ตอนที่ 1 บุปผาในเงาจันทร์
ราตรีกาลแห่งนครหลวงต้าเยี่ยนในค่ำคืนนี้ เย็นเยียบและเงียบสงัดกว่าทุกครา สายลมฤดูสารทหอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกกุ้ยฮวา ที่เบ่งบานอยู่ทั่วอุทยานหลวงโชยเอื่อย แทรกซึมผ่านบานหน้าต่างและม่านมุกของเหล่าตำหนักใน กลิ่นหอมที่ควรจะนำมาซึ่งความผ่อนคลาย บัดนี้กลับแฝงไว้ด้วยไอสังหารและความตึงเครียดที่มองไม่เห็น คล้ายกับเส้นไหมที่ขึงตึงจนพร้อมจะขาดสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ
ณ ตำหนักจื่อเวยกงอันเป็ที่ประทับขององค์จักรพรรดิ แสงเทียนสว่างไสวขับไล่ความมืดมิดให้ถอยร่น ทว่าเงาที่ทอดทาบบนพื้นหินอ่อนขัดมันกลับดูยาวเหยียดและบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ สะท้อนถึงจิตใจของผู้คนที่อยู่ภายในได้อย่างน่าประหลาด
เยว่หลิงคุกเข่าอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ศีรษะของนางก้มต่ำจนหน้าผากแทบจรดพื้นหลังมือที่ประสานกันอย่างสงบนิ่ง นางเป็เพียงนางกำนัลชั้นผู้น้อยในตำหนักแห่งนี้ หน้าที่ของนางคือการปรนนิบัติรับใช้ในเื่จิปาถะทั่วไป ไม่ว่าจะเป็การรินชา จุดเครื่องหอม หรือแม้กระทั่งเป็เพียงเงาที่ไร้ตัวตนในยามที่เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงสนทนาเื่สำคัญ แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุด ทว่าดวงตาคู่งามที่ซ่อนอยู่ใต้แพขนตาหนากลับไม่ได้ปิดสนิทเฉกเช่นท่าทีที่แสดงออก นางลอบชำเลืองมองเงาสะท้อนบนกาชาเงินที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวังที่สุด
เงาสะท้อนนั้นฉายให้เห็นภาพของบุรุษสองคน คนหนึ่งคือองค์จักรพรรดิเหลียงเจิ้ง ผู้มีใบหน้าเปี่ยมด้วยอำนาจแม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม สองข้างขมับของพระองค์มีเส้นผมสีเงินแซมประปราย แต่แววตาคมกริบดุจเหยี่ยวยังคงฉายแววปราดเปรื่องและอำมหิตไม่เสื่อมคลาย ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีศักดิ์เป็พระอนุชาต่างมารดาขององค์จักรพรรดิ จ้าวเฟิง หรือที่ทุกคนขานนามอย่างยำเกรงว่า "จิ้นอ๋อง"
จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง อยู่ในวัยฉกรรจ์เต็มตัว อายุยี่สิบห้าปี เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มปักดิ้นทองเป็ลายัซ่อนเมฆ ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดราวกับหยกสลัก คิ้วกระบี่พาดเฉียงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวดุจใบหลิว แต่แววตาที่ทอประกายออกมานั้นกลับลึกล้ำดั่งมหาสมุทรที่ไร้ผู้ใดหยั่งถึง มุมปากหยักได้รูปมักจะประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ เสมอ ทว่าผู้ที่รู้จักเขาดีต่างรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นซุกซ่อนความเืเย็นและเด็ดขาดไว้อย่างมิดชิดเพียงใด
"ฝ่าา ทหารของเราที่ชายแดนทางเหนือส่งข่าวมาว่า พวกชนเผ่าซยงหนูเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ" น้ำเสียงของจ้าวเฟิงทุ้มต่ำและราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจกดดันที่ทำให้ผู้ฟังต้องหยุดหายใจ "ครั้งนี้พวกมันไม่ได้เพียงแค่ปล้นสะดมชาวบ้านตามแนวชายแดน แต่กลับรวบรวมกำลังพลราวกับเตรียมการบุกใหญ่"
องค์จักรพรรดิเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้จันทน์หอมเป็จังหวะเนิบนาบ "แล้วเ้ากรมกลาโหมว่าอย่างไร?"
"ทูลฝ่าา ท่านเ้ากรมฯ เสนอให้ส่งแม่ทัพหลี่นำทัพไปตรึงกำลังไว้ก่อน แต่กระหม่อมเห็นว่านั่นเป็เพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ" จ้าวเฟิงกล่าว พลางเหลือบมองเงาสะท้อนของตนในถ้วยชา "พวกซยงหนูเปรียบเสมือนหมาป่าที่อดอยาก หากเราเพียงแค่ไล่พวกมันไป ไม่นานมันก็จะย้อนกลับมาอีก ทางที่ดีที่สุดคือการบุกเข้าไปถึงถ้ำของพวกมัน และถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก"
คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเย็นเยียบลงถนัดตา "ถอนรากถอนโคน" สี่คำสั้นๆ ที่หลุดออกจากปากของบุรุษรูปงามผู้นี้ กลับชุ่มโชกไปด้วยกลิ่นคาวเื
เยว่หลิงรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของจิ้นอ๋อง มันเป็ความรู้สึกที่นางคุ้นเคยเป็อย่างดี ในวังหลวงแห่งนี้ ทุกย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ทุกคำพูดอาจกลายเป็ดาบที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเองได้เสมอ นางกำนัลและขันทีที่ทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจถูกโบยจนตายหรือโยนลงบ่อน้ำได้อย่างง่ายดาย นางได้เห็นภาพเ่าั้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
แต่ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากจิ้นอ๋องนั้นแตกต่างออกไป มันไม่ใช่ความโเี้ที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็ความเ็าที่กัดกินลึกลงไปถึงกระดูก เป็ความเด็ดขาดของผู้ที่คุ้นเคยกับการกุมชะตาชีวิตของผู้อื่นไว้ในมือ
การสนทนาเื่การทหารยังคงดำเนินต่อไป เยว่หลิงทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบเชียบ เติมชาที่พร่องลงอย่างแ่เบา ทุกการเคลื่อนไหวของนางงดงามและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ แม้จะเป็เพียงนางกำนัล แต่กิริยามารยาทของนางกลับดูสูงศักดิ์กว่าหญิงสาวทั่วไป ซึ่งเป็ผลมาจากการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดของหัวหน้านางกำนัล
นางถูกส่งตัวเข้าวังั้แ่อายุสิบสองปี บัดนี้ผ่านมาหกปีแล้ว ความงามของนางค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นตามวัย ผิวพรรณขาวผ่องละเอียดราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี ดวงหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็ประกายสดใส ริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อเหมือนกลีบบุปผาแรกแย้ม แม้นางจะพยายามทำตัวให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมมากเพียงใด แต่ความงามอันโดดเด่นของนางก็มักจะดึงดูดสายตาของเหล่าขันทีและองครักษ์อยู่เสมอ
ทว่าเยว่หลิงรู้ดีว่าความงามในวังหลวงนี้เป็ได้ทั้งพรและคำสาป หากมันไปต้องตาผู้มีอำนาจเข้า ชีวิตของนางอาจจะรุ่งโรจน์ขึ้นชั่วข้ามคืน หรืออาจจะดับวูบลงราวกับเปลวเทียนต้องลมก็เป็ได้
ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมาที่นาง ไม่ใช่สายตาที่เต็มไปด้วยความใคร่ของเหล่าขันทีชั้นผู้น้อย หรือสายตาชื่นชมขององครักษ์หนุ่ม แต่เป็สายตาที่คมกริบและทรงพลัง...สายตาของจิ้นอ๋องจ้าวเฟิง
เยว่หลิงใจหายวาบ นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ทำได้เพียงก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก นางััได้ว่าสายตาคู่นั้นกำลังสำรวจนางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับกำลังประเมินค่าของสินค้าชิ้นหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางรู้สึกเช่นนี้ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่จิ้นอ๋องเสด็จมาเข้าเฝ้าฯ ที่ตำหนักจื่อเวยกง นางมักจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่จับจ้องมาเสมอ ในตอนแรกนางคิดว่าตนเองอาจจะคิดไปเอง แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจึงมั่นใจว่ามันไม่ใช่เื่บังเอิญ
แล้วการสนทนาก็จบลง องค์จักรพรรดิมีสีหน้าอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด "เอาเถอะ เื่นี้ให้เ้าจัดการก็แล้วกัน ข้าเชื่อในความสามารถของเ้าเสมอ"
"น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ" จ้าวเฟิงค้อมกายลงคำนับอย่างงดงาม ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ขณะที่ร่างสูงสง่าของเขาเดินผ่านจุดที่เยว่หลิงคุกเข่าอยู่ ปลายชายแขนเสื้อของเขาก็สะบัดมาโดนปลายนิ้วของนางเบาๆ
ัันั้นแ่เบาราวกับขนนก แต่กลับทำให้เยว่หลิงสะท้านไปทั้งร่าง กระแสไฟฟ้าสายเล็กๆ แล่นปราดจากปลายนิ้วขึ้นมาตามท่อนแขน ตรงเข้าสู่ใจกลางของความรู้สึก นางเผลอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาในเสี้ยววินาทีนั้นพอดี
ดวงตาของจ้าวเฟิง...ในระยะใกล้เช่นนี้ มันยิ่งดูลึกล้ำและเปี่ยมเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ในแววตาที่ดูเ็าคู่นั้น นางมองเห็นประกายไฟร้อนเร่าบางอย่างที่ซ่อนอยู่ มันเป็ประกายไฟที่ทำให้นางรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ราวกับว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นบางเบาเกินไปที่จะปกปิดเรือนร่างของนางได้
เขาเพียงแค่ปรายตามองนางนิ่งๆ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออก ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่เพียงแค่แววตาและรอยยิ้มนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของเยว่หลิงปั่นป่วนไปหมด
คืนนั้น เยว่หลิงแทบข่มตาหลับไม่ลง ภาพของจิ้นอ๋องและแววตาคู่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของนางไม่หยุด ััที่ปลายชายแขนเสื้อยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง
นางลุกขึ้นจากเตียงนอนแคบๆ ในห้องพักของเหล่านางกำนัล เดินไปเปิดหน้าต่างบานเล็กออกไปอย่างเงียบเชียบ แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องเข้ามา อาบไล้เรือนร่างของนางที่อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อบางจนเห็นสัดส่วนโค้งเว้าได้อย่างชัดเจน
นางถอนหายใจยาว พลางยกมือขึ้นกอดตัวเอง ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังก่อตัวขึ้นในส่วนลึกของร่างกาย มันเป็ความรู้สึกร้อนรุ่ม ปรารถนา และหวาดกลัวผสมปนเปกันไปหมด
นางรู้ว่าการปล่อยให้ตัวเองคิดถึงบุรุษสูงศักดิ์เช่นจิ้นอ๋องนั้นเป็เื่ที่อันตรายอย่างยิ่ง เขาคืออ๋องผู้เป็ที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ คือผู้กุมอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ ส่วนนางเป็เพียงนางกำนัลที่ไร้ค่าราวกับมดปลวกตัวหนึ่ง ช่องว่างระหว่างฐานันดรของพวกเขานั้นห่างไกลกันราวกับฟ้าและดิน
"เยว่หลิง เ้ายังไม่นอนอีกหรือ?" เสียงของอาจู เพื่อนนางกำนัลที่นอนอยู่เตียงข้างๆ ดังขึ้น ทำให้นางหลุดออกจากภวังค์
"ข้านอนไม่หลับน่ะ" เยว่หลิงตอบเบาๆ
อาจูถอนหายใจ "ข้าก็เหมือนกัน ข้าได้ยินว่าแม่ทัพหลี่จะถูกส่งไปชายแดนอีกแล้ว สามีของพี่สาวข้าเป็ทหารในกองทัพของเขา ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้กลับมาอีกหรือไม่"
า ชายแดน การนองเื...สิ่งเหล่านี้คือเื่ราวที่เกิดขึ้นในโลกของผู้ชาย โลกที่นางไม่มีวันได้ัั โลกของจิ้นอ๋อง...
"ข้าได้ยินมาว่า คนที่เสนอให้ส่งกองทัพไปบุกพวกซยงหนูก็คือจิ้นอ๋องนั่นแหละ" อาจูพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความชื่นชม "เขาช่างเด็ดขาดและกล้าหาญยิ่งนัก แถมยังรูปงามอีกต่างหาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์หญิงจากแคว้นต่างๆ ถึงอยากจะอภิเษกกับเขานัก"
เยว่หลิงไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงแค่ทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์บนท้องฟ้า จินตนาการไปว่า แสงจันทร์ดวงเดียวกันนี้คงกำลังสาดส่องลงบนร่างของบุรุษผู้นั้นเช่นกัน
หลายวันต่อมา ข่าวการเตรียมทัพของจิ้นอ๋องก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและตึงเครียดในเวลาเดียวกัน วันหนึ่ง ขณะที่เยว่หลิงกำลังนำผ้าปูที่นอนที่ซักสะอาดแล้วไปเปลี่ยนในตำหนักชั้นใน นางได้รับคำสั่งจากหัวหน้านางกำนัลให้ไปที่อุทยานด้านหลัง เพื่อช่วยจัดเตรียมสถานที่สำหรับงานเลี้ยงส่งที่องค์จักรพรรดิจะจัดให้จิ้นอ๋องเป็การส่วนพระองค์
อุทยานด้านหลังเป็เขตหวงห้าม มีเพียงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและขุนนางที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ เยว่หลิงเดินไปตามทางเดินหินที่คดเคี้ยว สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล ผ่านศาลาริมน้ำและสวนหินที่จัดไว้อย่างงดงาม
เมื่อมาถึงศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระบัว นางก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าสถานที่นั้นเงียบสงัด ไม่มีนางกำนัลหรือขันทีคนอื่นอยู่เลย มีเพียงร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังให้นางอยู่ริมระเบียง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิท ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้วยที่คาดผมหยกขาวง่ายๆ แต่กลับขับเน้นให้แผ่นหลังของเขาดูกว้างและน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
เยว่หลิงจำแผ่นหลังนั้นได้ทันที...จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง!
นางใจนแทบจะหันหลังวิ่งหนี แต่ขาทั้งสองข้างกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับที่ นางควรจะทำอย่างไรดี? คุกเข่าลงคำนับแล้วรีบจากไปเงียบๆ หรือ?
ยังไม่ทันที่นางจะได้ตัดสินใจ ร่างสูงนั้นก็หันกลับมา ราวกับว่าเขารู้มาตลอดว่านางอยู่ที่นั่น
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเรียบเฉย แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับจ้องมองมาที่นางอย่างไม่วางตา "เ้ามาทำอะไรที่นี่?"
น้ำเสียงของเขาเ็า แต่กลับทำให้หัวใจของเยว่หลางสั่นสะท้าน "หม่อม...หม่อมฉันได้รับคำสั่งให้มาช่วยจัดเตรียมสถานที่เพคะ" นางตอบเสียงสั่น ค้อมกายลงต่ำอย่างนอบน้อมที่สุด
เขาเดินเข้ามาหานางช้าๆ แต่ละย่างก้าวของเขาหนักแน่นและมั่นคงราวกับราชสีห์ที่กำลังเดินเข้าหาเหยื่อ เยว่หลิงรู้สึกราวกับว่าอากาศรอบตัวนางถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น นางได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ
เขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของนาง กลิ่นกายสะอาดที่ผสมกับกลิ่นไม้จันทน์หอมจางๆ อันเป็เอกลักษณ์ของเขาโชยมาแตะจมูก ทำให้สติของนางยิ่งเลือนลาง
"เงยหน้าขึ้น" เขาสั่งเสียงเรียบ
เยว่หลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างหวาดๆ
"เ้าชื่ออะไร?"
"เยว่หลิงเพคะ"
"เยว่หลิง...ระฆังจันทรา" เขาทวนชื่อของนางเบาๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ อีกครั้ง "เป็ชื่อที่ไพเราะดี"
จากนั้น เขาก็ทำในสิ่งที่นางไม่คาดคิดมาก่อน เขาเอื้อมมือมาเชยคางของนางขึ้นอย่างแ่เบา ปลายนิ้วที่หยาบกร้านเล็กน้อยจากการจับกระบี่ลูบไล้ผิวแก้มของนางอย่างเชื่องช้า
ัันั้นทำให้เยว่หลิงตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางเบิกตากว้างด้วยความใและสับสน นี่มันเื่อะไรกัน? จิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์กำลังแตะต้องตัวนาง...นางกำนัลชั้นต่ำเช่นนาง!
"ผิวของเ้า...เนียนนุ่มเหมือนแพรไหม" เขาพึมพำเสียงพร่า ดวงตาที่เคยเ็าบัดนี้กลับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนาอย่างเปิดเผย "ข้าสังเกตเ้ามานานแล้ว เยว่หลิง"
หัวใจของเยว่หลิงเต้นโครมครามจนแทบจะะเิออกมา ความหวาดกลัวและความตื่นเต้นที่ไม่เคยรู้จักถาโถมเข้าใส่จนนางตั้งตัวไม่ทัน
"ท่าน...ท่านอ๋อง..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงที่ออกมากลับแหบพร่าและสั่นเครือ
"ไม่ต้องกลัว" เขากระซิบชิดริมฝีปากของนาง ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดจนนางขนลุกซู่ "ข้าไม่ทำอะไรเ้า...ตอนนี้"
เขาโน้มใบหน้าลงมาอีกเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาแทบจะัักับริมฝีปากของนางอยู่แล้ว เยว่หลิงหลับตาปี๋อย่างทำอะไรไม่ถูก นางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง โดยเฉพาะบริเวณจุดอ่อนไหวที่เร้นลับของสตรี...
แต่แล้ว เขากลับเพียงแค่หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว "จำไว้ เยว่หลิง หลังจากข้ากลับมาจากชายแดน เ้าจะเป็ของข้า"
เขากล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้เยว่หลิงยืนนิ่งตัวสั่นสะท้านอยู่เพียงลำพัง หัวใจของนางสับสนวุ่นวายไปหมด คำพูดของเขายังคงดังก้องอยู่ในหู "เ้าจะเป็ของข้า"
มันเป็ทั้งคำสั่งและคำประกาศิตที่นางไม่มีทางปฏิเสธได้
เยว่หลิงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดแรง นางยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว
นางไม่รู้ว่าสิ่งที่รอคอยนางอยู่ในอนาคตคืออะไร...จะเป็วาสนาหรือหายนะกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ในตอนนี้ก็คือ ชีวิตของนางในวังหลวงแห่งนี้ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว บุปผาเช่นนางได้ถูกเด็ดดอมด้วยสายตาของพญาัเสียแล้ว...และนางก็ไม่มีทางหนีพ้น.
