“เ้าวางใจเถอะ ในพื้นปฐี ยากที่จะมีใครฝึกเวทได้ถึงขั้นสี่หรือห้า ที่เขาใช้อย่างมากก็แค่ขั้นสามเท่านั้น” หญิงสาวได้แต่คาดเดา เพื่อให้ตนและศิษย์น้องคลายกังวล
“จริงดังที่ท่านว่า การมีโอกาสฝึกพลังเวทเป็เื่ยาก แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือระดับของพลังเวทที่ยากขึ้นตามลำดับ แม้พวกเราเพียรพยายามฝึกมาเท่าใด ยังได้แค่ระดับพื้นฐาน” ชิงจูเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นตบบ่าศิษย์น้องเพื่อเป็กำลังใจ ก่อนหันตัวเดินลงเขาเพื่อกลับมายังพื้นที่ราบเช่นเดิม
“ซูเจิน” องค์รัชทายาทะโเรียก พลางเดินหานางรอบ ๆ กระท่อม สายพระเนตรหันซ้ายแลขวา พร้อมสองเท้าเดินไปมาอย่างกังวลใจ หลังจากเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าซูเจินได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มพิจารณาถึงบริเวณที่ยืนอยู่ เป็ใจกลางป่าเขาไม่มีหมู่บ้าน อีกทั้งห่างจากเขตแดนไม่มากนัก
“เหตุใดนางจึงใจกล้าคิดออกห่างจากข้า...”
“หรือว่านางจะหนีข้าไปแล้วจริงๆ” เขายืนนิ่งไม่ไหวติงพลางคิดทบทวนด้วยหัวใจอันสับสน ก่อนเสียงเหยียบกิ่งไม้ ทำให้ชายหนุ่มหันมอง
“ซูเจินนั่นเ้าฤาไม่” ทว่าต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า สตรีแต่งชุดดำยืนส่งยิ้มมาด้วยท่าทางไม่เป็มิตร เป็หญิงรุ่นราวไม่ต่างจากซูเจินเท่าใดนัก หากแต่สายตากล้าแกร่งกว่ามาก องค์รัชทายาทหรี่ตามอง พลางวิเคราะห์ลักษณะท่าทางของคนปริศนาตรงหน้า
“ท่านกำลังตามหาของหายอยู่ฤา” นางเปล่งวาจาด้วยสีหน้ามีชั้นเชิง สองเท้าค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาชายหนุ่มช้า ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เ้าเป็ใคร” เขาหรี่ตามองแล้วถามด้วยน้ำคำราบเรียบ
“ข้าเป็ใครนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ท่านกำลังตามหาสิ่งใดมากกว่า” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“เ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์รัชทายาทถามด้วยน้ำเสียงสุขุม ขณะที่ยืนอยู่จุดเดิมไม่ถอยหนี สายตาสำรวจนางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า นางหาใช่หญิงสาวชาวบ้านสามัญธรรมดา หากแต่พอมีความรู้ในวิชาเวทระดับหนึ่ง
“หากเ้าอยากได้สาวงามของเ้าคืน ข้ามีข้อเสนอ” หญิงปริศนายกมือขึ้นกอดอกแล้วยิ้มย่องออกมา ก่อนบอกจุดประสงค์ของตัวเองอย่างชัดเจน
“ข้าใคร่อยากได้หยกวิเศษนั่น เรามาแลกกัน เ้าเอาสาวงามของเ้าคืน ส่วนหยกก็เป็ของข้า” องค์รัชทายาทนึกทบทวน ก่อนเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เพียงชั่วอึดใจ
การหายตัวไปของซูเจินเกี่ยวข้องกับหญิงปริศนาผู้นี้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธค่อย ๆ เริ่มไต่ระดับจนพลังเวทในมือวูบขึ้น พลันผลักใส่หญิงสาวจนร่างกระเด็นไปติดต้นไม้อย่างแรงในพริบตา ก่อนแสงสว่างจ้าอีกลูกที่มือของเขาจะเพิ่มขึ้น ในเวลานี้หากนางโดนพลังเวทของเขาเล่นงานอีกเพียงครั้งเดียว อาจต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน จังหวะนั้นชิงจูรีบยกมือกล่าวห้าม
“หยุดก่อน หากท่านทำอะไรข้า ศิษย์น้องของข้าจะไม่มีวันไว้ชีวิตสาวงามผู้นั้น อีกทั้งท่านก็จะไม่ได้เห็นหน้านางอีกต่อไป” ทันทีที่องค์รัชทายาทได้สติ พลังเวทก็ค่อย ๆ วูบดับหายไป หากแต่สายพระเนตรยังดุดันไม่มิคลายลง
“เ้ากล้าดีอย่างไร ที่จับตัวนางไป”
“สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ข้าก็ต้องได้ อย่าพูดมากเรามาตกลงกันดีกว่าท่านจงทบทวนดี ๆ นางมีค่าพอที่ท่านจะเสียหยกก้อนนั้นให้ข้าฤาไม่” ชิงจูค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ สายตามีชั้นเชิงยังเคลือบบนใบหน้ามิหายไป
“เอาซูเจินออกมา ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทนกับเ้า” สุรเสียงนุ่มลึกหากแต่แฝงความโกรธกริ้วเอาไว้
“ฮ่า ๆ เ้าคิดว่าข้าโง่เช่นนั้นฤา ระดับพลังเวทของเ้าเหนือกว่าข้านัก หากข้าปล่อยนางให้เ้าตรงนี้ มีหวังข้าคงตายคามือเ้าเพียงพริบตา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของข้า เราจะแลกของกันบนเขาลูกนั้น หากสนใจข้อเสนอของข้าก็ตามมา” องค์รัชทายาทเหลือบมองยอดเขาสูง ก่อนก้าวเท้าตามหญิงปริศนาไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“เป็โชคดีของข้า สาวงามผู้นั้นสำคัญสำหรับเขาจริง หาไม่แล้วข้าคงไม่มีชีวิตรอดกลับไปเป็แน่” ชิงจูลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะก้าวเดินนำไปโดยเว้นระยะห่างพอสมควร
ชิงเถาค่อย ๆ วางร่างของซูเจินลงบนเตียงขนาดเล็ก ในห้องฝึกวิชาเวทของอาจารย์ที่มีการวางค่ายกลอย่างมิดชิด สำนักของเขาตั้งอยู่ใจกลางยอดเขาสูงลิบ หลบเร้นจากโลกภายนอกเป็อย่างดี
“เ้านอนตรงนี้จะสบายฤาไม่ ลองหนุนหมอนขนนกนี่ดูนะ” ชิงเถาหยิบหมอนแล้วรองศีรษะของหญิงสาว ก่อนจะสองจิตสองใจประคองเอาหมอนออก
“ไม่ดี หมอนขนนกสูงไป จะทำให้แม่นางผู้นี้คอเคล็ดได้” เมื่อดึงหมอนออกแล้ว เขายังคงเดินวนเวียนไม่ห่างไปไหน ครุ่นคิดถึงท่านอนที่กลัวว่าสาวงามจะไม่สบายตัว จึงเดินไปหยิบหมอนของอาจารย์ออกมา
“หมอนนี้เป็หมอนที่ทำจากขนนกพันปี รับรองจะทำให้เ้าหลับอย่างสบาย” ชิงเถาประคองศีรษะของซูเจินขึ้นอีกครั้ง แล้วดันหมอนรองศีรษะเพื่อให้นางนอนได้อย่างสบาย ก่อนปล่อยยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หลังจากขบวนรถม้าของคณะองค์ชายรองมาถึงที่พักกลางหุบเขา เหล่าทหารเตรียมขนเสบียงและของใช้จำเป็ลงจากหลังม้า ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก เหิงเยว่เดินชมรอบ ๆ ที่พัก ที่ทำจากแผ่นไม้ค่อนข้างมั่นคงอยู่พอสมควร พลางหันมายังองค์ชายรองด้วยสายตาข้องใจ
“ที่พักแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเพคะ” องค์ชายรองส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเดินเข้าไปใกล้
“ที่พักแห่งนี้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น ทุกคนในแคว้นก่งเหว่ยสามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ เพราะถือว่าหุบเขาแห่งนี้เป็หุบเขาแห่งการช่วยเหลือคน มีหมอยาจำนวนมากขึ้นมาหาสมุนไพรเพื่อนำไปรักษาชาวบ้าน พวกเขาก็ใช้ที่พักแห่งนี้เช่นเดียวกัน” เหิงเยว่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในซึ่งมีเหล่าทหารกำลังทำความสะอาดกันอยู่
“เราจะพักกันที่นี่จนกว่าจะหาสมุนไพรให้ท่านแม่ครบตามจำนวน แต่หากเ้าไม่ไหวขอให้บอก ข้าจักเป็คนพากลับ” เหิงเยว่หันสบตาองค์ชายรองครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มพยักหน้าอย่างเข้าใจ สองเท้าขององค์ชายรองขยับเข้ามาใกล้ แล้วดึงมือนางออกมาด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
“ด้านในมีฝุ่นจำนวนมาก จะทำให้เ้าหายใจไม่สะดวก” สิ้นคำพูดเขาจึงคลายมือออกจากตัวของนางอย่างเบามือ หัวใจของเหิงเยว่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ อาจเป็เพราะความเมตตาขององค์ชายรองเลยทำให้รู้สึกปลอดภัยกว่าที่เคย
“วันนี้คล้อยบ่ายแล้ว อาจไปหาสมุนไพรได้ไม่ไกลนัก ตามข้ามาด้านนี้” ชายหนุ่มพูดจบจึงเบี่ยงตัวเดินนำไปยังเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก สองทางเท้าโอบล้อมด้วยพรรณไม้แปลกตา อีกทั้งเสียงนกน้อยขับขานตามทางเดิน ทำให้เหิงเยว่หันมองดูทุกอย่างด้วยท่าทางไม่คุ้นชิน
“เ้ากลัวฤา” น้ำเสียงขององค์ชายรองเรียกสติของเหิงเยว่ หันกลับมาพร้อมกับใบหน้าไม่สู้ดีนัก
“ขะ ข้าแค่ไม่คุ้นชินเท่านั้นเองเพคะ”
“มิต้องกลัวอันใด มีข้าอยู่จะไม่ยอมให้เ้าได้รับอันตราย” เขาพูดแล้วหันหน้าเดินทางต่อ สองเท้าเล็กก้าวตามไปช้า ๆ มองแผ่นหลังของเขาแล้วทบทวนอย่างเงียบๆ
“เหตุใดองค์ชายรองถึงดีกับข้าเยี่ยงนี้ หากเปลี่ยนเขาเป็องค์รัชทายาทได้ ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับคงวิเศษอย่างมาก แต่กลับกันข้ามิเคยอยู่ในสายพระเนตรขององค์รัชทายาท เขามีชีวิตเหมือนหุ่นที่ไร้ความรู้สึก ข้าต้องเพียรพยายามมากแค่ไหนจึงจะพิชิตใจเขาได้ หรือ...ท้ายที่สุดแล้วความพยายามของข้าอาจสูญเปล่า” หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองในทุกวัน ว่าเหตุใดไม่สามารถลบความรู้สึกที่มีต่อองค์รัชทายาทได้ ก่อนชายผ้าของนางจะเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ แล้วรั้งไว้จนเสียหลักล้มลง พร้อมกับชายเสื้อที่ขาดวิ่น
“เหิงเยว่!” องค์ชายรองรีบหันกลับมาประคองร่างเล็ก เขาสำรวจหาาแอยู่ครู่หนึ่งก่อนสอบถามอาการจากนางด้วยความเป็ห่วง
“เจ็บตรงไหนฤาไม่” หญิงสาวส่ายศีรษะไปมา แล้วรีบลุกขึ้น ผละตัวออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม องค์ชายรองเห็นดังนั้นจึงเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย
“เดินไหวฤาไม่”
“ไหวเพคะ” หญิงสาวยังคงวางตัวเพื่อรักษาเกียรติของชายหนุ่มไว้ ก่อนสายตาขององค์ชายรองจะหันไปเห็นชายผ้าที่ขาดวิ่นติดอยู่กับกิ่งไม้ จึงเบี่ยงวรกายไปหยิบขึ้นมา
“ชุดเ้าขาดแล้ว” สรุเสียงพูดอย่างเสียดาย
“ขาดเพียงนิด เท่านี้มิเป็ไรเพคะ เราเดินทางต่อดีกว่า” เหิงเยว่พูดแสดงความเข้มแข็ง ในขณะที่องค์ชายรองพยักหน้าแล้วลอบเก็บเศษผ้าของนางไว้ ตามทางเดินที่ไม่ห่างจากจุดพักเท่าไหร่นัก ยังคงเป็พืชไม้ที่ดูคุ้นตาอยู่ องค์ชายรองพาเหิงเยว่เดินไปยังจุดที่คาดว่าจะมีใบเฟยฉีขึ้น เพราะสมุนไพรชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นที่แห้งไม่ชอบน้ำ
“ใบเฟยฉีมีหน้าตาเป็อย่างไรเหรอเพคะ” หญิงสาวก้มมองหา แล้วเอ่ยถาม
“ในบรรดาสมุนไพรที่ท่านแม่ให้เ้าตามหา ใบเฟยฉีเป็สมุนไพรที่หาได้ง่ายที่สุด หากแต่ยังนับว่าหายากกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในวังหลวงนัก เพราะต้นของมันไม่ชอบน้ำ ครั้นถึงหน้าฝนพวกมันจะพากันมอดจำศีลอยู่ใต้ดิน” เหิงเยว่ทำหน้าประหลาดใจ ก่อนองค์ชายรองจะหันไปมองหาบริเวณนั้นรอบ ๆ เมื่อเห็นต้นสมุนไพรที่ตามหา จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ