่อนเถิด"
ฝูถูไม่ได้แก้ไขคำเรียกขานนั้น
หลังจากที่ฝูถูจากไป
หวังหู่ก็เชิดหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม ราวกับจะเขียนคำว่า 'หยิ่งผยอง' ไว้บนหน้าผาก
เดินผ่านประตูสำนักแล้ว เขาก็ตรงมาหาหลี่โม่ทันที พร้อมประสานมืออย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
"คุณหนูอิ๋ง ต่อไปพวกเราก็จะเป็ศิษย์ร่วมสำนักกันแล้ว"
สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือการไม่สนใจใดๆ
พร์เช่นนี้ ก็แค่พอไปวัดไปวาได้ในสถานที่เล็กๆ อย่างนครจื่อหยางก็เท่านั้น
ในสายตาของอิ๋งปิง พร์ระดับอี่ของหวังหู่ และระดับปิ่งของหลี่โม่นั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ต่างก็เป็เพียงหินผา จะแยกแยะไปทำไมว่าหินก้อนไหนเรียบเนียนกว่ากัน
หวังหู่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแดงก่ำ
เขาทำได้เพียงหันไปมองหลี่โม่อีกรอบ
"ฮ่าๆๆ พวกเราเป็คนบ้านเดียวกัน ถ้าข้าจะรุ่งเรืองแล้วจะลืมเ้าได้อย่างไร"
"ไม่สิ ศิษย์ชั้นในกับศิษย์ชั้นนอกต่างกันมาก ข้าจะลงมาหาเ้าสักครั้งคงไม่ง่ายนัก"
"ยิ่งกว่านั้น ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน ข้าก็อาจได้เป็ศิษย์สายตรงแล้ว"
"การได้พบเ้าสักครั้ง คงจะยากยิ่งกว่าการได้พบคุณหนูอิ๋งเสียอีก ใช่หรือไม่"
รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้ผู้ดูแลศิษย์ชั้นในหนุนหลัง หวังหู่ที่ยังเด็กและมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองอยู่แล้ว ก็รู้สึกพองลมในใจจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า
เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนที่มาจากอำเภอหนิงอัน ต่างมีสีหน้าอึดอัดใจ แต่ไม่อาจระบายออกมาได้ หวังหู่นั้นหยิ่งยโสโอหังมาแต่เดิมั้แ่ยังอยู่ในอำเภอ พอมาตอนนี้กลับก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในพริบตา
พวกเขาที่แต่เดิมไม่ชอบหลี่โม่ พลันรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับหวังหู่แล้ว หลี่โม่กลับดูน่าเอ็นดูขึ้นมาเล็กน้อย
"....อ่า ใช่เลย ใช่เลย"
เนตรทิพย์ลิขิตฟ้าของหลี่โม่ไม่เคยปิดลงเลย
นับั้แ่หวังหู่ตรวจสอบรากฐานกระดูกเสร็จสิ้น ลิขิตฟ้าสีเขียวของเขาก็เริ่มปรากฏร่องรอยสีดำเล็กน้อย
เมื่อครู่ที่เขาอวดเบ่ง ลิขิตฟ้าสีดำนั้นก็เข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน
กระทั่งคำประเมินก็เปลี่ยนไปเป็
"หยิ่งผยองในตนเอง ถูกผู้ดูแลศิษย์ชั้นในฝูถูใช้เป็เครื่องทดลองโดยไม่รู้ตัว อนาคตมืดมิด"
เขาไม่ชอบโต้เถียงกับพวกสติไม่ดี และยิ่งี้เีจะโต้เถียงกับคนที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว
หลี่โม่จึงทำเป็ไม่สนใจอีกครั้ง
"เ้า!"
หวังหู่จุกจนพูดไม่ออก ความโกรธที่ไร้ที่มาพลันพวยพุ่งขึ้นในใจ ทว่าผู้าุโร่างเตี้ยอ้วนก็ดูเหมือนจะมองมาทางนี้เช่นกัน
หวังหู่กวาดสายตาที่จับจ้องหลี่โม่และอิ๋งปิง พลางเยาะเย้ยในใจ
"วันหน้ายังมีอีกยาวนาน"
"อย่างไรเสีย ระหว่างศิษย์ชั้นในกับศิษย์สายตรงนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกเขาคงไม่มีทางมาพัวพันกันได้"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้