“เ้าเด็กคนนี้ช่างสามหาวนัก ต่อหน้าผู้าุโก็ยังกล้าพูดเช่นนี้”
“รนหาที่ตายจริงๆ ดูเหมือนว่าคงเบื่อชีวิตแล้วล่ะ”
ฝูงชนพากันนินทาอยู่ในใจ คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะใจกล้าถึงขนาดโต้เถียงกับท่านผู้าุโ
ในทวีปเก้า์ ยุคนี้เป็ยุคที่นิกายเฟื่องฟู หากนิกายแข็งแกร่งมากพอก็ควบคุมทั้งอาณาจักรได้ ด้วยอำนาจที่สามารถเรียกลมเรียกฝนเช่นนี้ ทำให้ในนิกายมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และลำดับขั้นก็มีความสำคัญสำหรับนิกายมาก ไล่ั้แ่ศิษย์สายนอก ศิษย์สายในและศิษย์หลัก เขยิบขึ้นมาอีกขั้นก็เป็ผู้าุโสายนอก ผู้าุโสายใน
หลินเฟิงเป็เพียงศิษย์สายนอกคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับม่อเสียแล้วนับว่าห่างกันมาก อาจพูดได้ว่าม่อเสียสามารถกำหนดชะตาชีวิตของหลินเฟิงได้ หากเขา้าให้ใครตาย คนคนนั้นก็ไม่อาจมีลมหายใจถึงวันพรุ่งนี้
ม่อเสียรู้สึกโกรธอยู่ในใจ หลินเฟิงเอาแต่พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา
“โหวชิ่ง การโต้เถียงกับผู้าุโในนิกาย ต้องลงโทษอย่างไร?” ม่อเสียกล่าวขึ้น โดยที่สายตาไม่ละไปจากหลินเฟิงเลยแม้แต่น้อย
“เรียนท่านผู้าุโ สถานเบาคือไล่ออกจากนิกาย สถานหนักคือทำลายการบ่มเพาะ แล้วค่อยไล่ออกจากนิกาย” มีหรือที่โหวชิ่งจะไม่เข้าใจความหมายของม่อเสีย โอกาสดีๆ มาวางอยู่ตรงหน้า แล้วจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“ท่านผู้าุโ ข้าน้อยโหวชิ่งคิดว่าการกระทำของหลินเฟิงไม่เหมาะสม สมควรทำลายการบ่มเพาะและขับไล่ออกจากนิกายหยุนไห่”
“ไม่ต้อง กว่าเขาจะบ่มเพาะพลังขึ้นมาได้ มันก็ไม่ใช่เื่ง่าย ดังนั้นไม่ต้องทำลายการบ่มเพาะของเขาหรอก แค่ตัดแขนข้างหนึ่งก็พอ จากนั้นค่อยไล่ออกจากนิกาย” ม่อเสียกล่าวอย่าง ‘ใจกว้าง’
“ชั่วร้ายนัก” หลินเฟิงรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ ระหว่างเขากับม่อเสียไม่เคยมีเื่บาดหมางใจกันมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับยัดเยียดข้อกล่าวหามาให้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องถูกไล่ออกจากนิกาย และถ้าหากถูกขับไล่ไปจริงๆ เกรงว่าหลินเชียนและชายหนุ่มผู้ชั่วร้ายคนนั้น คงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ เห็นได้ชัดว่าพวกนั้น้าสังหารเขา
สิ่งที่หลินเฟิงคิดเป็ความจริง ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจบชีวิตของหลินเฟิง
“เส้นทางแห่งนักรบผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ หากไม่มีพลังและพร์ที่มากพอ ก็จะไม่มีที่ยืนในนิกาย” หลินเฟิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนต้องพึ่งพาพลังของตัวเอง ดูอย่างตอนนี้ผู้าุโของนิกาย ้าที่จะตัดแขนของเขาและไล่เขาออกจากนิกาย แม้จะเป็ข้อกล่าวหาเท็จ แต่มันก็ไม่สำคัญ
หลินเฟิงเหลือบมองไปที่หนานกงหลิง ประมุขของนิกายที่ยังคงนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าเขายังจะพอมีความหวังอยู่
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องแสดงพลังและพร์ที่แท้จริงออกมา ถ้าหากวันนี้ยังมัวเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสรอดพ้นวิกฤติในครั้งนี้แน่” หลินเฟิงเริ่มเปลี่ยนใจ ถ้าหากมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ ก็คงต้องบอกเื่หน้าผาจงกู่ไป
ตอนที่กลองทั้ง 8 ใบถูกตีจนครบนั้น สองผู้พิทักษ์ของนิกายก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาทันที และพาเขากลับไปยังเขตที่พักด้วยตัวเองโดยไม่ให้ใครรู้ ถึงแม้หลินเฟิงจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขาเริ่มรู้แล้วว่าบททดสอบที่ตัวเองผ่านมาได้นั้น น่าจะไม่ใช่บททดสอบธรรมดา
ขณะนั้นเองโหวชิ่งก็เดินมายืนอยู่เบื้องหน้าของหลินเฟิง ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน รวมทั้งประมุขและผู้าุโใหญ่ โหวชิ่งรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็อย่างมาก นี่เป็โอกาสดีที่เขาจะได้แสดงศักยภาพของตัวเอง
“ไอ้ขยะ ข้าว่าเ้าตัดแขนของตัวเองดีกว่า ระดับของเ้ากับข้ามันต่างกันเกินไป เ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก” โหวชิ่งพูดอย่างหยิ่งผยอง
หลินเฟิงเห็นสายตาที่หยิ่งยโสของโหวชิ่งก็แอบส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางของเขายังคงหนักแน่นเหมือนเดิม ความจริงแล้วอันดับที่ 10 ของศิษย์สายนอกไม่คณนามือของเขาหรอก
“ลงมือเลย” หลินเฟิงชักดาบจากฝักแล้วกำไว้แน่น ก่อนจะยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางสงบ ในใจของเขาไม่มีแม้แต่ความหวั่นกลัวใดๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อเป็แบบนี้ ข้าก็จะไม่ออมมือให้แล้วนะ” โหวชิ่งรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหลินเฟิงคงไม่มีทางตัดแขนของตัวเองแน่ๆ แต่ที่พูดเมื่อกี้เพราะเขาจงใจกดหลินเฟิงให้ต่ำเพื่อยกตัวเองขึ้นสูง
“เคล็ดวิชาล่องไปตามลม”
เสียงกระซิบดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ร่างของโหวชิ่งจะหายไปจากที่เดิม ล่องไปตามลม เป็เคล็ดวิชาที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของลม หากฝึกจนถึงระดับสูง ความเร็วในการเคลื่อนที่จะรวดเร็วดุจสายลม
“ศิษย์พี่โหวชิ่งเป็ถึงอันดับที่ 10 ของศิษย์สายนอกที่โดดเด่นที่สุด เคล็ดวิชาตัวเบาของเขาร้ายกาจจนไม่มีใครเทียบได้ แล้วอย่างหลินเฟิงจะมีปัญญาต้านทานศิษย์พี่โหวชิ่งได้อย่างไร?”
“ทำเป็ยืนนิ่ง ทั้งที่จริงคงกลัวจนแทบฉี่ราดล่ะสิ”
เมื่อทุกคนเห็นโหวชิ่งเคลื่อนไหวด้วยความเร็วราวกับพายุ ทันใดนั้นฝูงชนก็ส่งเสียงเชียร์ออกมา ที่โหวชิ่งถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 10 ของศิษย์สายนอก นั่นเป็เพราะว่าวิชาตัวเบาของเขาล้ำเลิศมาก แม้แต่ศิษย์สายนอกที่มีอันดับสูงกว่าเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถโจมตีโหวชิ่งได้
เมื่อม่อเสียเห็นท่าร่างของโหวชิ่งแล้ว ก็เผยรอยยิ้มมีเลศนัยขึ้นมา ดูเหมือนว่าพลังของโหวชิ่งจะแข็งแกร่งขึ้น เขาหวังว่าการประลองในต้นปีหน้า โหวชิ่งจะสามารถติด 1ใน 5 ได้ หากโหวชิ่งทำได้ ในฐานะที่เขาเป็อาจารย์ ก็จะพลอยได้หน้าไปด้วย
ส่วนโหวชิ่งจะสามารถเอาชนะหลินเฟิงได้หรือเปล่านั้น ม่อเสียแทบไม่เสียเวลาคิด ก็แค่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 คาดว่าไม่ถึงสามกระบวนท่าคงโดนโหวชิ่งตัดแขนขาดไปแล้วแน่ๆ
ท่ามกลางฝูงชนมากมายในลานประลอง เกรงว่าคงมีเพียงหลินเฟิงคนเดียวที่เชื่อมั่นในตัวเอง ทุกคนเห็นหลินเฟิงยืนถือดาบด้วยมือข้างเดียว โดยที่ไม่ขยับหนีไปไหน พร้อมทั้งเห็นร่างรางๆ ของโหวชิ่งที่พุ่งเข้าไปใกล้ ก็ได้แต่โบกมือลาหลินเฟิงในใจ
ตอนนั้นเองสายลมอันรุนแรงก็พัดเข้ามาที่ของหน้าหลินเฟิง เสื้อผ้าของหลินเฟิงปลิวไสวเล็กน้อย กระทั่งผมของเขาก็พลิ้วไหวไปตามลม จังหวะนั้นร่างของโหวชิ่งก็อันตรธานหายไปในพริบตา
“มันจบแล้ว วิชาตัวเบาของศิษย์พี่โหวชิ่งช่างสูงส่งนัก”
การต่อสู้ยังไม่ทันได้เริ่ม ทุกคนก็ทราบถึงบทสรุปของมันแล้ว
ทุกคนเห็นหลินเฟิงยืนหลับตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็อดส่ายหน้าไม่ได้ หลินเฟิงในตอนนี้สามารถรับรู้ได้ถึงเสียงสายลม เสียงหายใจ เสียงหัวใจเต้น วินาทีนั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้หยุดชะงักลง ด้วยประสาทััอันแหลมคมของหลินเฟิง ทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงร่างของโหวชิ่ง
จู่ๆ ดาบในมือของหลินเฟิงก็เคลื่อนไหวราวกับสายลม การเคลื่อนไหวในตอนนี้ดูสง่างามและเปี่ยมไปด้วยจิติญญา
“ขาด!” เสียงะโลอยมาจากเหนือศีรษะของหลินเฟิง ทันใดนั้นแรงกดดันมหาศาลก็ทะลักออกมา
“ไสหัวไป!”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวจบ ตัวดาบก็เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็เห็นเืสาดกระเด็นไปทั่วบริเวณ
เสียงร้องโหยหวนดังก้องอยู่กลางอากาศ ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
โหวชิ่งไม่สามารถทำอะไรหลินเฟิงได้ เขาแพ้แล้วและยังถูกหลินเฟิงใช้ดาบตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง
“เป็ไปได้อย่างไร ทำไมหลินเฟิงถึงทำแบบนี้ได้?” เหล่าศิษย์สายนอกทุกคนต่างพากันใ โดยเฉพาะคนที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหลินเฟิงมาก่อน ตอนนี้หลินเฟิงสามารถตัดแขนของโหวชิ่งได้ในกระบวนท่าเดียว
ถึงแม้ว่าศิษย์สายนอกจะเห็นไม่ชัด ว่าหลินเฟิงทำได้อย่างไร แต่ทว่าคนที่เป็ศิษย์สายในกลับเห็นอย่างชัดเจนว่า ดาบของหลินเฟิงดูเหมือนจะหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับสายลม การเคลื่อนไหวของดาบจึงพลิ้วไหวและรวดเร็วดุจสายลม ราวกับว่าสิ่งที่ตัดแขนของโหวชิ่งไม่ใช่ดาบแต่เป็ลม
“เคล็ดวิชาดาบที่หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับสายลม? หอซิงเฉินมีเคล็ดวิชาชนิดนี้อยู่ด้วยหรือ” ดวงตาของหนานกงหลิงเป็ประกาย กระบวนท่าของหลินเฟิงดูเรียบง่าย แต่สง่างาม แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ!!! ไม่มีการสิ้นเปลืองพลังอย่างไร้ประโยชน์ เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถตัดแขนของอีกฝ่ายได้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมของหลินเฟิง เขาเชื่อว่าถ้าหากหลินเฟิง้าสังหารโหวชิ่งล่ะก็ แค่ดาบเดียวก็พอแล้ว
แน่นอนว่าหลินเฟิงไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาที่หลอมรวมดาบกับสายลมมาก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่บนหน้าผาจงกู่ เขาได้รู้แจ้งขึ้นมาเองว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีพลัง ดาบก็ย่อมมีพลังดาบ สายลมก็ย่อมมีพลังของสายลม ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากสายลมในการซ่อนดาบไว้กับมัน ทำให้กระบวนท่านั้นดูเหมือนเป็การหลอมรวมกับสายลม
“หรือว่าจะเป็พลัง?” หนานกงหลิงนึกถึงความเป็ไปได้อีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ไป ด้วยการบ่มเพาะเพียงเล็กน้อยของหลินเฟิง จะสามารถตระหนักรู้อะไรแบบนั้นได้อย่างไร
อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณเลย แม้แต่ผู้บ่มเพาะในขอบเขตแห่งจิติญญาก็ยากที่จะสามารถทำได้ หากผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณ้ายืมพลัง ก็คงทำได้แค่ยืมพลังจากจิติญญาแห่งนักรบเท่านั้น และถ้าสามารถยืมพลังจากธรรมชาติได้ ก็คงเป็เพราะว่าโชคดีเท่านั้น แต่ท่านประมุขลืมฉุกคิดไปว่าเมื่อครู่นี้หลินเฟิงไม่ได้ปลดปล่อยจิติญญาออกมา
"เ้าเศษสวะนั้นมันแข็งแกร่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยว่ามันถึงได้บ้าบิ่นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามเศษสวะก็คือเศษสวะอยู่วันยังค่ำ อย่าแม้แต่คิดที่จะเทียบเคียงข้าได้" เมื่อหลินเชียนเห็นหลินเฟิงสามารถตัดแขนโหวชิ่งด้วยดาบเล่มเดียวได้ ในใจนางก็เริ่มหวั่นเกรง ถึงแม้ว่านางจะเป็ยอดฝีมือผู้บ่มเพาะพลังที่บรรลุขอบเขตจิติญญา อีกทั้งยังมีพลังิญญาที่สร้างมาจากน้ำแข็งและเปลวไฟ แต่เศษสวะอย่างหลินเฟิงก็มีสิทธิ์ที่จะต่อกรกับนางได้
ม่อเสียอับอายขายขี้หน้าเป็อย่างมาก ทั้งที่ตัวเองสั่งให้โหวชิ่งตัดแขนหลินเฟิง แต่คิดไม่ถึงว่าโหวชิ่งจะถูกหลินเฟิงตัดแขนเสียเอง เขารู้สึกเหมือนโดนตบเข้าไปเต็มหน้า เ้าเด็กบ้านั่น มันต้องตาย
หลินเฟิงยังคงไม่มองและไม่สบตาฝูงชน ใบหน้าของเขายังคงสุขุม และเขาก็เก็บดาบไว้ในฝัก เมื่อเขากวาดตามองก็เห็นโหวชิ่งที่กำลังคุกเข่าอยู่ ภายในใจเขาทั้งสงสารและสมน้ำหน้า
"ศิษย์นอกที่จัดอยู่ในอันดับ 10 อย่างนั้นเหรอ? ที่ยั่วยุให้ข้าลงมือ?” หลินเฟิงพูดประชดประชันขึ้น "ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่า เ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้