“เป่ยทงเสวียนกำลังจะแต่งกับซือหม่าฉางเสว่เช่นนั้นหรือ ” ซูฉางอันชะงัก
เขาจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ตู้หงฉางเคยกล่าวว่าซือหม่าสวี่เป็คนขี้ระแวง หากเื่ของหรูเยี่ยนกับเป่ยทงเสวียนยังไม่ถูกชำระความเกรงว่าเขาคงไม่ยอมให้งานวิวาห์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเป็แน่ หากเป็เช่นนี้เป่ยทงเสวียนจะแต่งกับลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีได้เยี่ยงไร?
ซูฉางอันคิดเช่นนั้น
นอกเสียจาก...
เขาหัวใจกระตุกวูบ จากนั้นหันไปมองฝานหรูเยว่อย่าง้าคำตอบแต่กลับพบว่าฝานหรูเยว่เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำและไม่ยอมเอ่ยอะไรแม้เพียงสักคำ ทว่าความหมองเศร้าที่อัดแน่นอยู่บนดวงหน้าของนางก็เพียงพอจะอธิบายทุกอย่างแล้ว
“มันเกิดขึ้นั้แ่เมื่อไหร่? ” ซูฉางอันกล่าวถาม
เสียงของเขาราบเรียบเสียจนผู้ฟังไม่อาจรับรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่นั่นทำให้ฝานหรูเยว่ชะงักไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างลืมตัว และพบว่าซูฉางอันมีสีเพียงหน้าสงบนิ่งเป็ปกติ ไม่ได้มีประกายแห่งโทสะแฝงอยู่แม้แต่น้อย
เดิมที นางยังกังวลว่าหากซูฉางอันรู้เื่เขาจะตามไปทวงความยุติธรรมให้หรูเยี่ยนเสียอีก ดังนั้น นางจึงเตรียมคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมและยับยั้งซูฉางอันเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว
แต่ดูเหมือนซูฉางอันในตอนนี้จะไม่มีความคิดเช่นนั้นเลยสักนิด เดิมทีนี่ควรจะเป็เื่ที่ดี แต่ฝานหรูเยว่กลับปรากฏความผิดหวังขึ้นในเบื้องลึกของหัวใจ...
“เมื่อห้าวันก่อน” แม้จะคิดแบบนั้นในใจ แต่นางก็ยังตอบเช่นนี้ออกไปอยู่ดี
“ข้าเข้าไปในหอเชื่อมดารากี่วันแล้ว? ” ซูฉางอันถามขึ้นอีกครั้ง หอเชื่อมดาราเป็เหมือนโลกอีกใบที่นั่นไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินเหมือนที่นี่ หากเข้าไปเพียงครู่เดียวยังพอจะกะเวลาได้บ้างแต่หากเข้าไปนาน ย่อมนับเวลาไม่ถูกเป็ธรรมดา
“ก็ประมาณห้าวันเหมือนกัน”
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าน้อยๆ ราวได้รับคำตอบที่้าแล้ว จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นกระดกยาน้ำในชามจนหมดในรวดเดียว
“หรูเยว่ เ้าออกไปเถอะ ข้าอยากพักเสียหน่อย” เขาบอกอย่างสงบ และยื่นชามกลับไปให้ฝานหรูเยว่
ฝานหรูเยว่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังรับชามจากซูฉางอันโดยสัญชาตญาณจากนั้นนางมองสำรวจซูฉางอันอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าใบหน้าที่สงบนิ่งราวกับสระน้ำแข็งของซูฉางอันกลับทำให้นางมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ด้วยเหตุนี้ หลังชะงักนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ฝานหรูเยว่ก็พูดขึ้นดังนี้“เช่นนั้นคุณชายซูก็พักผ่อนเถิด หรูเยว่ขอตัวก่อน”
จากนั้น นางก็ถอยออกไปนอกห้องก่อนจะมองซูฉางอันเป็ครั้งสุดท้ายด้วยความกังวลแต่ก็ราวจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยิบบางอย่างออกมาจากหน้าอกแล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างซูฉางอัน
“นี่เป็ของที่หลิวมามาฝากคุณชายตู้นำมาให้ข้าเพื่อฝากให้ข้านำมาให้ท่านอีกต่อ บอกว่าพี่หรูเยี่ยนเคยสั่งไว้แบบนั้นในยามที่ยังมีชีวิตอยู่”เมื่อพูดจบ ฝานหรูเยว่จึงเดินก้มหน้าก้มตาออกไปในที่สุด
แกรก
ประตูบานเก่าในห้องส่งเสียงแหบพร่าขึ้นก่อนจะถูกฝานหรูเยว่ปิดลงจากทางด้านนอก
ซูฉางอันหันไปมองของที่วางอยู่บนโต๊ะข้างกาย
มันเป็หนังสือที่เก่าจนเริ่มกลายเป็สีเหลืองเล่มหนึ่ง
เขาเปิดไปที่หน้าแรกของหนังสือด้วยมือที่สั่นเทา
บนนั้นมีรอยน้ำเปรอะอยู่ ราวว่าใครบางคนเคยร้องไห้กับหน้าหนังสือมาก่อน
เขาลูบหน้าหนังสือเบาๆรู้สึกราวคราบน้ำตาบนนั้นยังมีความอบอุ่นของผู้เป็เ้าของแฝงอยู่...
เขานั่งเหม่อเช่นนั้นประมาณสิบนาที ก่อนจะปิดหนังสือลงแล้วเก็บมันเข้าไปในหน้าอก
จากนั้นเขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้นดวงตาหลับพริ้ม ราวเป็นักบวชที่เข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิไปแล้วเช่นนั้น
เวลากลางวันในฤดูหนาวของเมืองฉางอันค่อนข้างสั้น
ดวงอาทิตย์คล้อยเคลื่อนไปยังทิศประจิมโดยที่ซูฉางอันไม่ทันรู้ตัว
แสงสายันห์สีชาดระลอกสุดท้ายทอดทะลุหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องของซูฉางอันเต็มไปด้วยแสงนวลจากดวงอาทิตย์และเงาสะท้อนจากบานหน้าต่าง
ทันใดนั้น ซูฉางอันพลันเบิกตาขึ้น
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความใสสะอาด ทว่าใบหน้ากลับเย็นะเื
เขาลุกขึ้นยืน และจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้กลับมาเรียบสวยจัดกวานบนหัวให้กลับมาตรงและเป็ระเบียบเรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างกะละมังเหล็กที่บรรจุน้ำสะอาด แล้วยื่นมือเข้าไปชำระล้างภายในนั้น
เมื่อทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น ซูฉางอันก็กำหมับไปที่กลางอากาศพลันดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมือด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ท้ายที่สุด เขาแบกดาบเอาไว้บทแผ่นหลัง จากนั้นตรวจดูเสื้อผ้าและการแต่งกายของตัวเองอีกคราเมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็ระเบียบดีแล้ว จึงผลักประตูเก่าๆ หน้าห้องให้เปิดออกแล้วก้าวออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เขาทำทุกขั้นตอนด้วยความประณีต เรียกได้ว่าไม่บกพร่อง หรือละเลยจุดใดไปแม้แต่น้อย
เพราะเขากำลังจะไปทำเื่ที่จริงจังเป็อย่างมาก เหตุนี้เขาจึงต้องทำให้ท่าทางและรูปลักษณ์ของตัวเองแลดูจริงจังสมกัน
เื่เช่นนี้ เคยมีคนทำมาแล้วมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นมั่วทิงอวี่
และยกตัวอย่างเช่นไคหยาง
จุดหมายแรกของเขาอยู่ในสำนักเทียนหลาน...
เขาดันประตูออก อวี้เหิงกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง พร้อมกับหรี่ตาลเช่นที่ทำประจำเขากำลังทอดมองไปยังดวงอาทิตย์ที่เหลือเพียงครึ่ง ณ ปลายขอบฟ้านั่นเอง
“เ้ากำลังจะไปฆ่าเขารึ? ” อวี้เหิงถามแบบนั้น
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูฉางอันไม่ได้ตอบคำถามออกไปตรงๆ
“ท่านรู้ั้แ่วันนั้นแล้วใช่ไหมขอรับ? ท่านเคยบอกว่าแม้เมืองฉางอันจะกว้างใหญ่แต่มันก็กว้างเพียงไม่ถึงร้อยลี้เท่านั้น เช่นนั้นไม่ว่าเื่อะไร ก็หลบรอดสายตาของท่านไม่ได้ทั้งนั้น! ” ซูฉางอันถามแบบนั้นน้ำเสียงของเขาฟังดูสงบนิ่งเป็อย่างมาก นิ่งจนแม้แต่ความโกรธเกรี้ยวที่แฝงอยู่ในนั้นก็ยังเย็นะเืจนน่าขนลุกเลย
อวี้เหิงเงียบไปเล็กน้อย ซึ่งมีเพียงน้อยครั้งเท่านั้นที่จะเป็เช่นนี้จนในที่สุดเขาก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วขานรับกลับไป
วินาทีที่อวี้เหิงพยักหน้าประกายสายฟ้าสีม่วงก็ะเิขึ้นในดวงตาของซูฉางอัน พลันรังสีอำมหิตะเิขึ้นกลางใจในพริบตาแต่เพียงไม่นานมันก็ถูกข่มลงอีกครั้ง
“ท่านน่าจะบอกข้า” เขาพูดราวทอดถอนใจ
ทว่าอวี้เหิงกลับส่ายหน้า “เ้าช่วยนางไม่ได้หรอกรู้ไปก็รังแต่จะเหนื่อยเปล่า”
“แต่ท่านช่วยนางได้นี่” ซูฉางอันพูดขึ้น
“ไม่ ข้าช่วยนางไม่ได้”
“ทำไมกัน? ” ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เหตุนี้ เสียงของเขาจึงดังขึ้นด้วยเช่นกัน“ท่านเป็นักรบแห่งดาราจักรที่แข็งแกร่งมากที่สุดในโลกไม่ใช่รึ? เหตุใดถึงช่วยนางไม่ได้”
“เพราะข้อแลกเปลี่ยนของการช่วยนางยิ่งใหญ่เกินไป ยิ่งใหญ่จนไม่มีใครแบกรับเอาไว้ได้”เสียงของอวี้เหิงกลายมาเป็เศร้าสลด ทั้งยังแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าอันมหาศาลอีกด้วย
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไรกัน? ” ซูฉางอันกล่าวถาม
“มณฑลซีเหลียง”
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ออก หรือจะพูดอีกแบบก็คือเขาไม่อยากคิดถึงเื่ส่วนได้ส่วนเสียและผลประโยชน์ในเื่นี้จึงตัดสินใจว่าจะจบบทสนทนาลงเพียงเท่านี้
“ข้าจะไปฆ่าเขา” เขากล่าว
“เ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก” อวี้เหิงตอบกลับมา
“ก็อาจจะใช่” ซูฉางอันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อแสดงความเห็นด้วยในสิ่งที่อวี้เหิงบอก
“แต่ข้าอยากลองสักครั้ง”
หลังพูดจบ เขาก็หมุนตัว แล้วเดินออกไปพร้อมกับดาบคู่ใจ
หน้าประตูสำนัก
เขาได้พบกับใครบางคนโดยบังเอิญ คนที่คาดไม่ถึง...ชิงหลุน
นางยืนตระหง่านอยู่หน้าสำนัก ราวเป็บงกชสีเขียวอย่างไรอย่างนั้น เหมือนจะรอซูฉางอันมานานแล้ว
“เ้าไม่ควรไปที่นั่น” นางขมวดคิ้วกล่าว
“ทำไม? ” ซูฉางอันไม่เข้าใจ
“เ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก”คำว่าฆ่าไม่ได้ของชิงหลุนกับอวี้เหิงมีความหมายแตกต่างกันเพราะคำว่าฆ่าไม่ได้ของอวี้เหิง หมายถึงเื่ของพลังส่วนฆ่าไม่ได้ของชิงหลุนเป็เื่ของโชคชะตา
พลังอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ชะตาไม่อาจเปลี่ยนแปลง
อย่างน้อย ก่อนคืนหิมะที่ดินแดนทางเหนือในวันนั้น โชคชะตาก็ยังไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงไป...
แต่ซูฉางอันกลับไม่อาจทำความเข้าใจถึงความหมายที่ทั้งสองตั้งใจจะสื่อได้เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะกล่าวถาม “เขาไม่สมควรตายรึ? ”
“เ้าอารมณ์ไม่ดีรึ? ” ชิงหลุนถามออกไปแบบนั้น
แต่ยังไม่ทันที่ซูฉางอันจะได้ตอบอะไรกลับมา หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดนางก็พยักหน้า แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
เมื่อเขาออกมาจากสำนักเทียนหลาน ท้องนภาก็เริ่มจมเข้าสู่ความมืด ขณะที่ลมหนาวก็พัดโชยเข้ามาไม่หยุด
เพราะความหนาวเย็นที่แฝงมากับสายลมซูฉางอันจึงตระหนักขึ้นได้ว่าบัดนี้ฤดูหนาวมาเยือนแล้ว
เขาลองคำนวณเวลาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่ายังมีเวลาอีกมากจึงครุ่นคิดอีกสักพัก ก่อนจะก้าวไปในทางตรงกันข้ามกับจวนเทพนักรบ ัคำรามในที่สุด
ถนนจูเชว่ในตอนนี้ไม่ได้ครึกครื้นเท่ากับหลายวันก่อน
เพราะอากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นคนทั่วไปจึงอยากจะนอนกกอยู่ในผ้าห่มเสียมากกว่า
เมื่อก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ซูฉางอันพบว่าที่นี่ค่อนข้างจะเงียบเหงาในนี้มีลูกค้านั่งอยู่เพียงประปรายเท่านั้น
และคนที่เขา้ามาพบก็คือบัณฑิตที่ชื่อกูเชียนฟานซึ่งกำลังเช็ดทำความสะอาดแท่นพูดของเขาอยู่
เมื่อเห็นซูฉางอันมาหา เขาก็มีท่าทีดีใจมากรีบเข้ามาทักทายและหาที่นั่งให้ซูฉางอันทันที
“คุณชายซู เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลามาที่นี่ได้เล่า? ” เขารินน้ำ และยื่นมาให้ซูฉางอันอย่างขันแข็ง พลางถามด้วยรอยยิ้ม
แต่ซูฉางอันกลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา
เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นมันไปเบื้องหน้ากูเชียนฟาน
กูเชียนฟานชะงักนิ่งไป เขาไม่รู้ว่าซูฉางอันคิดจะทำอะไรกันแน่แต่สัญชาตญาณก็ยังสั่งให้รับหนังสือเล่มนั้นไป
“เพลงรักแห่งหนานเยวียน” เขาดูอักษรที่ประทับอยู่ที่หน้าปก ก่อนจะปรากฏสีหน้าแปลกๆในเวลาต่อมา
“นี่เป็หนังสือที่เ้าเขียนรึ? ” ซูฉางอันกล่าวถาม
“อืม” กูเชียนฟานพยักหน้า “เป็หนังสือที่ข้าเขียนจริง”
“แต่เ้าเขียนผิด” ซูฉางอันพูดขึ้นอีกครั้ง
“หืม? ”กูเชียนฟานรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆซูฉางอันถึงพูดเช่นนี้ออกมา ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่
“ผิดตรงไหนรึ? ” เขาถามอย่างอดไม่ได้
“ซุ่ยอวี้ตายไปแล้ว นางรอหนานเยวียนไม่สำเร็จ” ซูฉางอันตอบกลับไป
“ท่านว่าอะไรนะ? ” กูเชียนฟานรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเขาไม่มั่นใจว่าตนได้ยินถูกหรือเปล่า
แน่นอน เขารู้ว่าซุ่ยอวี้และหนานเยวียนเป็ใครพวกเขาเป็ตัวละครในนิยายของเขา
คนหนึ่งเป็บัณฑิตตกยากที่ต้องเข้าไปสอบจอหงวนในเมืองส่วนอีกคนก็เป็สาวคณิกาที่รอคอยคนรักกลับมา
แต่พวกเขาก็เป็แค่ตัวละครในหนังสือเท่านั้น แล้วจะตายได้อย่างไรกัน?
ดังนั้น เขาจึงมองไปที่ซูฉางอันอย่างอดไม่ได้ด้วย้าจะทำให้แน่ใจว่าเขากำลังสื่อถึงสิ่งใดกันแน่
แต่ในตอนนั้นเอง ที่เขาพบว่าซูฉางอันมีสีหน้าผิดไปจากปกติ
เขามีสีหน้าสงบมาก มากราวกับเป็ทะเลใน่สงบก่อนพายุลูกใหญ่จะโหมกระหน่ำนั่นทำให้กูเชียนฟานรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่าซูฉางอันในวันนี้ดูจะผิดปกติไปเล็กน้อยจึงเตรียมจะพูดบางอย่างออกมา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกไป จู่ๆ ซูฉางอันก็ลุกยืนขึ้นแล้วมุ่งหน้าออกไปด้านนอก เดินออกไปท่ามกลางลมหนาวที่พัดกระหน่ำอยู่นอกร้านโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ
เขาเดินจากไปอย่างกะทันหันไม่ต่างไปจากตอนมา
เพียงไม่นานกูเชียนฟานก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างซึ่งนั่นไม่ใช่เื่ที่ดีเอาเสียเลย มันทำให้เขาลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งตามออกไปทันที
แต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็เพียงบัณฑิตที่ไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้จะวิ่งจนสุดแรงแล้ว แต่เขาก็ยังตามซูฉางอันไม่ทันอยู่ดี
“คุณชายซู ท่านกำลังจะไปไหนรึ? ” เขาะโถามเสียงดังก่อนที่แผ่นหลังของซูฉางอันจะหายไปจากสายตาอย่างสิ้นเชิง
“ฆ่าหนานเยวียน!”
คำตอบของซูฉางอัน ดุจดั่งลมหนาวอันแสนคมเฉียบที่พัดเข้าไปในหูของเขา
และในตอนนั้นเอง ที่เกล็ดหิมะสีขาวร่วงหล่นลงจากท้องนภาจากนั้นก็ร่วงลงบนไหล่ของเขา เขายื่นมือออกไปราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างก่อนเกล็ดน้ำแข็งสีขาวอีกเกล็ดจะร่วงลงที่กลางฝ่ามือ...
ระลอกแห่งความหนาวเย็นถูกส่งผ่านมาจากฝ่ามือ
“หิมะตกแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ
จากนั้น หิมะมากมายก็ปลิวว่อนอยู่กลางนภาราวเป็การตอบรับคำพูดของเขาเช่นนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องหน้าอีกครา ทว่าหิมะสีขาวที่ลอยอยู่เต็มฟ้ากลับกลบให้ร่างของซูฉางอันหายวับไปั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้