กู่อวี่เสวียนถอนหายใจด้วยความรำคาญ ก่อนเหลือบมองชายตรงหน้าอย่างหยามเหยียด
เมื่อได้รับท่าทีเ็าแทนการทักทาย มู่หรงจิ่งหลีก็ได้แต่สะกดอารมณ์ ทำเป็ใจดีสู้เสือ เข้าไปรั้งแขนเรียวเอาไว้ “องค์หญิงโปรดรอสักครู่ กระหม่อมมีเื่บางอย่างจะสอบถาม”
หญิงสาวพยายามสะบัดแขน พลางเอ่ยเสียงขรึม “องค์ชายสาม โปรดปล่อยมือด้วย”
ชายหนุ่มถอนมือออก แล้วกล่าวอย่างสุภาพ “ต้องขออภัยด้วย”
กู่อวี่เสวียนปรายตามอง ก่อนบอก “มีเื่อันใดก็พูดมา หากไม่มีธุระโปรดหลีกทางด้วย”
น้ำเสียงประชดประชันเช่นนี้ เป็สิ่งที่มู่หรงจิ่งหลีไม่ชอบเป็ที่สุด แต่เพราะมีเื่สำคัญที่จำเป็ต้องพึ่งพาอีกฝ่าย เขาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องทนต่อไป “องค์หญิงใหญ่พอจะทราบหรือไม่ ว่าเสนาบดีหนีโปรดปรานสิ่งใด?”
การถามองค์หญิงใหญ่น่าจะดีที่สุด เพราะหากไปถามโจวชิงหวา เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป นางแสร้งทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เสนาบดีหนีโปรดปรานการเขียนอักษรเป็ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อักษรจางเฉ่า[1]”
มู่หรงจิ่งหลีจึงกล่าวขอบคุณ “อา... ขอบพระทัยองค์หญิง!”
เอ่ยจบ ชายหนุ่มก็เดินจากไปทันที
...
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อโจวชิงหวาพบว่านายท่านสกุลหนีโปรดปรานการเขียนอักษร โดยเฉพาะอักษรแบบหลิ่ว[2] เขาจึงวางมือจากงานตรงหน้า แล้วขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังร้านกู่ฟาง
พอไปถึง เขาก็ยื่นบังเหียนให้บ่าวรับใช้ ก่อนเดินเข้าไปในร้าน
ทันทีที่ก้าวผ่านประตู ก็มีบริกรเข้ามาต้อนรับ พร้อมเสนอขายสินค้าอย่างกระตือรือร้น “คุณชาย ลองเดินดูรอบๆ ก่อน ไม่ว่าท่านจะมองหาภาพอักษร หรือภาพวาด ร้านของเราก็มีทุกสิ่งให้เลือกสรรขอรับ”
โจวชิงหวากวาดตามองดูภาพอักษร ซึ่งแขวนเรียงรายอยู่มากมายภายในร้าน แต่ก็ไม่พบอักษรแบบหลิ่วที่ตนกำลังตามหา เพื่อมิให้เสียเวลา จึงหันไปพูดกับบริกรร้านทันที “เรียกเถ้าแก่ของเ้ามาพบข้า”
“ขอรับ คุณชายโปรดรอสักครู่” บริกรวิ่งหายไป
ไม่นานนัก เถ้าแก่ร้านที่มีอายุราวห้าสิบปีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า “ข้าน้อยคือเถ้าแก่ของร้านกู่ฟาง ไม่ทราบว่าคุณชายมีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ?”
โจวชิงหวาผงกศีรษะให้อย่างสุภาพ “ข้าได้ยินว่า ท่านเพิ่งได้ภาพอักษรหลิ่วมา ไม่ทราบว่าขายไปแล้วหรือยัง?”
เถ้าแก่ร้านยกยิ้มเจื่อนๆ ก่อนเอ่ยเป็เชิงขออภัย “คุณชาย ท่านมาช้าเพียงก้าวเดียว แม้จะยังมิได้ขาย แต่ตอนนี้ใต้เท้าสวีก็กำลังดูอยู่”
“สวีเพ่ยหราน?” โจวชิงหวาหันไปมองตามนิ้วของเถ้าแก่ร้าน พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อเขายังมิได้ซื้อ เช่นนั้นก็ควรจะแข่งขันกันอย่างเป็ธรรม เพราะทั้งข้าและเขาต่างก็้ามัน ดังนั้นใครให้ราคาสูงกว่า ย่อมเป็ผู้ชนะและได้มันไป”
เถ้าแก่ร้านนิ่งงัน ทำตัวไม่ถูก เพราะสวีเพ่ยหรานคือเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ ทั้งยังเป็บุตรชายของราชครู จึงไม่ควรมีเื่กับเขา
ไม่รอให้เถ้าแก่ร้านตอบตกลง โจวชิงหวาก็เข้าเดินไปหาสวีเพ่ยหรานแล้ว
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเสนอราคาเท่าใด แต่ก็วางเงินห้าร้อยตำลึงลงบนโต๊ะเป็เชิงข่มขวัญ
เถ้าแก่ร้านมองดูเงินตรงหน้าตาเป็ประกาย ก่อนหันไปมองสวีเพ่ยหราน แล้วกล่าวขอโทษเสียงอ่อน “ใต้เท้าสวี การค้าขายย่อมต้องหวังผลกำไรเป็ธรรมดา โปรดอย่าถือโทษโกรธกันเลยขอรับ ข้าน้อยขอขายภาพอักษรนี้ให้กับคุณชายโจว...”
“หกร้อยตำลึง!” สวีเพ่ยหรานโพล่งออกมา
“หนึ่งพันตำลึง!” โจวชิงหวาก็ไม่ยอมน้อยหน้า
สวีเพ่ยหรานกัดฟันกรอด แล้วทุ่มเงินทั้งหมดที่มี “สองพันตำลึง!”
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องนำภาพอักษรชิ้นนี้มาให้ได้!
โจวชิงหวาดึงตั๋วเงินสามใบออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “สามพันตำลึง พร้อมตั๋วทองเหล่านี้!”
กล่าวจบ ก็ดึงตั๋วทองอีกปึกหนึ่งออกมา รวมทั้งหมดเป็ทองคำหนึ่งพันตำลึง
เถ้าแก่ร้านถึงกับเข่าอ่อน
ทั้งบริกรและลูกค้าคนอื่นๆ ได้แต่อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง
สวีเพ่ยหรานกัดฟันกรอด ขณะมองโจวชิงหวาด้วยความเกลียดชัง แล้วสะบัดแขนเสื้อ เดินออกจากร้านไป
หลังจากเถ้าแก่ร้านม้วนภาพอักษรให้ โจวชิงหวาก็จ่ายเงิน และเดินทางกลับจวนทันที
ซึ่งยามนี้ กองคาราวานจากเกาะเป่ยหานก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจึงรีบนำบัวหิมะไปส่งให้หนีเจียเอ๋อร์ทันที
เมื่อมาถึง โจวชิงหวาก็ส่งกล่องบัวหิมะไปให้หญิงสาวกับมือ จากนั้นก็คิดว่าจะอยู่สนทนากับนางสักพัก
ชายหนุ่มรับจอกชาที่เสี่ยวเสวียนรินมาให้ ก่อนยกขึ้นจิบ “แล้วเ้าจะทำอย่างไรกับพวกมัน?”
“ก็นำมาผสมสมุนไพรอื่นๆ เพื่อทำยาอายุวัฒนะอย่างไรเล่า” หนีเจียเอ๋อร์มองบัวหิมะสีขาวสะอาดตรงหน้า ด้วยความพึงพอใจ
นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามกลีบดอกเบาๆ เมื่อมองจนพอแล้ว หญิงสาวก็ละสายตาจากบัวหิมะไปยังโจวชิงหวา ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงกันข้าม กลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งไม่คุ้นเคย พลันลอยมากระทบจมูกรั้น
“บนตัวเ้ามีกลิ่นอะไร?” หนีเจียเอ๋อร์ตั้งใจสูดดมอีกครั้ง “หอมดีนี่!”
ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม พลางยกแขนโบกกำจายกลิ่น “หากอยากได้กลิ่นชัดๆ ก็เข้ามานั่งใกล้ๆ สิ!”
“ไม่ดีกว่า!” หญิงสาวกลับมานั่งตัวตรงเช่นเดิม
โจวชิงหวาหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ ราวกับเล่นกล
นั่นเป็สิ่งที่หนีเจียเอ๋อร์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน โดยเฉพาะดอกไม้แห้งในถุง ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบที่นางชื่นชอบเป็พิเศษ
สุดท้าย หญิงสาวนางก็อดบ่นมิได้ “คุณชายโจว ทุกครั้งก่อนมอบสิ่งใดให้ข้า เ้ามักจะกลั่นแกล้งอยู่เสมอ สนุกมากหรืออย่างไร?”
โจวชิงหวาจึงยื่นมือออกมา “ธรรมชาติของพ่อค้า ย่อมไม่มอบสิ่งใดให้ผู้อื่นเปล่าๆ หากเ้า้าของเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องรับปากข้าอย่างหนึ่ง”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว “อะไรนะ! รับปากสิ่งใด?”
โจวชิงหวาชำเลืองมองอีกฝ่าย ยกยิ้มบางๆ และพูดว่า “ในวันเกิดของนายท่านสกุลหนี ข้าดีดกู่ฉิน ส่วนเ้าก็ร่ายรำ เราสองคนจะแสดงบทเพลงร้อยวิหคคำนับพญาหงส์[3] ข้าจะหาอาจารย์มาสอน พวกเราจะเริ่มเรียนกันั้แ่คืนนี้เลย ถึงเ้าไม่ตกลง ข้าก็จะหาทางทำให้เ้ารับปาก ยอมร่วมมือกับข้าอยู่ดี”
----------------------------------
[1] ‘จางเฉ่า’ เป็หนึ่งในสี่ของอักษรศิลป์แบบ ‘เฉ่าซู’ หรือการเขียนแบบหวัด ซึ่งกำเนิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น
โดยแบ่งเป็ ‘จางเฉ่า’ หรือแบบเขียนหวัดยุคต้น
‘จินเฉ่า’ หรือแบบเขียนหวัดยุคหลัง
‘ต้าเฉ่า’ การเขียนหวัดแนวบ้าคลั่ง
และ ‘เสี่ยวเฉ่า’ การเขียนหวัดเล็กน้อย
ซึ่งอักษรศิลป์แบบ ‘เฉ่าซู’ จะมุ่งเน้นการแสดงออกทางด้านศิลปะ โดยก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ เพื่อให้มีลีลาบ้าคลั่ง ดุเดือด ฉับไว เปลี่ยนแปลงเกินคาดเดา เสมือนคลื่นลมซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง หรือดั่งการบรรเลงดนตรีที่เข้มขลัง ยิ่งใหญ่ และอลังการ
[2] อักษรแบบหลิ่ว เป็หนึ่งในสี่แบบอักษรตัวบรรจง ที่ผู้เริ่มฝึกเขียนพู่กันจีนนิยมกัน
เขียนขึ้นโดยหลิ่วกงเฉวียน (柳公權) ในตอนปลายราชวงศ์ถัง(唐朝) เป็อักษรที่ให้ความรู้สึกมั่นคง องค์ประกอบเส้นชัดเจน แต่ไม่ละทิ้งความสมถะ ให้ความรู้สึกเหมือนดั่งบัณฑิตปลีกวิเวก ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบหลังเผชิญชีวิตอันหนักหน่วงมา
[3] ร้อยวิหคคำนับพญาหงส์ (百鸟朝凤: ไป๋เหนี่ยวเฉาเฟิ่ง) เป็เพลงพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของชนชาติฮั่น เป็ที่นิยมมากในแถบมณฑลซานตง อานฮุย เหอหนาน เหอเป่ย และอื่นๆ ถือเป็หนึ่งในสิบเพลงบรรเลงที่มีชื่อเสียงของจีน จึงมีการนำมาเรียบเรียงใหม่ในหลายเวอร์ชัน ฟังดูคล้ายเสียงนกหลากสายพันธุ์พากันขับขาน กลายเป็ท่วงทำนองอันอบอุ่นและร่าเริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้