“เหตุใดท่านยอดฝีมือผู้นี้จึงได้รับข้อเว้น เขาเป็ใครกัน” ซูเจินคิดถามในใจ หากเป็เช่นนั้นโลกภายนอก มีอะไรอีกหลายอย่างที่นางควรได้เรียนรู้ อีกทั้งชายตรงหน้าดูลึกลับน่าค้นหากว่าสิ่งใด นางเผลอมองรูปโฉมของโจวอี้เฟยจนรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เริ่มผิดปกติ
“กลับไปเสีย ไม่มีทางที่เ้าจะสามารถออกจากแคว้นเกิดของเ้าได้” องค์รัชทายาทกล่าวตัดปัญหา เพราะไม่อยากให้สาวงามคิดเพ้อฝัน ในเื่ที่เป็ไปไม่ได้
“ข้าไม่มีบ้าน สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ตอนนี้คือขอความเมตตาจากท่าน” สิ้นเสียงของสาวงาม ลมอ่อนพัดผ่านปะทะร่างทั้งสอง พร้อมกับสายฟ้าแลบอยู่ไกลๆ แสดงถึงสภาพอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้ สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไผ่รกทึบ ซูเจินหันมองบรรยากาศรอบๆ ที่กำลังจะสิ้นแสง ก่อนหันใบหน้างดงามกลับมายังยอดฝีมือ เป็การขอความเมตตาจากเขา
“เช่นนั้นข้าเสียใจ ที่ช่วยเ้าไม่ได้” ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังแล้วเดินจากไป เพราะมีหลายอย่างให้เขาต้องจัดการ กับผู้เฒ่าหานตงเองก็ยังหาไม่พบ ความหวังว่าจะฝึกวิชาเวทขั้นแปดให้สำเร็จ ดูเหมือนจะเหลือน้อยเต็มทน โจวอี้เฟยเดินออกมาได้สักระยะ ก่อนหันไปมองแล้วพบว่านางไม่ตามติด จึงใช้พลังเวทขั้นเจ็ดหายวับกลังมายังนครใหญ่
เสียงฝีเท้าขององค์รัชทายาทบ่งบอกว่าเขากลับมาแล้ว เหล่านางกำนัลพากันนำอาหารเย็นมาวางเรียงกันที่โต๊ะเสวย ไม่กี่นาทีอาหารนับสิบก็ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย เขาโบกมือเป็สัญญาณว่า้าอยู่ตามลำพังอย่างใช้ความคิด
“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารคนสนิททูลองค์พระมหาจักรพรรดิ ที่กำลังนั่งรออยู่ด้วยความร้อนใจก่อนที่มหาจักรพรรดิจะเสด็จมาพบลูกชายโดยเร็วที่สุด เสียงฝีเท้ารีบเร่งคืบคลานเข้ามาให้ห้องเสวย หลังจากสายพระเนตรเห็นพระราชบิดาจึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพโดยเร็ว
“พวกเ้าทั้งหมดออกไปก่อน ข้าอยากสนทนากับองค์รัชทายาทตามลำพัง” ทหารและนางกำนัลที่ติดตามรับคำสั่งแล้วทำตาม ก่อนในห้องเสวยจะเหลือเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น สายพระเนตรมองตรงมายังองค์รัชทายาทด้วยความเป็ห่วง
“ข้ารู้ว่าเ้าฝึกวิชาเวทขั้นเจ็ดสำเร็จ อยากไปไหนตามใจชอบ แต่การหายไปหลายวันแบบนี้ข้าไม่สบายใจนัก”
“หากทำให้ท่านพ่อเป็ห่วง ข้าขออภัย แต่ข้าจำต้องหาท่านผู้เฒ่าหานตงให้พบ”
“องค์ชายรองบอกกับข้าหมดแล้ว เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของเ้า แต่การจะฝึกวิชาเวทขั้นแปดสำเร็จ มันไม่ใช่เื่ง่าย องค์มหาจักรพรรดิหลายรุ่นไม่มีใครสามารถฝึกวิชาเวทขั้นแปดสำเร็จ แม้แต่ท่านผู้เฒ่าหานตงเองยังไม่สามารถฝึกได้ ทุกอย่างอยู่ที่์ลิขิต แค่เ้าฝึกวิชาเวทมาจนถึงขั้นเจ็ดได้นับว่าไม่มีผู้ใดเทียบ เลิกหาวิธีฝึกวิชาเวทขั้นแปดได้แล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เ้าต้องรีบทำคือการหาพระชายา”
“ท่านพ่อ ท่านรักท่านแม่มากฤาไม่”
“หลังจากสูญเสียแม่ของเ้า ตำแหน่งของนางก็ไม่เคยมีผู้ใดมาแทนที่” สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิเปลี่ยนลงในฉับพลันเมื่อพูดถึงพระมารดาของโจวอี้เฟย
“ผิดด้วยฤาที่ข้าอยากเป็แบบท่านพ่อ มีเพียงรักเดียวที่ยึดมั่น จริงอยู่ที่ว่าท่านพ่อมีพระสนมมากมาย หากแต่ตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตอนนี้ของท่านแม่ แสดงให้เห็นว่าท่านทั้งสองรักกันมากเพียงใด” องค์จักรพรรดิชะงัก ครู่หนึ่งจึงรอบถอนหายใจออกมา
“อีกเื่คือการออกจากแคว้นเพื่อตามหาท่านผู้เฒ่าหานตง ข้ารู้ว่าเ้ามีพลังเวทที่มิอาจมีผู้ใดสามารถต่อกรได้ หากแต่นักรบย่อมมีวันพลาด ขอจงจำไว้หากเ้าพลาดวันใด ชะตาของแคว้นกงเหว่ยจะถึงคราววิกฤต ข้ารู้ว่ามิอาจเปลี่ยนความมุ่งมั่นของเ้าได้ไม่ว่าเื่ใดก็ตาม แต่ขอให้รู้ไว้ว่านครใหญ่แห่งนี้ไม่สามารถขาดเ้าได้ จริงอยู่ที่ยังมีองค์ชายรอง แต่ข้าอยากมององค์ชายรองเติบโตในแบบที่เขาถนัด จะให้แบกรับภาระใหญ่หลวงเช่นเ้ามันก็หนักไปสำหรับองค์ชายรอง” องค์พระมหาจักรพรรดิระบายความทุกข์ใจ ก่อนจะหันวรกายเดินออก
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าตอนนี้ทำให้ท่านหนักใจหลายอย่าง หากสะสางทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นข้ายังหาคนที่พอใจมิได้ ข้าจะยอมทำตามท่านทุกอย่างไม่เว้นแม่แต่การเลือกพระชายาที่ท่านเสนอให้” องค์พระมหาจักรพรรดิหลับตาลงเก็บคำพูดของโจวอี้เฟยไว้ สองเท้าก้าวออกจากตำหนักของลูกชายด้วยหัวใจบีบคั้น
ซูเจินเดินตามทางเล็กที่รายล้อมด้วยป่าไผ่ ในตอนนี้รอบๆ เริ่มมืดจนแทบมองไม่เห็นทาง อีกทั้งลมพายุกำลังซัดเข้ามาใกล้ แสงสีส้มแลบอยู่ใกล้เพียงเหนือศีรษะ เสียงสัตว์ป่าร้องโหวกเหวกดังลั่น หันซ้ายแลขวาพบแต่เงาของต้นไผ่ที่บางครั้งทำให้ร่างบางสะดุ้งใ เพียงชั่วขณะสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ปราณี หญิงสาวมองหาท่านยอดฝีมือ พลางะโเรียก
“ท่านยอดฝีมือ ท่านอยู่แถวนี้ฤาไม่” ซูเจินหมุนตัวมองหาทุกทิศ ด้วยความหวังเล็กๆ ปลอบใจว่ายอดฝีมืออาจอยู่ไม่ไกลนัก เพราะนางทิ้งห่างเขาไม่ถึงชั่วยามเท่านั้น เสียงคะนองกึ่งก้องบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงสีส้มสว่างวาบ ทำให้ซูเจินรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้ต้นไผ่ที่อยู่ใกล้ ยกมือขึ้นกอดตัวเองเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น พลางมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ทั้งเม็ดฝนและแรงลมกระหน่ำซัดจนร่างบางเปียกปอนไปหมด ในที่สุดแล้วจึงค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งคู้เข่าเข้าหากัน ร่างกายสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ น้ำตาแห่งความกลัวรินไหลออกมาช้าๆ
“พี่ลี่เซียน ข้ากลัวเหลือเกิน” ซูเจินหันซ้ายแลขวา ท่ามกลางฝนที่กำลังตกกระหน่ำไม่หยุด อุณหภูมิร่างกายค่อยๆ ลดลง ความมืดมิดปกปิดทั่วบริเวณไม่สามารถขยับกายไปไหนได้ มีเพียงสองมือใช้กอดเข่าตัวเองแล้วขดกลมก้มหน้าอยู่ที่เดิม
หลังจากเสวยอาหารและนั่งอ่านตำราพลังเวทขั้นแปดผ่านไปได้ครึ่งคืน สายลมแรงพัดเอาโคมไฟด้านนอกดับ เหลือเพียงจุดเดียวที่ยังคงให้แสงสว่าง ครู่หนึ่งเสียงของเหล่าทหารรีบพากับแก้ไขให้ไฟติด หากแต่สายลมและเม็ดฝนแสดงถึงความรุนแรงของพายุที่กำลังเข้าปกคลุมเมือง เพียงเสี้ยววินาทีองค์รัชทายาทหวนนึกถึงสาวงามที่ถูกทิ้งอยู่ในป่าไผ่ ให้เผชิญชะตาตามลำพัง เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางพูดเป็ความจริง เขาใช้พลังเวทขั้นเจ็ดฝ่ากลับมายังบริเวณที่ทิ้งนางไว้ และใช้พลังเวทขั้นหกเสกตะเกียงพร้อมร่มคันใหญ่วูบขึ้นจากฝ่ามือ แสงจากตะเกียงส่องสว่างพอให้มองเห็นทางเดิน ร่างของชายรูปงามเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตามองหาหญิงสาวตามทางไปเรื่อยๆ ในขณะที่สายฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“คิดไม่ถึงว่า ที่แคว้นจ้านหลิวพายุหนักหนาสาหัสกว่านครใหญ่มากถึงเพียงนี้” ความคิดยังไม่ทันหายไป เสียงไอปริศนาที่ดังอยู่ไม่ไกลมากนัก ทำให้โจวอี้เฟยหันมองไปยังต้นไผ่ด้านข้าง แล้วพบกับร่างของหญิงสาวนั่งคู้เข่าก้มหน้า เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด สองเท้าขององค์รัชทายาทเดินมาหยุดด้านหน้า สายตาคมจับจ้องไปยังสาวงามที่ตัวสั่นระริก ก่อนย่อตัวลงนั่งแล้วเลื่อนร่มไปคลุมตัวนางไว้
“เ้ามิได้โกหก ที่ว่าไม่มีบ้าน” สายตานิ่งเรียบมองหญิงสาวอย่างหาความหมายไม่เจอ มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปจับตัว พบว่านางอ่อนล้าด้วยเพราะตากฝนมานานเกินไป สายตาคมละจากร่างของซูเจิน แล้วหันไปทางพื้นที่โล่งด้านข้างพลางใช้พลังเวทขั้นหกอีกครั้ง ก่อนปรากฏกระท่อมไม้หลังเล็ก เมื่อสำรวจแน่ชัดแล้วว่านางไม่ได้สติจึงใช้พลังเวทอุ้มนางมานอนบนเตียงฟางเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แสงวูบที่ฝ่ามือเพียงครั้งเดียวก็ปรากฏเป็กองไฟขนาดเล็กเพิ่มความอบอุ่นร่วมด้วย
“ท่านพ่ออย่าทำร้ายพี่ลี่เซียน ได้โปรด” หญิงสาวผู้อ่อนล้า ละเมอออกมาเสียงเบา จับใจความไม่ได้มากนัก ชายหนุ่มหันไปมองเพียงชั่วขณะก่อนหันกลับมายังกองไฟดังเดิมด้วยกิริยานิ่งเรียบ มือหนายังคงเขี่ยกองไฟไปมาอย่างใช้ความคิด
“พี่ลี่เซียนข้าขอขี่หลังท่านหน่อย ข้าหนาวเหลือเกิน” เสียงของซูเจินยังคงเรียกหาชื่อปริศนา พลางส่งเสียงไอเป็ระยะ โจวอี้เฟยวางไม้ในมือแล้วตัดสินใจเข้าไปนั่งด้านข้าง พลางวาดมือมาจับพบว่านางมีอาการตัวร้อน จึงหยิบเอายาที่ติดตัวมาป้อนใส่ปากหวังว่าฤทธิ์ยาจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของนางได้ หากเมื่อเลื่อนมองดูเสื้อผ้าที่เปียกปอนนั่นอาจเป็สาเหตุให้นางเจ็บป่วย จึงทาบมือเพียงเสี้ยววินาทีเสื้อผ้าก็กลับกลายเป็แห้งสนิท อาการสั่นเทาค่อยๆ สงบลงอย่างเห็นได้ชัด
“เ้ามิใช่หญิงสาวสามัญธรรมดาเช่นนั้นฤา เหตุใดจึงอยากออกจากแคว้นแห่งนี้นัก” องค์รัชทายาทส่อสายตาจับจ้องนางด้วยความแปลกใจ ครู่หนึ่งจึงถอยหลังแล้วเอนกายพัก ก่อนหลับตาลงแล้ววางเื่ราวทุกอย่างไว้ภายหลัง เวลาแห่งรัตติกาลยาวนานผ่านพ้นไป กองไฟที่เกิดจากพลังเวทมอดดับเหลืองเพียงซากขี้เถ้าพอให้รู้ว่าเคยมีอยู่เท่านั้น
ดวงตาของซูเจินค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ก่อนพบว่าทุกสิ่งรอบตัวไม่เหมือนเดิม สายตาหวานวาดมองกระท่อมไม้พร้อมกองฟางที่นางนอนทับ หญิงสาวพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งช้าๆ แล้วมองย้ำทุกสิ่งรอบกายอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็ความจริงหาใช่ความฝัน ซูเจินหันมองชายหนุ่มในชุดขาวผมยาว ที่เอนกายหลับอยู่ด้านข้าง
“หรือเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็ฝีมือของท่านยอดฝีมือกันนะ” หญิงสาวค่อยๆ ขยับกายเข้าไปใกล้แล้วพินิจมองใบหน้าของยอดฝีมืออย่างใกล้ชิด
“ตอนนี้เขากำลังหลับสนิท ไม่ว่ายามหลับหรือตื่นข้าก็เห็นเพียงใบหน้าที่ไร้อารมณ์เช่นนี้อยู่เสมอ” ดวงตากลมหวานยังคงจ้องมองรูปโฉมขององค์รัชทายาทด้วยความพิสมัย พลางเอียงศีรษะไปมา