“เ้าพูดถูกแล้ว มารดาก็คิดเช่นนี้เช่นกัน” หลี่หยางซื่อคิดแล้วก็หัวเราะออกมา “ในเมื่อเ้ากลับมาแล้ว ไม่สู้พรุ่งนี้เชิญเลี่ยนไป๋มากินข้าวกลางวันด้วยกันสักมื้อ ข้าจะทำกับข้าวดีๆ รับรองพวกเ้า”
“เื่นั้นไม่ต้องรบกวนมารดาหรอกขอรับ ให้มาที่เรือนโฉวงจี๋ของข้าก็พอแล้ว ข้าจะให้คนส่งเทียบเชิญให้พี่จาง” หลี่ลั่วตรงไปตรงมาเช่นกัน “ยังมีอีกเื่หนึ่ง ข้ามาบอกกล่าวกับมารดาสักคำ”
“เื่อันใดหรือ?” ในเมื่อเป็การบอกกล่าว แสดงว่าหลี่ลั่วได้ตัดสินใจไปแล้ว หลี่หยางซื่อกระจ่างแจ้งแก่ใจ แม้จะถูกเด็กน้อยคนหนึ่งกดให้อยู่ข้างล่าง แต่หลี่หยางซื่อไม่รู้สึกว่ามีอันใด แต่ไหนแต่ไรมาหลี่ลั่วไม่เข้ามายุ่มย่ามกับเื่เล็กๆ ภายในจวนโหว เื่ใหญ่มีหลี่ลั่วแบกรับ นางเองผ่อนคลายลงไม่น้อย
พูดออกไปแล้วช่างน่าขายหน้านัก นางเป็สตรีออกเรือนแล้วที่อายุปูนนี้ ทั้งครอบครัวกลับต้องมาอาศัยพึ่งพิงเด็กน้อยคนหนึ่ง ยังดีที่เป็เด็กน้อยที่มีสติปัญญาและความสามารถ ไม่เช่นนั้นจวนโหวคงต้องถูกเหล่าสุนัขจิ้งจอกเ้าเล่ห์คิดบัญชีไปนานแล้ว
“ข้าวสารสี่แสนห้าหมื่นชั่ง อีกไม่กี่วันข้าจะจัดคนส่งไปที่ซีเป่ย เสบียงอาหารของทหารซีเป่ยย่ำแย่ยิ่งนัก กินแต่หม่านโถวทุกวัน แม้แต่ข้าวขาวเพียงมื้อเดียวก็ไม่มีให้กิน ข้าคิดว่าหากบิดายังมีชีวิตอยู่คงทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน” หลี่ลั่วกล่าว
“ข้าวสารเหล่านี้เดิมทีเ้าตั้งใจจะบริจาคอยู่แล้ว ส่งไปที่ใดล้วนไม่ต่างกัน เ้าตัดสินก็พอแล้ว” หลี่หยางซื่อกล่าว และอีกอย่างนางก็รู้ว่าฉีอ๋องยามนี้อยู่ที่ซีเป่ย “ลั่วเกอเอ๋อร์ ไม่สู้นำที่นาของพวกเราอีกหนึ่งพันสองร้อยหมู่มาปลูกข้าวดีหรือไม่? มารดาคำนวณดูแล้ว ที่นาหนึ่งพันสองร้อยหมู่ปล่อยเช่าออกไปหนึ่งปีมีรายได้หนึ่งพันตำลึง แต่ถ้าหากนำมาปลูกข้าวต้องได้ข้าวสารห้าแสนชั่งเป็แน่ พวกเราขายออกไปสองแสนชั่ง เหลือเอาไว้สองพันตำลึงเพื่อนำมาเป็ค่าใช้จ่ายภายในจวนโหว ที่เหลืออีกสามแสนหมื่นชั่งก็ส่งไปซีเป่ยได้เช่นกัน”
เื่การบริจาคการกุศล หากทำแล้วก็ติดลมได้เช่นกัน หลี่หยางซื่อคิดในใจ
หลี่ลั่วดวงตาเป็ประกาย “ข้าขอขอบคุณมารดาแทนทหารกล้าซีเป่ยขอรับ”
“ซีเป่ยเป็หัวใจและสายเืของบิดาเ้าเช่นกัน สามารถช่วยได้เล็กน้อย ข้าก็ดีใจไปด้วย” หลี่หยางซื่อถอนใจ
“เช่นนั้นปีหน้าข้าจะรับที่นาเหล่านี้” หลี่ลั่วกล่าว
“ได้ ข้าจะไปพูดกับพี่ใหญ่ของเ้าให้ชัดเจน” หลี่หยางซื่อจัดการเื่ราวได้อย่างชัดเจนโปร่งใส
“ยังมีอีกเื่หนึ่ง ข้าอยากได้หัวไชเท้าสักจำนวนหนึ่ง มันฝรั่ง ผักใบเขียว สิ่งของเหล่านี้ราคาถูกมาก รบกวนมารดาให้ภรรยาจี้ซิ่นออกไปหาซื้อให้ข้าแล้วนำไปไว้ที่หมู่บ้านทีขอรับ มีเท่าใดซื้อเท่านั้น” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้า้าสิ่งของเหล่านี้ไปทำอันใดเล่า?” สิ่งของเหล่านี้มีราคาเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ ถูกเสียยิ่งกว่าอะไร แต่คฤหาสน์บางคฤหาสน์ไม่กินสิ่งของเหล่านี้ เพราะเป็ของที่มีธาตุเย็น
“ถึงเวลามารดาก็จะรู้เองขอรับ”
“ได้ ข้าจะไปสั่งภรรยาจี้ซิ่นเดี๋ยวนี้”
หลี่ลั่วกลับไปถึงเรือนโฉวงจี๋ ก่อนอื่นเขานำเสื้อคลุมและจีวรของก่วงฉือไต้ซือวางไว้ในห้องพระ จากนั้นผิงอันนำสมุดบัญชีของเรือนโฉวงจี๋เข้ามา เชิญเขาดู “ไข่มุกหีบนั้นขายออกไปหมดแล้วใช่หรือไม่?”
“เ้าค่ะ ทั้งหมดเป็เงินสามหมื่นตำลึงเ้าค่ะ” ผิงอันตอบ
เงินสามหมื่นตำลึง บวกกับที่กู้จวิ้นเฉินให้เขามาอีกสองหมื่นตำลึง ให้หลี่หยางซื่อไปห้าพันตำลึง เช่นนั้นเวลานี้เขามีเงินอยู่สี่หมื่นห้าพันตำลึง เพราะเขาต้องไปสวดมนต์ภาวนาเป็เวลาสองเดือน กิจการบ้านการกุศลจึงยังไม่ได้เปิดกิจการ ดังนั้นจึงไม่เปิดกิจการเป็การชั่วคราว หลี่ลั่วคิดไว้ว่าจะรอจนถึงปลายปี
เื่ราวทั้งหมดนี้ หลี่ลั่วล้วนไม่รู้สึกอันใด สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือกู้จวิ้นเฉินที่อยู่ซีเป่ย
ภรรยาของจี้ซิ่นจัดการเื่ราวได้รวดเร็วยิ่งนัก ระยะนี้นางหาซื้อมันฝรั่ง ผักใบเขียว และหัวไชเท้า ตามความ้าของหลี่ลั่ว ทั้งหมดนี้ได้ถูกส่งไปที่หมู่บ้านในเขตชานเมืองทางเหนือของหลี่ลั่ว ขณะเดียวกันหลี่ลั่วเขียนจดหมายถึงซินเผิงที่อยู่ชานเมืองทางเหนือ บอกกล่าวกับเขาว่าให้จัดการกับสิ่งของเหล่านี้อย่างไร
ผักใบเขียว นำไปตากให้แห้ง ทำวิธีการเดียวกับผักดำ[1] และผักตากแห้งชนิดอื่นๆ ผักตากแห้งสามารถถนอมอาหารได้ถึงหนึ่งปีก็ไม่เน่าเสีย
หัวไชเท้า นำไปทำหัวไชเท้าดอง หัวไชเท้าแห้ง สามารถเก็บไว้ได้หลายเดือน
เวลานี้บ่าวไพร่ในหมู่บ้านชานเมืองทางเหนือเพิ่มมาเป็ยี่สิบคนแล้ว รอให้พวกเขาจัดการกับผักใบเขียวและหัวไชเท้าแล้วเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงต้นเดือนของเดือนสิบสอง ยังมีเวลาอีกยี่สิบกว่าวันก็จะขึ้นปีใหม่
จนกระทั่งวันที่สิบแปดเดือนสิบสอง เป็วันแต่งงานของหลี่หงและิเจี๋ยเอ๋อร์ ทั้งจวนโหวจึงมีบรรยากาศอันเป็สิริมงคลเช่นเดียวกับเมื่อคราวได้รับการแต่งตั้งครั้งแรก นับั้แ่ที่หลี่ซวี่จากไป วันนี้เป็วันที่หลี่หยางซื่อมีความสุขที่สุด ในที่สุดบุตรชายของนางก็แต่งงานแล้ว และยังแต่งแม่นางที่ดีคนหนึ่งเข้ามา แม้จะมีชื่อเสียงว่ามีดวงกินสามี แต่สามีของนางได้ตายไปแล้ว จึงไม่กลัวเื่นี้
หลี่หงในฐานะเ้าบ่าว มีเพื่อนเ้าบ่าวหกคน ลำดับแรกคือจงกั๋วกงซื่อจื่อ หลี่เจ๋อ ต่อมาจึงเป็หลี่ฉือ จางเลี่ยนไป๋ หยางโม่ (บุตรชายของหลี่ิิ่ผู้เป็น้องสาวของหลี่เฉิน ปีนี้มีอายุสิบหกปี) หลี่หยาง (บุตรชายของหลี่สือน้องชายจากลูกอนุของหลี่เฉิน ปีนี้มีอายุสิบเจ็ดปี) และหลี่โจว
วันแต่งงาน สินเ้าสาวของหลี่ว์ิเจี๋ยเป็จำนวนเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง นับได้ว่าเป็เงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว สินสอดของจวนโหวนั้นเป็สิ่งของมีมูลค่าสองหมื่นตำลึง สินเ้าสาวของจวนสกุลหลี่ว์นับว่าเกรงใจอย่างยิ่ง แต่งเข้าจวนโหว แม้ขาของหลี่หงจะมีปัญหา แต่ยามนี้ด้วยเหตุที่ปรับแต่งรองเท้าแล้วจึงแทบจะดูไม่ออก และท่านพ่อสกุลหลี่ว์เป็ปัญญาชนคนหนึ่ง ส่วนหลี่หงสติปัญญาไม่เลว ดังนั้นท่านพ่อตาจึงถูกอกถูกใจบุตรเขยผู้นี้ยิ่งนัก
ผู้คนที่ออกมาดูความคึกคักข้างถนนมีมากมาย ทุกคนรู้ว่าคุณชายท่านนี้ของจวนจงหย่งโหวขาพิการ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาขี่ม้าแล้วจะดูหล่อเหลาเอาการถึงเพียงนี้
เมื่อรับเ้าสาวกลับมาถึงจวนโหว งานเลี้ยงมงคลสมรสได้เริ่มแล้ว ภรรยาหลี่ฮุย ภรรยาหลี่ฮ่าวต่างยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขก งานมงคลงานแรกของจวนโหว จะเสียหน้าไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่หลี่เหล่าไท่ไท่ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มต้อนรับแขก ทุกคนต่าง้ามีหน้ามีตา เื่ภายในจะวุ่นวายอย่างไรเป็อีกเื่หนึ่ง แต่เมื่ออยู่ข้างนอกอย่างไรก็ต้องเหลือหน้าให้ตนเองบ้าง
“มีพระราชโองการ”
คึกคักที่สุด มีหน้ามีตาที่สุด ก็ไม่เกินสิ่งนี้แล้ว
ไห่กงกงนำราชโองการมาด้วยตนเอง “ฝ่าาทรงพระราชทานกับข้าว...”
“ฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
์ ฝ่าาพระราชทานกับข้าว นี่มันต้องหน้าใหญ่ปานใดกัน? บรรดาแเื่ตื่นเต้นยิ่งนัก เกรงว่าจะมีเพียงหลี่ลั่วที่รู้ว่าฝ่าาทรงพระราชทานกับข้าว เพื่อเห็นแก่หน้าหลี่ซวี่ บุตรชายคนโตของหลี่ซวี่แต่งงาน จ้าวหนิงฮ่องเต้ย่อมต้องให้หน้าหลี่ซวี่ ผ่านวันนี้ไป จวนจงหย่งโหวในเมืองหลวงได้ยืนขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว ถึงขนาดฝ่าาพระราชทานกับข้าว เกียรติระดับนี้ ในขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย บุตรชายผู้ใดบ้างเล่าแต่งงานได้รับเกียรติเช่นนี้?
วันที่สองของการแต่งงาน หลี่ลั่วตื่นเช้าอย่างหาได้ยากนัก เพราะหลี่หงและภรรยาหลี่หง (ต่อไปิเจี๋ยเอ๋อร์จะเรียกว่าภรรยาหลี่หงแล้ว) ต้องไปคารวะยามเช้าที่เรือนว่านโซ่ว หลี่ลั่วในฐานะโหวเหฺยและท่านอา ต้องไปด้วยเช่นกัน
เมื่อวานคึกคักอย่างยิ่ง เช้าวันนี้ทุกคนต่างยินดีปรีดา สีหน้าหลี่เหล่าไท่เหฺยมีความสุขนัก แม้ว่าเขาจะเกษียณราชการแล้ว เมื่อแรกเริ่มนั้นยากนักที่เขาจะคุ้นชิน แต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาปรับตัวได้แล้ว ทุกวันหลังตื่นขึ้นไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ แล้วก็ไปเดินเล่นข้างนอกสักพัก ดูละครฟังดนตรี จากนั้นค่อยกลับมา คิดว่าตนนั้นอายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายก็เป็การดีเหมือนกัน จึงค่อยๆ คิดตก ไม่หน้าแดงคอขึ้นเป็เอ็นกับหลี่เหล่าไท่ไท่อีก
อีกทั้งเมื่อวานหลี่หงแต่งงาน ฝ่าาพระราชทานกับข้าว เป็เื่ใหญ่ระดับใดกัน
เมื่อหลี่หงพาภรรยาหลี่หงเข้ามานั้น สีหน้าหวานชื่นและมีความสุขของทั้งสองคนทำให้คนที่อยู่ที่นั่นแทบจะอิจฉาตาย หน้าตาของหลี่หงนั้นไม่เลว คิ้วคมตาคม เป็คุณชายที่สุภาพอ่อนโยน ภรรยาหลี่หงรูปโฉมงดงามยิ่ง ถือกำเนิดเป็สตรีในครอบครัวใหญ่ ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ช่างเป็ชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
ทว่าท่าทางการเดินเหินของภรรยาหลี่หงนั้นติดขัดเล็กน้อย หลี่หงประคองนางไว้ คิดแล้วเมื่อคืนทั้งสองคนต่างกระตือรือร้น ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีและแม่นางน้อยอายุสิบหกปี ช่างเป็เช่นฟืนแห้งบนกองไฟ
“หลานพาหลานสะใภ้มายกน้ำชาให้ท่านปู่ขอรับ” หลี่หงพูดแล้วพวกเขาก็คุกเข่าลง
“หลานสะใภ้ยกน้ำชาให้ท่านปู่เ้าค่ะ” ภรรยาหลี่หงยกถ้วยน้ำชา
“ดี เห็นหงเกอเอ๋อร์มีครอบครัวแล้ว ปู่ดีใจยิ่งนัก” แต่ท่ามกลางความยินดี ภายในใจกลับมีความทุกข์ใจอย่างน่าประหลาด เวลานี้เขาคิดถึงหลี่ซวี่ขึ้นมา ที่จริงแล้วน้อยครั้งนักที่เขาจะคิดถึงหลี่ซวี่ ความสัมพันธ์ของเขากับหลี่ซวี่บุตรชายคนนี้ไม่ลึกซึ้งอันใด ครั้งแรกที่เขารู้สึกปวดใจก็คือเมื่อยามที่จ้าวหนิงฮ่องเต้พาศพของหลี่ซวี่กลับมา เขาราวกับถูกควักดวงใจออกไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าสิ่งใดล้วนคิดไม่ออก ในสายตาเห็นเพียงศพของหลี่ซวี่ที่นอนอยู่ที่นั่น
มารู้สึกปวดใจอีกครั้งในเวลานี้ หงเกอเอ๋อร์แต่งงานมีครอบครัวแล้ว หลี่ซวี่ไม่มีโอกาสได้เห็น เขารู้สึกปวดแปลบใจยิ่งนัก ดวงตาแดงก่ำทันที ยังดีที่เขาพยายามข่มกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมาได้ เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเป็บิดาที่ไม่เอาไหนเพียงใด
“ท่านปู่?” หลี่หงเห็นหลี่เหล่าไท่เหฺยยังไม่ดื่มน้ำชา จึงหนักใจเล็กน้อย ท่านปู่ไม่ชมชอบพวกเขาเรือนที่สองมาโดยตลอด เขาเกรงว่าท่านปู่จะทำให้ภรรยาของเขาลำบากใจ สะใภ้ใหม่เพิ่งแต่งเข้ามาก็ถูกทำให้ลำบากใจแล้ว เื่นี้ไม่ดีแน่
“หา? ปู่ดีใจ ดีใจเสียจนไม่ว่าอะไรก็ลืมเสียแล้ว” หลี่เหล่าไท่เหฺยรีบดื่มน้ำชาคำหนึ่ง “มา นี่อั่งเป่าให้พวกเ้ารับไว้”
หลี่หงถอนใจโล่งอก “ขอบคุณท่านปู่ขอรับ”
ต่อมาเป็การยกน้ำชาให้หลี่เหล่าไท่ไท่
“หลานสะใภ้ยกน้ำชาให้ท่านย่าเ้าค่ะ” ภรรยาหลี่หงยกถ้วยน้ำชายื่นให้หลี่เหล่าไท่ไท่
เมื่อวานนั้นหลี่เหล่าไท่ไท่ต้องคำนึงถึงหน้าตาของตนจึงไม่ได้ทำลายบรรยากาศ แต่วันนี้นาง้าจะแสดงอำนาจแล้ว นางมองถ้วยน้ำชาในมือทว่ากลับไม่ได้ยื่นมือไปรับ จากนั้นจึงเริ่มพูด “เรือนในของจวนสกุลหลี่ของเรากฎเกณฑ์ค่อนข้างมาก วันนี้สะใภ้ใหม่แต่งเข้ามา ข้าก็จะบอกเ้าเื่กฎเกณฑ์เสียหน่อย ครั้งนั้นแม่สามีของเ้าแต่งเข้ามาก็เช่นเดียวกัน ข้าไม่ได้ปฏิบัติต่อเ้าเพียงเท่านั้น”
ครั้งนั้นเมื่อหลี่หยางซื่อแต่งเข้ามาก็เป็เช่นนี้เช่นเดียวกันจริงๆ แต่ครั้งนั้นผู้ที่อยู่ข้างกายหลี่หยางซื่อคือหลี่ซวี่ แค่เพียงสายตาคมปลาบมองไปปราดหนึ่ง หลี่เหล่าไท่ไท่เพิ่งจะอ้าปาก ก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว ผู้ที่สังหารศัตรูในสนามรบมาเป็สิบปี กลิ่นอายอำมหิตและจิตสังหารบนร่างกายนั้นไม่ใช่เหล่าไท่ไท่ที่อยู่แต่ในเรือนจะต้านรับได้ไหว
ฟังดูแล้วนี่มันคำพูดอะไรกัน?
ต่อให้จงใจกระทำเช่นนี้ ท่านเป็ผู้าุโคนหนึ่งปฏิบัติต่อผู้เยาว์ ก็สามารถกล่าวว่าย่อมทำได้ แต่เมื่อพูดออกมาเป็คำพูดแล้ว ช่างไม่น่าฟังเอาเสียเลย
“ขอบคุณท่านย่าที่ชี้แนะเ้าค่ะ” ภรรยาหลี่หงยอมรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลี่ลั่วขมวดคิ้ว “ผิงอัน”
“บ่าวอยู่นี่เ้าค่ะ” ผิงอันปรนนิบัติอยู่ด้านหลังหลี่ลั่ว
“เ้าออกไปบอกฉางเฉิง ให้เขาไปวังหลวงสักครั้ง นำเทียบเชิญของข้าไปเชิญหมอหลวงมา พี่สะใภ้กระดูกไม่ค่อยดี ข้าเกรงว่ากฎบ้านของท่านย่าจะมากเกินไป ถึงเวลานั้นทำให้พี่สะใภ้จวนสกุลหลี่ของพวกเราหมดสติไป หากคำพูดเช่นนี้แพร่งพรายออกไปก็ไม่น่าฟังแล้ว” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้าค่ะ” ผิงอันแอบหัวเราะเดินออกไป
ชั่วพริบตา คนทั้งหมดมองไปที่หลี่ลั่ว หลี่ลั่วนั่งอยู่ในตำแหน่งถัดจากหลี่เหล่าไท่เหฺย ขมวดคิ้วมองหลี่เหล่าไท่ไท่ ยายแก่นี่คิดจะทำให้ตัวเองตายใช่หรือไม่?
[1] ผักดำ (梅干菜) หรือที่คนไทยเรียกว่าห่ำช้อยกอน หรือ ห่ำช้อย เป็ผักดองรูปแบบหนึ่งของชาวจีนแคะ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เป็ผักกาดหอมต้นใหญ่ๆ นำไปหมักเกลือแล้วตากแห้งเพื่อถนอมอาหารจากนั้นมัดเป็ช่อเก็บเอาไว้ เวลาทานจึงนำมาต้มให้พองแล้วซอยเป็ชิ้นเล็กๆ ผัดหรือต้มเคียงกับจานเนื้อ อาหารจีนที่มักมีเคียงในจานเป็ประจำคือผักดองที่มากับข้าวขาหมู