“พวกเ้าจะทำอะไร?”
ไป๋เจ๋อะโอย่างกังวล เมื่อเห็นผู้คนหยุดอยู่ตรงนั้น
เวิ่นอ้าวเสวี่ยเหลือบมองไป๋เจ๋ออย่างเ็าด้วยสีหน้าสมเพช ตอนนี้ไป๋เจ๋อไม่มีทางให้หลบหนีแล้ว เขาคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียวแต่ที่จริงช่างโง่เขลานัก
“ถ้าข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวอย่างไม่แยแสด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองและหนักแน่น
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ยจะบ้าระห่ำเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้ชายที่สวยราวกับหญิงสาวผู้นี้
สีหน้าของไป๋เจ๋อตอนนี้ดูแข็งทื่อเมื่อเห็นหลินเฟิงไม่ได้รีบร้อนฆ่าเขา แต่เขากลับหยิบดาบอ่อนขึ้นมา แล้วก้าวไปหาไป๋เจ๋ออย่างเชื่องช้า
“เ้า้าอะไร?” ไป๋เจ๋อกล่าวด้วยเสียงติดขัด จนริมฝีปากซีดขาวราวกับกระดาษ
“อย่ากังวลเลย ข้าไม่ฆ่าเ้าหรอก” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า ทำให้ไป๋เจ๋อสับสน จากนั้นรอยยิ้มไม่แสแยพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเฟิง “พวกเ้าชนชั้นสูง ชอบประทับตราทาสลงบนใบหน้าของเหล่าทาส หลังจากประทับนาบตราแล้ว ชีวิตของเหล่าทาสนั้นต่างไม่มีอิสรภาพ งั้นข้าก็จะทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเกียรติยศอันน่าภาคภูมิใจของชนชั้นสูงหลังจากประทับนาบตราแล้ว มันก็เป็ได้แค่คนชั้นต่ำคนคนหนึ่งเท่านั้น”
มุมปากของไป๋เจ๋อกระตุก หลินเฟิงจะประทับตราทาสลงบนใบหน้าของเขา? กลายเป็ทาสผู้ต่ำต้อย? นี่หรือวิธีที่เขาจะทำมัน
“พวกเ้าไม่ได้ยินเหรอ ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!”
ไป๋เจ๋อกลั้นอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ จนต้องะโออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
ด้านนอกกรง ขณะที่ฝูงชนก้าวเดิน กลับเห็นชุดคลุมยาวและผมยาวปลิวไปตามสายลม มีจิตสังหารออกมาจากร่างนั้นจนพวกเขารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
“หากก้าวมาอีกสามก้าว ข้าจะชักดาบอกมา และเมื่อใดที่ข้าชักดาบออกมา เมื่อนั้นจะมีการนองเืเกิดขึ้น!”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนที่กำลังก้าวเดินต้องหยุดชะงัก และไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาอีก
“ไม่มีใครหนีพ้นผลกรรมจากความชั่วของตนไปได้”
เจตจำนงแห่งดาบอันทรงพลังพรั่งพรูจากร่างของหลินเฟิง จนทำให้ไป๋เจ๋อชะงักค้าง ในท้ายที่สุดเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกต่างก็รู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน
“ถ้าเ้าปล่อยข้าไป ข้าจะให้หินหยวนจำนวนมากแก่เ้า แม้กระทั่งเคล็ดวิชาและทักษะการต่อสู้”
“ให้ข้า?”
หลินเฟิงหัวเราะเยาะ เมื่อนานมาแล้วชนชั้นสูงต่างคุ้นเคยกับการวางตัวหยิ่งยโส แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่รู้ถึงสภาพที่เป็อยู่ของตัวเอง
“ปล่อยเ้าไป แล้วเ้าจะให้หินหยวนกับเคล็ดวิชาและทักษะการต่อสู้แก่ข้า?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเย็นช้า “เ้าคิดว่าข้าโง่เหรอ!”
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่สามารถปล่อยไปได้ ความแค้นนี้ตระกูลไป๋จะไม่ลืมอย่างเด็ดขาด และจะไม่ปล่อยหลินเฟิงไปง่ายๆ แน่นอน
ส่วนหลินเฟิงหากไม่ทำลายตระกูลไป๋ให้สิ้นแล้ว หานหมานและทาสผู้ฝึกยุทธ์ของนิกายหยุนไห่เ่าั้พวกเขาต่างต้องถูกประทับนาบตราและกลายเป็ทาส ซึ่งไม่รู้ว่าท่ามกลางลานประลองเชลยนี้ได้มีคนตายไปมากเท่าไรแล้ว
หลินเฟิงและตระกูลไป๋จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย เพราะเขาทำเช่นนี้ในฐานะประมุขของนิกายหยุนไห่
เมื่อไป๋เจ๋อได้ยินคำพูดของหลินเฟิง สีหน้าของเขาก็เผยให้ถึงความพยาบาท
“ถ้าเ้ากล้าทำร้ายข้า ตระกูลไป๋จะทำให้เ้าได้ตายอย่างสยดสยองแน่นอน”
“อย่างที่คิด เ้ามันก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งเท่านั้น” หลินเฟิงดูถูกไป๋เจ๋ออีกครั้ง ทันใดนั้นได้มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ในตอนนี้ได้ปรากฏคำว่า ‘ทาส’ บนใบหน้าของไป๋เจ๋อแล้ว
ไป๋เจ๋อกุมหน้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา เืสดๆ ไหลผ่านร่องนิ้วอย่างต่อเนื่อง ทว่าหลินเฟิงเพียงมองอย่างไม่แยแส ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจของเขาเลยว่ามีหรือไม่
ด้วยวิธีนี้มันไม่มากเกินไปสำหรับเศษสวะพวกนี้
หลินเฟิงใช้ดาบยาวตัดนิ้วมือและนาบตราทาสบนใบหน้าของไป๋เจ๋อ
ดาบยาวของหลินเฟิงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสักครู่คำว่า ‘ทาส’ บนใบหน้าของไป๋เจ๋อเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น แต่พอเวลาผ่านไป ใบหน้าของไป๋เจ๋อก็โชกไปด้วยเืสีแดงฉาน
ไป๋เจ๋อในตอนนี้ดูน่ากลัวเหมือนผี จากนั้นเขาก็ชักจนเป็ลม แล้วร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้น
“ช่างเป็วิธีที่โเี้ยิ่งนัก เป็คนรุ่นเยาว์ที่เฉียบขาดเหลือเกิน!”
บรรยากาศรอบๆ กลายเป็เงียบงัน สายตาของฝูงชนต่างจดจ้องมาที่ลานประลองเชลยราวกับถูกสะกดจิต
การต่อสู้ในวันนี้ถือว่าเป็การต่อสู้อย่างแท้จริง พวกเขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน
แววตาของหลินเฟิงยังคงเ็า ดาบยาวก็ยังคงอยู่ในมือ เขาค่อยๆ หันมาแล้วกล่าวด้วยโทนเสียงต่ำว่า “ไปกันเถอะ”
หานหมานและพั่วจวินต่างเดินออกไปพร้อมกับหลินเฟิง และเวิ่นอ้าวเสวี่ยก็ก้าวเดินตามออกไป ทันใดนั้นผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างหลีกทางให้
“ใครกล้าขัดขวางข้า มันผู้นั้นจะต้องตาย!”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ดาบยาวที่อยู่ข้างกายเขา ยังคงมีเืหยดลงมา
ดาบของหลินเฟิงทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว
หานหมานที่เดินรั้งท้าย ด้วยร่างกายใหญ่โตนั้นทำให้ผืนดินต้องสั่นะเืไปทุกย่างก้าว ผู้คนล้วนตระหนักดีว่าทาสผู้ฝึกยุทธ์ผู้นี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
คนเหล่านี้หากไม่ไปขัดขวาง พวกเขาก็สามารถวางใจได้
ขณะที่หลินเฟิงและคนอื่นๆ กำลังเดินเชิดหน้าออกไป จากนั้นไม่นานฝูงชนก็เห็นเพียงเงาหลังที่ค่อยๆ จางหายไป
พวกเขาไม่คิดว่าหลินเฟิงที่แข็งแกร่งนั่นจะไปโผล่ในลานประลองเชลย และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลินเฟิงตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
นอกจากนี้หลินเฟิงยังสามารถสังหารชายชราที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้
“เศษขยะ ยังไงก็เป็เศษขยะอยู่วันยังค่ำ!”
เสียงะโแหลมสูงอันโกรธเกรี้ยวของชายหนุ่มชุดเหลืองดังลั่นลานประลองไล่หลังหลินเฟิงที่จากไป วันนี้เขาถูกหลินเฟิงดูิ่เหยียดหยามไว้มากมาย
เขาเป็คนแซ่อวี่!
คนแซ่อวี่ถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ใครกันที่กล้ามาดูถูกพวกเขา
เมื่อฝูงชนได้ยินเสียงคำรามของชายหนุ่มชุดเหลืองจึงลุกขึ้นยืนมอง และตระกูลไป๋ในตอนนี้กลับมีสีหน้าตกตะลึง แย่แล้ว...
“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากใครกล้าแพร่งพรายออกไป มันผู้นั้นจะต้องตาย!”
ชายหนุ่มชุดเหลืองข่มขู่ผู้คนที่อยู่รอบๆ ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนล้วนแข็งทื่อ และพวกเขาไม่กล้าปฏิเสธจึงได้แต่พยักหน้า ทว่าภายในใจของพวกเขากลับกำลังก่นด่าอยู่ เ้าเด็กนี่นำความหายนะมาสู่ตนเองจนได้รับความอับอาย และยังทำให้ไป๋เจ๋อต้องเสียหายยับเยิน เขาจึงห้ามพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายเื่นี้ออกไป เพราะจะทำให้เขาอับอาย และศักดิ์ศรีของตระกูลอวี่ก็จะป่นปี้
“หลินเฟิง ถ้าเ้ายังไม่ตาย แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้”
สีหน้าของชายหนุ่มแซ่อวี่ตอนนี้ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้ที่หลินเฟิงเดินผ่านเขาไป เขากลับไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาเพราะว่าเขากลัว เมื่อครู่ที่พวกเขาต่อสู้กัน หลินเฟิงช่างน่ากลัวเป็อย่างมาก คำพูดที่แฝงไปด้วยจิตสังหารนั่นทำให้เขาไม่สงสัยเลยสักนิดว่าทำไมหลินเฟิงถึงกล้าที่จะฆ่าเขา ต่อมาเขาก็เห็นวิธีการที่หลินเฟิงปฏิบัติต่อไป๋เจ๋อ เขาจึงไม่กล้ามองใบหน้าเกรี้ยวโกรธของหลินเฟิงนั่น
เพราะความโกรธเกรี้ยวของหลินเฟิง ทำให้บรรยากาศของลานประลองเชลยเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์!
…
ท่ามกลางห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย หลินเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกได้ถึงมือของใครบางคนมาััหน้าผากของเขา
หลินเฟิงส่ายหน้าและขยับร่างกายที่แข็งทื่อ ดวงตาของเขาค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ เ้าของใบหน้างดงามที่กำลังเอียงมองเขาอยู่
ขณะนั้นสีหน้าของเมิ่งฉิงดูเฉยชาขณะมองหลินเฟิง จากนั้นกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เ้าตื่นแล้ว”
หลินเฟิงรู้สึกว่าร่างของเขายังคงเต็มไปด้วยความเ็ป มันแข็งทื่อไปหมด แต่ยังดีที่หายใจได้ และภายในก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“เ้าอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ?” หลินเฟิงถามขณะมองเมิ่งฉิง
เมิ่งฉิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าแค่แวะมาเยี่ยมเ้าเท่านั้น”
“จริงหรือ?” หลินเฟิงกล่าวถามอย่างสงสัยขณะมองไปที่เมิ่งฉิง
“แน่นอนสิ แล้วเ้าคิดว่าอะไรล่ะ?” เมิ่งฉิงกล่าวตอบ ทำให้แววตาของหลินเฟิงดูซึมเซา จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
“เอี๊ยด!!!”
ขณะนั้นได้มีคนเปิดประตูเข้ามา เมิ่งฉิงจึงยืนขึ้นและเหลือบมองหลิ่วเฟย แล้วกล่าวว่า “เขาตื่นแล้ว เ้าไปดูเขาเถอะ”
เมื่อเมิ่งฉิงกล่าวจบก็ออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้หลิ่วเฟยงงงวยอยู่เช่นนั้น
ก่อนที่หลินเฟิงจะตื่น เมิ่งฉิงก็เฝ้าดูอยู่ตลอด แต่หลังจากที่หลินเฟิงตื่นขึ้นมาแล้ว เธอกลับรีบจากไปทันที มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“ก็ได้!” แม้ว่าหลิ่วเฟยจะงงงวยแต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ จากนั้นนางเดินไปที่เตียงและมองหลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว จนทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ
เขาเพิ่งตื่นมาเมื่อครู่นี้เองแท้ๆ แล้วใครยั่วยุใครกันแน่? แล้วแววตาของหลิ่วเฟยมันหมายความว่าอย่างไรกัน!
“ทำไมเ้าถึงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยหรือไง?” หลิ่วเฟยโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด เพราะสิ่งที่หลินเฟิงได้ก่อไว้ในลานประลองเชลย
หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ผลลัพธ์ที่ตามมา? เมื่อตัวเองเห็นว่าสหายจากนิกายหยุนไห่จำนวนไม่น้อยได้กลายเป็ทาส และบนใบหน้ายังถูกนาบตราคำว่า ‘ทาส’ ไว้อีกด้วย แล้วจะไม่ให้เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“บ้านเกิดของข้ามีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘นายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม’ หากเกิดอะไรขึ้นกับเ้า ข้าจะไม่ลังเลสักนิดที่จะช่วยเ้า และจะไม่คำนึกถึงผลที่ตามมา”
หลินเฟิงกล่าวช้าๆ และมุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้ม ทำให้ในใจของหลิ่วเฟยเต้นระรัว
‘นายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม’ งั้นหรือ!