ฮูหยินผู้เฒ่ามองเฉียวเยว่กินผิงกั่ว [1] ก่อนถามอย่างจริงจัง "ท่านลุงของเ้ากล่าวเช่นนี้จริงรึ?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "จริงเ้าค่ะ ข้าได้ยินมา"
ฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไปสักพัก แล้วเอ่ยเสียงเบา "จือโจวช่างมีน้ำใจ"
เฉียวเยว่ไม่พูดอะไรมาก นางถือผิงกั๋วในมือแล้วยิ้มแป้น
ฮูหยินผู้เฒ่าลูบศีรษะเฉียวเยว่พลางเอ่ยว่า "คนดีเช่นนี้ เหตุใดมีบุญแต่กลับไร้วาสนา"
ไม่แปลกที่บุตรสาวจะโศกเศร้าเสียใจ หัวใจของนางผู้เป็มารดาก็เป็เช่นเดียวกัน เพียงแต่หลายเื่มิเรียบง่ายดังคิดหมาย
เฉียวเยว่เอียงคอมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง "ในโลกนี้ไม่มีคำกล่าวที่ว่ามีบุญแต่ไร้วาสนาหรอกเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าตกตะลึง ร้องอ้อ ก่อนถามขึ้น "เหตุใดเฉียวเยว่จึงกล่าวเช่นนี้เล่า?"
"มีบุญแต่ไร้วาสนา เท่ากับไม่มีบุพเพสันนิวาสต่อกัน เมื่อไร้บุพเพสันนิวาส จะมีสิ่งใดต้องเสียดายกันเล่า"
ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งงันไปชั่วขณะ หลังจากนั้นถึงกล่าวว่า "ยังเล็กแค่นี้ แต่วาจาเรื่อยเปื่อยของเ้ากลับมีประโยชน์ดียิ่ง"
เฉียวเยว่ยิ้มยิงฟัน "ใช่วาจาเรื่อยเปื่อยที่ไหนกัน ที่ข้าพูดล้วนเป็ความจริง"
นางกัดผิงกั่วกร้วมๆ สองคำ หลังจากนั้นก็ลงไปนอนแผ่เป็รูปอักษร 大 พลางเอ่ยด้วยความดีใจ "พรุ่งนี้ก็ฉลองปีใหม่แล้ว ข้าก็จะพ้นโทษเสียที"
ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะไม่รู้เื่ที่นางทำผิด อดกลั้นที่จะหัวเราะยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากของนาง "ข้าว่าไม่แน่หรอก เพียงพริบตาเดียวเ้าอาจจะทำความผิดอะไรอีกก็ได้ เด็กซุกซนอย่างเ้าพูดได้ยากจริงๆ"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "ท่านย่ารังแกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร"
ผู้หยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา "วันนี้ท่านลุงิ่กับพี่จื้อรุ่ยของเ้ามา เหตุใดเ้าไม่มาเรือนหลัก? นี่มิใช่วิสัยปรกติของเด็กที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเช่นเ้า"
เฉียวเยว่ประสานมือ "เพราะข้าเชื่อฟังท่านลุง เขาบอกให้ข้ารออยู่ที่ห้อง แหะๆ ข้าก็เลยรออยู่ในห้องของตนเองเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า "เช่นนี้ถูกต้องแล้ว ย่าไม่อยากให้ไกวเยว่น้อยแต่งเข้าไปอยู่อย่างเดียวดายเฝ้าห้องหอว่างเปล่า"
เฉียวเยว่ยกมือเท้าคาง "ข้ายังเด็กอยู่ อย่าคุยหัวข้อนี้กับพวกเขาสิเ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่า "..."
ตอนเย็นเฉียวเยว่ไม่กลับเรือน แต่ถือวิสาสะค้างคืนที่เรือนหลักโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เช้าวันรุ่งขึ้นซูซานหลางก็มาอุ้มกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายเป็ตุ๊กตาน้อยน่ารักดูดีอย่างยิ่ง
เฉียวเยว่ร่าเริงสดใส นางสวมอาภรณ์สีแดง ฉีอันสวมอาภรณ์สีฟ้าสดใส ทั้งสองดูราวกับเด็กน้อยชายหญิงในภาพเขียนปีใหม่
เสียงประทัดจากด้านนอกดังมาไม่ขาดสาย ฉีอันวิ่งไปเล่นกับพี่ชายสองสามคน เฉียวเยว่อยู่ในเรือนหลัก
เหล่าผู้าุโต่างคุยเล่นสนทนากันเหมือนกับปีก่อนๆ หลังจากรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาตอนเที่ยงวันก็ร่วมวงเล่นไพ่หม่าเตี้ยว [2] ส่วนเด็กๆ รุ่นเยาว์ต่างก็ออกมาเล่นกัน วันนี้ไม่มีแขกจากข้างนอก มีแต่คนในครอบครัวอยู่ร่วมกัน
วันพรุ่งนี้เป็วันที่หนึ่งของปีใหม่ ถึงจะมีคนมากมายมาเยือนเพื่ออวยพรปีใหม่
เฉียวเยว่กางนิ้วมือออกคำนวณ "ประเสริฐยิ่ง พรุ่งนี้ข้าก็จะมีเงินยาซุ่ยเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ข้านับดูก่อน ข้านับดูก่อน"
เฉลียวฉลาดจริงๆ
ชิงเยว่แค่นเสียงหึ พูดเหน็บแนม "รสนิยมต่ำ"
เฉียวเยว่คร้านจะสนใจอีกฝ่าย นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "พี่สาว พวกเรามาพนันกันเถอะ ปีนี้ผู้ใดจะให้อั่งเปาข้าเยอะที่สุด?"
อิ้งเยว่เงยหน้ามองนางแล้วตอบ "ท่านลุง"
เยือกเย็นเป็ที่สุด แทบจะไม่มีความลังเล
เฉียวเยว่หัวเราะแหะๆ "ท่านนี่น่าเบื่อเสียจริง นี่คือคำตอบที่ข้าคาดเดาเหมือนกัน เช่นนั้นข้าไม่พนันกับท่านแล้วดีกว่า"
นับว่าเป็เด็กน้อยที่เฉลียวฉลาด
"ท่านย่า ท่านย่า ข้าชอบต้นนี้ ที่เรือนของพวกเรามีปลูกไว้เยอะเลยเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่เริ่มหัวข้อสนทนาใหม่เพื่อเบี่ยงเบนไปจากเื่เดิมที่คุยกันอยู่ มืออวบเล็กจ้อยชี้ไปที่ต้นส้มสีทอง
"ข้าชอบ ชื่อของมันฟังดูเป็มงคลดี ส้มสีทอง แค่ได้ยินคำว่าทองข้าก็รู้สึกมีเงินขึ้นมาแล้ว"
ถ้อยคำของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะกันครืน
ญาติฝ่ายหญิงต่างพูดคุยกันอยู่ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เฉียวเยว่ยังคงแสดงความขี้เล่นขายความน่ารักน่าเอ็นดูต่อไป "ท่านย่าเ้าคะ สองสามวันมานี้ข้าฝึกร่ายรำ ข้าเรียนรู้บทเพลงใหม่มา ตอนเย็นจะแสดงให้พวกท่านชม"
เย็นนี้เชิญคณะงิ้วมาขับร้องทำการแสดง ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้มหน้าผากของนาง "เ้านี่นะ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ชอบดูงิ้วเลย"
เฉียวเยว่สะบัดมือ "ข้ารู้สึกว่าการแสดงเช่นนั้นไม่น่าสนใจ"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ "เช่นนั้นอย่างไรถึงจะน่าสนใจล่ะ?"
เฉียวเยว่เอานิ้วมือชนกัน "ปีนต้นไม้จับนก ลงทะเลจับปลา?"
พรืด!
"เ้าเด็กคนนี้ จะทำอันใดอีกแล้วล่ะ"
ซูซานหลางสามพี่น้องเดินเข้าประตูมา ยังมีบุตรชายเฉิงกวานอิงเดินมาพร้อมกัน ซูซานหลางได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวดังมาแต่ไกล เฉียวเยว่เห็นบิดาก็วิ่งโผเข้ามา "ท่านพ่อ อุ้ม หลายวันมานี้ข้าตัวเบาขึ้นแล้วนะเ้าคะ"
ซูซานหลางอุ้มนางขึ้นมาพลางอมยิ้ม "เป็เด็กดีหรือไม่?"
เป็บุรุษอ่อนโยนงามสง่าประดุจหยกโดยแท้
ซูต้าหลางมักเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ หลังจากคารวะผู้าุโ ก็นั่งลงด้านข้าง "อุ้มบุตรอันใดไร้มารยาทกฎเกณฑ์"
แท้จริงแล้วจะด้วยเหตุอันใดก็สุดรู้ เฉียวเยว่มักรู้สึกว่าท่านลุงใหญ่ไม่ค่อยชอบพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับท่านอา ความเ็าของท่านลุงใหญ่เป็อีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนท่านป้าสะใภ้ใหญ่ แม้ว่านางจะมีชาติกำเนิดเป็สตรีตระกูลสูงศักดิ์ ปฏิบัติตัวกับผู้อื่นอย่างมีมารยาทเจือไปด้วยความห่างเหิน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังแสดงให้ผู้คนเห็นสี่อารมณ์ [3] ของนางได้
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ็นดูนางจริง แต่ท่านลุงใหญ่ไม่ใช่ มักให้ความรู้สึกห่างเหินไม่ชิดใกล้ ราวกับมีกำแพงแก้วขวางกั้นอยู่ตรงกลาง
"อุ้มบุตรสาวของตนเองไร้มารยาทกฎเกณฑ์อันใด ตอนนี้ไกวเยว่ยังเด็ก หากรอจนโต ข้าอยากอุ้มก็อุ้มไม่ได้แล้ว" ซูซานหลางใบหน้าอาบรอยยิ้มกล่าวอย่างไม่นำพา
"ข้าว่าไม่ต้องรอให้โตหรอก แค่นางอ้วนขึ้นกว่านี้อีกหน่อย เ้าก็อุ้มไม่ไหวแล้ว" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยหยอกเย้า
เฉียวเยว่ปิดหน้า "ข้าผอมมาก ข้าผอมมาก" นางพยายามสะกดจิตตนเอง "ข้าไม่อ้วน"
ทุกคนต่างหัวเราะ เฉียวเยว่มองลอดผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือมาที่ท่านลุงใหญ่ รู้สึกได้ว่ามุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ดูฝืนเกินกว่าจะเป็รอยยิ้ม
แม้ท่านลุงใหญ่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นรวมถึงบุตรชายบุตรสาวของตนเองอย่างเ็า แต่เฉียวเยว่มีความรู้สึกว่าท่านลุงใหญ่ไม่ชอบนาง แน่นอนว่าเขาก็ไม่ชอบอิ้งเยว่กับฉีอันเหมือนกัน เป็ความรังเกียจเดียดฉันท์โดยไม่รู้สาเหตุ
"แม่หนูเจ็ดร่าเริงสดใสดียิ่ง" เฉิงกวานอิงกล่าวพลางอมยิ้ม
"นั่นเพราะผู้ใหญ่สอนมาดีเ้าค่ะ" เฉียวเยว่ตอบอย่างฉาดฉาน
ซูซานหลางลูบศีรษะของนาง "เ้านึกว่าเป็คำชมจริงๆ หรือ นี่คือการบอกว่าเ้าเป็ลิงน้อยแสนซนต่างหากเล่า"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ "ท่านอาเขยของข้าต้องไม่ได้หมายความเช่นนี้แน่ ท่านอาเขย ความหมายของท่านคือชมเชยว่าข้าน่ารักใช่หรือไม่?"
เดิมทีเฉิงกวานอิงรู้สึกเก้อเขินเพราะคำกล่าวของซูซานหลาง แต่พอได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้กลับเป็การหาทางลงให้แก่เขาพอดี "ถูกต้อง ถูกต้อง"
"ในหัวใจของท่าน ข้าเป็สตรีที่งามพิลาสที่สุดของที่สุดใช่หรือไม่?" เฉียวเยว่ถามต่อ
"ชะ... ใช่" เฉิงกวานอิงเริ่มอับจนถ้อยคำ
คำพูดของเขาฝืดและฝืนมาก
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัดทันใด เกาบ่าของซูซานหลาง "ท่านอาเขยน่าแกล้งจริงๆ"
ก้นน้อยๆ พลันถูกตีทีหนึ่ง
เห็นพวกเขาสองพ่อลูกแสดงความผูกพันรักใคร่ ซูต้าหลางก็รู้สึกขุ่นเคืองในชั่วพริบตา แต่เพราะซ่อนความรู้สึกเก่ง จึงไม่มีผู้ใดเห็นความผิดปรกติของเขา
"เอาล่ะ นั่งกันก่อนเถอะ อย่าเอะอะเสียงดัง" เขากล่าวเสียงเรียบ
ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มมองเขาปราดหนึ่ง "เ้าน่ะ เคร่งครัดจริงจังเกินไป ปีใหม่ทั้งที ครึกครื้นสนุกสนานหน่อยจะเป็อันใดเล่า"
"ท่านแม่กล่าวถูกต้อง" ซูซานหลางตอบ
"คนในครอบครัว ไม่จำเป็ต้องจุกจิกมากถึงเพียงนั้น แค่มีความสุข สุขภาพแข็งแรงก็พอ เอ่ยถึงเื่นี้ ข้ากับบิดาเ้าปรึกษาหารือกันไว้ว่า รอหลังจากฉลองปีใหม่แล้ว จะเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพให้กับพวกเ้าสักครา ต่อไปภายหน้าจะมีการเชิญหมอหลวงมาตรวจทุกปี สุขภาพของตนเองจะประมาทเลินเล่อมิได้เป็อันขาด" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
เฉียวเยว่ปรบมือ "ยอดเยี่ยมไปเลย!"
"ยอดเยี่ยมอันใดของเ้า" ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง "ตอนที่ข้าเป็ไข้ ท่านแม่ให้ข้าพบท่านหมอ หลังจากนั้นก็ให้ข้าดื่มยาค้มขม ตอนนี้ถึงตาของพวกท่านแล้ว ลั้นหลั่นลา"
ช่างเป็กระต่ายที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นจริงๆ
"แต่ทั้งครอบครัวก็รวมกระต่ายโง่อย่างเ้าด้วย" อิ้งเยว่เอ่ยเสียงเบา
เฉียวเยว่ชะงัก คอพับตกลงมา "หวา... ข้าไม่เอาด้วยแล้ว ข้ายังเด็ก สุขภาพแข็งแรง ข้า..."
ฮูหยินผู้เฒ่า "หากยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด จะไม่ให้เงินยาซุ่ยกับเ้าแล้วนะ"
เฉียวเยว่เงยหน้าทันควัน "ท่านย่าปราดเปรื่องปรีชา เช่นนั้นก็ตรวจเถิดเ้าค่ะ ข้ากล้าหาญมาก"
เปลี่ยนแปลงเร็วจนน่าใ ซูซานหลางมุมปากกระตุก ก้นน้อยๆ ของนางถูกตีอีกที "เ้าช่วยสงบเสงี่ยมให้ข้าหน่อย"
เฉียวเยว่หัวเราะ ยกมือขึ้นบอกว่าได้!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังกินมื้อกลางวันเสร็จ ไท่ไท่สามก็อุ้มเฉียวเยว่ที่ง่วงงุนในอ้อมแขนกลับไปนอน นางเคยชินกับการนอนกลางวัน ไม่นอนไม่ได้ ยิ่งไปกว่าคืนนี้ยังต้องมีการอยู่เฝ้าปี ย่อมต้องพักผ่อนออมแรงมากหน่อย
หลังจากวางบุตรสาวลง นางก็หันกลับไปมองซูซานหลาง "ซานหลางเหตุใดไม่ไปเล่นไพ่กับพวกเขาล่ะ?"
ปรกติการเล่นสนุกเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็กิจกรรมผ่อนคลาย่ปีใหม่
"ข้าไม่วางใจเฉียวเยว่ ต้องมาดูหน่อย" ซูซานหลางทอยิ้มน้อยๆ
เขาชำเลืองมองบุตรสาวซึ่งกำลังหลับราวกับหมูน้อยตัวหนึ่ง "เด็กคนนี้ต้องเข้าใจความหมายของท่านแม่เป็แน่ มิเช่นนั้นไหนเลยจะให้ความร่วมมืออย่างดีเช่นนั้น"
ไท่ไท่สามจัดแต่งอาภรณ์ให้เขา พลางเอ่ยเสียงเบา "เด็กฉลาดหาใช่เื่เลวร้าย"
นึกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอีกว่า "เหมือนท่าน"
ซูซานหลางโอบกอดไท่ไท่สามพลางอมยิ้ม "เหมือนข้าที่ไหนกัน เหมือนลุงของนางชัดๆ เต็มไปด้วยแผนการเต็มท้อง โตกว่านี้อีกหน่อย ข้าเกรงว่าคงควบคุมนางไม่อยู่แล้ว แต่พร์ความสามารถของเด็กคนนี้เหมือนข้า"
ไท่ไท่สามหยิกเนื้อที่เอวของเขา "ท่านนี่น่ารำคาญนัก"
รอยยิ้มของซูซานหลางอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ "ข้าว่าเ้าชอบมากกว่ากระมัง"
สองสามีภรรยาหยอกเย้าเกี้ยวพาราสีกัน
"ท่านระวังหน่อย บุตรสาวยังอยู่นะ" ไท่ไท่สามท้วงติง
ซูซานหลางประคองนางไปนั่งข้างเตียงบุตรสาว เฉียวเยว่หลับสนิทมาก
"เด็กคนนี้เป็ดาวนำโชคน้อยของพวกเรา" เขาเอ่ย
"ไข่น้อยจอมซนสิไม่ว่า"
"ไข่น้อยจอมซนก็ยังเป็ไข่ที่ดี" ซูซานหลางยิ้มน้อยๆ "เมื่อครู่ที่ห้องหนังสือ ท่านพ่อคุยบางอย่างกับข้า"
ไท่ไท่สาม "เื่อันใด?"
"ท่านพ่อมีความประสงค์ให้ข้าเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ [4] ปีหน้า พี่ใหญ่ก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน"
ความจริงเวลาเช่นนี้ไม่ควรเอ่ยถึงเื่นี้ แต่ระหว่างพวกเขาสามีภรรยาไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง
ไท่ไท่สามตกตะลึง "เพราะเหตุใด?"
ซูซานหลางไม่คิดจะสอบเคอจวี่หรือเข้ารับราชการ เื่นี้ทุกคนต่างก็รู้
"ท่านพ่อหวังดีต่อข้า ท่านทราบว่าฝ่าาปรารถนาให้ข้าไปเป็อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจียนมาโดยตลอด แต่ถ้าหากไร้ชื่อเสียง ก็ไม่อาจเข้าไปอย่างถูกต้องชอบธรรมได้"
"แล้วท่านเองเล่า คิดเห็นเช่นไร ท่านปรารถนาที่จะไปหรือ?"
ซูซานหลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ "แท้จริงแล้วไม่มีอันใด มีความเปลี่ยนแปลงอื่นที่ข้าไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรเสียข้าต้องไปที่กั๋วจื่อเจียนแน่นอน เื่ในราชสำนักเ่าั้ ข้าไม่เคยสนใจอยู่แล้ว"
ไท่ไท่สามกุมมือของซูซานหลาง "ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าล้วนสนับสนุนท่าน"
"ข้าก็ด้วย" น้ำเสียงฉาดฉานแทรกขึ้นมา
ทั้งสองก้มหน้าลงมอง เฉียวเยว่จ้องพวกเขาตาแป๋ว ไม่รู้ว่าฟังอยู่นานแค่ไหนแล้ว
ซูซานหลางมุมปากกระตุก "ข้าชักคันมือขึ้นมาแล้วสิ..."
...
[1] ผิงกั่ว หมายถึงแอปเปิล
[2] ไพ่หม่าเตี้ยว คือไพ่นกกระจอกแบบโบราณ
[3] สี่อารมณ์หมายถึง ความดีใจ ความโกรธ ความเศร้าโศก และความสุข
[4] เคอจวี่ คือการสอบขุนนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้