วันต่อมา ฉีลั่วอิ่งถูกปลุกให้ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ของผู้จัดการอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้เซวียข่ายซินอารมณ์ดี จึงปล่อยให้ฉีลั่วอิ่งนอนถึงเก้าโมงครึ่งแล้วค่อยโทรหา
“มีเื่อะไรเหรอ?” ฉีลั่วอิ่งพูดอย่างงัวเงียเนื่องจากเพิ่งตื่น เสียงงึมงำไม่ชัดเจน ฟังดูอ้อแอ้ ให้ความรู้สึกเหมือนรังแกได้ง่าย
“ต่อให้ไม่มีงานนายก็อย่านอนจนถึงเที่ยงสิ อากาศดีขนาดนี้ตื่นเช้าไปออกกำลังกายหรืออ่านหนังสือบ้าง!”
“แล้วพี่ตื่นเช้ากว่าผม พี่ได้ไปออกกำลังกายหรืออ่านหนังสือหรือยัง?” ฉีลั่วอิ่งลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาเบดในห้องโสตฯ แม้เขาจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม แต่ท่านอนที่ไม่สบายตัวนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม
“ฉันไม่ใช่ดาราสักหน่อย ไม่จำเป็ต้องรักษาร่างกายและพัฒนาตัวเอง” เซวียข่ายซินตอบกลับด้วยเหตุผลอย่างเต็มที่
“พี่เห็นรีวิวที่แฟนๆ ของผมทำให้พี่แล้วหรือยัง? คุยกันดุเดือดมากเลย” เมื่อวานฉีลั่วอิ่งส่งภาพหน้าจอของโพสต์ที่เขาเจอในกลุ่มอู้รู่ฉีถูไปให้เซวียข่ายซิน
หัวข้อกระทู้ คือ〈รีวิวสิบปีของผู้จัดการเซวีย〉เซวียข่ายซินไม่ใช่บุคคลสาธารณะ น้อยมากที่จะมีรูปถ่ายเดี่ยวๆ ของเขาบนอินเทอร์เน็ต มากกว่าครึ่งมักจะบังเอิญอยู่ในกล้องกับฉีลั่วอิ่ง
อย่างไรก็ตาม แฟนคลับของฉีลั่วอิ่งก็สามารถหารูปเซวียข่ายซินตลอดสิบปีที่ผ่านมาได้ ซึ่งฉีลั่วอิ่งในรูปนั้นหน้าตาดีมาตลอดอย่างไร้ข้อกังขา จากหนุ่มน้อยหน้ามนกลายเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลา แต่เซวียข่ายซินกลับอ้วนขึ้นเรื่อยๆ จากชายหนุ่มที่คล่องแคล่วกลายเป็ชายวัยกลางคนที่อ้วนท้วน ทำให้คนมองตรงๆ ไม่ได้
ความคิดเห็นของชาวเน็ตด้านล่างเต็มไปด้วยความะเืใจต่อกาลเวลา
“เวลาคือมีดฆ่าหมูหรือว่าอาหารหมูกันแน่นะ?”
“ผู้จัดการทำงานหนักแล้ว เครียดมากจนต้องใช้การกินบำบัดเลย”
“โชคดีที่ฉีฉีรักษาหุ่นไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ได้รับผลกระทบจากเซวียเกอ”
“พอสองคนยืนอยู่ด้วยกันแล้วฉีฉีดูผอมมากเลย ข้าวของฉีฉีโดนผู้จัดการกินหมดแล้วใช่ไหม?”
เซวียข่ายซินรู้ว่าหลายปีมานี้น้ำหนักเขามีแต่เพิ่มไม่มีลด เมื่อเห็นแฟนคลับของฉีลั่วอิ่งใส่ใจรูปร่างและสุขภาพของเขาก็ค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้ง แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือความจนใจ สิบปีที่ผ่านมามันไม่ง่ายเลยนะ!
“ที่ฉันเครียดไม่ใช่เพราะนายหรือไง? ถ้านายไม่ก่อเื่มากขนาดนั้น อย่างน้อยฉันก็คงผอมกว่านี้สักห้ากิโลแล้ว!” เซวียข่ายซินพูดอย่างรำคาญใจ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าสูทที่สวมอยู่แน่นขึ้นเล็กน้อย จึงปลดกระดุมของเสื้อสูทตัวนอกเงียบๆ ทั้งยังแอบตัดสินใจว่าจะหาเวลาไปตัดสูทใหม่สักชุด
“ถึงพี่จะไม่ได้ติดตามผม พี่ก็ไม่ผอมลงหรอก” ฉีลั่วอิ่งค้านไปหนึ่งประโยคแล้วตัดสินใจจบประเด็นอ่อนไหวนี้ เพื่อไม่ให้เซวียข่ายซินขุดเื่เก่าๆ ที่เขาเคยก่อไว้ขึ้นมาบ่น “หยุดเถียงกันก่อนเถอะ พี่โทรมาแต่เช้าสรุปแล้วอยากพูดอะไรกันแน่?”
“ฉันหาภาพยนตร์ที่ตรงกับตารางงานและกำลังขาดนักแสดงนำมาได้สองสามเื่ อีกเดี๋ยวจะเอาบทไปให้นายดู”
“เร็วขนาดนี้เชียว? ผมรู้อยู่แล้วว่าเซวียเกอยอดเยี่ยมมาก” ฉีลั่วอิ่งค่อนข้างประหลาดใจกับเื่นี้ และไม่ตระหนี่ที่จะมอบคำชมให้ผู้จัดการของเขา
ทั้งที่เพิ่งมีข่าวถูกเปลี่ยนบทไปเมื่อวาน แต่วันนี้กลับหาแผนสำรองมาแทนได้ทันที สมแล้วที่เป็ผู้จัดการมือทองของซิงเหอ ช่างมีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งเสียจริง
“ฉันเคยปล่อยให้นายผิดหวังั้แ่เมื่อไร?”
“ตอนที่ให้ผมไปกินข้าวกับนักลงทุน” ฉีลั่วอิ่งสาดน้ำเย็นใส่เขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว
เซวียข่ายซินดีใจกับคำชมได้ไม่กี่นาที ทันทีที่ได้ยินคำว่า “นักลงทุน” ก็นึกถึงการถูกเปลี่ยนตัวอีกครั้ง “นายยังจะกล้าพูดเื่นี้ขึ้นมาอีก!”
“ผมก็แค่พูดตรงๆ” ฉีลั่วอิ่งไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
เซวียข่ายซินถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ในใจคิดว่าอย่างไรเื่ก็ผ่านไปแล้ว นักลงทุนที่เปลี่ยนใจก็ไม่มีทางกลับมาแล้ว สนใจงานในตอนนี้จะดีกว่า “่นี้ที่บ้านนายขาดเหลืออะไรหรือเปล่า? ฉันจะให้อาโย่วไปซื้อให้ เย็นๆ หน่อยพวกเราจะผ่านบริษัท”
“ไม่ต้องหรอก ผมอยากได้อะไรแล้วไปซื้อเองก็ไม่ได้เหรอ?”
“นายคงไม่อยากโดนแฟนคลับจำได้อีกครั้งหรอกมั้ง? ซื้อน้ำขวดเดียวใช้เวลาสามชั่วโมง”
พลันเหตุการณ์ที่ไม่อยากจดจำก็ผุดขึ้นมาในสมองของฉีลั่วอิ่ง แต่เขาก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “วางใจเถอะ ผมติดเครื่องกรองน้ำแล้ว ไม่จำเป็ต้องออกไปซื้อแล้ว”
เซวียข่ายซินทั้งรักทั้งเกลียดฉีลั่วอิ่ง แม้จะมั่นใจว่าเขาจริงจังกับงาน แต่ก็มักจะก่อปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาปวดหัวอยู่เสมอ ถ้าเป็ไปได้เขาก็อยากให้ฉีลั่วอิ่งอยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม
เมื่อได้ยินคำตอบของฉีลั่วอิ่งที่ไม่ได้สำนึกผิดสักนิดเื่การออกไปข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถ้างั้นนายไม่ลองเลี้ยงไก่ปลูกผักกินเองไปเลยล่ะ?”
“ผมคิดว่าเซวียเกอค่อนข้างเหมาะกับการเลี้ยงไก่ปลูกผักมากกว่านะ งั้นผมซื้อที่สักแปลงให้พี่ทำฟาร์มดีไหม?”
“นายคิดจะฆ่าฉันเหรอ?” เซวียข่ายซินตอบกลับอย่างขำๆ และนึกถึงผู้ท้าชิงที่เหมาะสมกว่าตัวเองขึ้นมาได้ “ให้อาโย่วไปสิ ยังไงเขาก็คุมนายไม่ได้ อีกไม่นานก็น่าจะไม่มีงานทำแล้ว”
“เซวียเกอช่างห่วงใยอาโย่วจริงๆ”
“แน่นอนสิ”
หลังจากเซวียเกอพูดจบไม่นาน อาโย่วที่กำลังทำงานอยู่ในบริษัทก็จามออกมาหลายครั้ง เขาไม่รู้ตัวเลยว่างานต่อไปของเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
----------
อาโย่ว : “แปลกจัง มีคนกำลังคิดถึงฉันอยู่หรือเปล่านะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้