“ขออภัยองค์รัชทายาทฟานหลิงและปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายที่ทางอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงให้การต้อนรับบกพร่อง ทำให้ต้องขายหน้าแล้ว...” บุรุษบนบัลลังก์กล่าวขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับเล็กน้อย
“พวกข้าทั้งสองต้องขออภัยองค์ราชันเช่นกันที่ละเมิดกฎธรรมเนียมปฏิบัติ เพียงแต่ว่าการเดินทางมายังอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงครั้งนี้น้องชายของข้าได้สารบางอย่างจากเทพโอสถาเสวี่ยจิงแจ้งแก่ท่านขอรับ...” บุรุษผู้เป็องค์ราชันปกครองอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงกำลังอ่านข้อความบางอย่างในจดหมายเวทย์ที่ได้รับ คราแรกนั้นสีหน้าของอีกฝ่ายได้เผยความเคร่งเคียดเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียวก็ระบายยิ้มออกมาจึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงนี้คลายกังวล
“ปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายและองค์รัชทายาทฟานหลิง พวกท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล ระยะเวลาอีกหกเดือนให้หลังนี้ทางอาณาจักรของเราจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหล่าผู้าุโระดับสูงตระเตรียมเปิดแดนลับสุวรรณอัคคีเมฆาครามให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด!!”
“หลังจากนี้ต้องรบกวนองค์ราชันด้วยนะขอรับ...” หนิงอ้ายเห็นอีกฝ่ายตอบรับอย่างง่ายดายจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านอาจารย์ของเขานั้นได้เขียนสิ่งใดลงไปในจดหมายเวทย์ดังกล่าว แต่อย่างไรก็การฝึกฝนของเขาก็เป็เื่ที่สำคัญที่สุดในยามนี้
ในเวลาต่อมานั้นบริเวณโดยรอบของแดนลับสุวรรณอัคคีเมฆาครามได้กลายเป็สถานที่ที่เนืองแน่นไปด้วยเหล่าบรรดาทหารและผู้แกร่งกล้าคอยคุ้มกันอย่างแ่า ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นกำลังเตรียมตัวเข้าแดนลับอัคคีดังกล่าว ตรงทางเข้านั้นเป็เสาศิลาสีดำทมิฬขนาดใหญ่ที่วางขนานทอดยาวเข้าไปด้านใน อักขระเวทย์โบราณนับพันตัวได้สอดประสานเรียงร้อยผนึกขึ้นเป็วีถีชุดหนึ่งทอแสงประกายสีทองสาดส่อง
เมื่อพันธนาการที่คอยปิดทางเข้าของแดนลับสุวรรณอัคคีเมฆาครามได้เปิดเผยขึ้น กองเพลิงขนาดมหึมาได้ปรากฎขึ้นตรงด้านหน้าเป็ดั่งด่านทดสอบแรกว่าผู้จะเข้าสู่แดนลับด้านในนั้นมีคุณสมบัติมาดพียงพอหรือไม่ เดิมทีแล้วผู้ที่จะเข้าสู่แดนลับสุวรรณอัคคีเมฆาครามนี้ได้ จะต้องเป็ผู้ฝึกตนระดับอัครพรหมยุทธ์ิญญาที่ปราณธาตุไฟเท่านั้น ด้วยเพราะภายในนั้นล้วนเต็มไปด้วยขุมพลังแห่งปราณธาตุแห่งอัคคีที่ดุกร้าวแข็งแกร่งยิ่ง แต่กับหนิงอ้ายที่ปราณสุริยะธาตุย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเปลวเพลิงตรงหน้าเลยเพียงนิด
หนิงอ้ายเรียกเพลิงประจำตัวของตนออกมาในทันที เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งได้ปรากฎขึ้นสร้างความแปลกประหลาดแก่องค์ราชันรวมไปถึงทุกคนในที่นี้เป็อย่างมาก แน่นอนว่ากลิ่นอายของเปลวเพลิงทั้งสองสายที่ปรากฎนั้นพวกเขาย่อมคุ้นชินกันเป็อย่างยิ่ง แม้มีคำถามมากมายเกิดขึ้นอยู่ในใจแต่พวกเขาย่อมไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามในเื่ดังกล่าวนี้ได้ ด้วยฐานะของปรมาจารย์โอสถผู้เป็ศิษย์ลำดับที่สิบของเทพโอสถาเสวี่ยจิงแล้ว รุ่นเยาว์ผู้นี้ย่อมมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเข้าแดนลับดังกล่าวเพื่อบ่มเพาะรากฐานพลังิญญาให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น หน้าที่ของพวกเขาคืออำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือให้มากที่สุดเท่าที่จะส่งเสริมได้...
หนึ่งปีผ่านไป
ข่าวคราวการล่มสลายของตำหนักเทพมารโลหิตด้วยฝีมือของกองกำลังของประมุขหวังจิ่งหลงได้ส่งผลให้กลุ่มอิทธิพลมืดที่ซุกซ่อนอยู่ถึงกับเสียสมดุลไป่เวลาหนึ่ง มากไปกว่านั้นการยื่นมือให้ความช่วยเหลือจากทางวิหารแห่งเทพยุทธ์ครั้งนี้ถือว่าได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มอิทธิพลในมหาพิภพอยู่ไม่น้อย ่เวลานั้นได้มีกลุ่มอิทธิพลชั้นสูง หรือกลุ่มอิทธิพลทั้งที่เปิดเผยและยังปกปิดตัวตนอยู่ พวกเขาเหล่านี้ล้วนตระหนักได้ถึงภัยร้ายที่กำลังเข้ามาคืบคลานอีกครั้ง จึงหันเหเข้ามาพึ่งพิงบารมีของวิหารแห่งเทพยุทธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าการอยู่ภายใต้อาณัติของวิหารแห่งเทพยุทธ์นี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติที่มีขอบเขตขีดจำกัดที่ชัดเจนไม่อาจกระทำสิ่งใดตามใจได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มอิทธิพลเ่าั้ก็ได้รับการสนับสนุนในทุกด้านอย่างแท้จริง
ส่วนผู้ที่เคยสำแดงความพิโรธจนสั่นะเืไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างประมุขหวังจิ่งหลงกลับหายเข้ากลีบเมฆไปเสียอย่างนั้น ว่ากันว่าจวนของตระกูลหวังสายหลักในแคว้นเต่าดำได้ปิดเงียบ บรรดาผู้ติดตามในเหตุการณ์ครั้งนั้นล้วนได้รับการตอบแทนกันถ้วนหน้า ก่อนจะแยกย้ายไปยังสถานที่พำนักของตนทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเวลานี้จวนตระกูลหวังไม่ต่างไปจากจวนร้างไร้ผู้อยู่อาศัยคงไม่เกินจริงไปนัก
ทางด้านของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา การสูญเสียศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหนิงอ้ายไป ได้สร้างความะเืใจแก่ศิษย์พี่ร่วมตำหนักอยู่ไม่น้อย เหวินหวู่ผู้เป็เ้าตำหนักนั้นถึงกับเก็บตัวเข้าด่านฝึกฝนในแดนลับของสำนัก ด้วยเพราะยังโทษตัวเองที่ไม่อาจช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ยามนี้ศิษย์ลำดับที่หนึ่งนามว่าโจวเซินได้ขึ้นรักษาการแทนและศิษย์คนที่เหลือต่างทุ่มเทฝึกฝนด้วยหวังว่าในวันหนึ่งจะชำระหนี้แค้นให้กับศิษย์น้องของพวกเขาได้ในสักวัน ส่วนลู่ซีผู้เป็พี่ชายบุญธรรมของอีกฝ่าย หลังจากที่กลับมาจากตระกูลหวังครั้งนั้นก็เอาแต่เก็บตัวฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกับบรรดาสหายของอีกฝ่ายคนที่เหลือก็ไม่ต่างกัน
“คิดไม่ถึงว่าพวกมารปีศาจจะร่วมมือกับตำหนักเทพมารโลหิตและตระเตรียมแผนการเช่นนี้ ยังดีที่สมบัติวิเศษหุ่นเชิดเทพมารโลกันต์ไม่อาจสังเวยเป็สมบัติวิเศษระดับตำนานได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วสถานการณ์คงย่ำแย่ไปมากกว่านี้...” ในห้องโถงรับรองภายในสำนัก ได้มีบรรดาผู้าุโระดับสูง ผู้าุโคุมกฎทั้งสาม รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องต่างล้อมวงพูดคุยกันในเื่ราวเหล่านี้
“หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเหล่ามารปีศาจไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นอีกเลย นี่เป็เื่ที่น่าแปลกประหลาดมากเสียจริง…” ผู้าุโท่านหนึ่งกล่าวพลางถอนหายใจออกมา แม้ว่าหลังจากนั้นกลุ่มอิทธิพลชั้นแนวหน้าในมหาพิภพจะจับจ้องทุกการกระทำของทุกตำหนักเทพมาร ไม่รู้ว่ากำลังมีแผนการร้ายกาจอันใดอยู่หรือไม่กัน
“เดิมทีพวกมันเหล่านี้ต่างไบ่ล่าแสวงหาขุมพลังจากผู้ฝึกตนเพื่อที่จะเติมเต็มให้แก่จอมมารอยู่แล้ว การที่พวกมันหายเงียบไปไม่ได้ปรากฎเช่นนี้กล่าวว่าเป็ที่น่ากังวลยิ่งนัก หากไม่ใช่ว่ายามนี้จอมมารได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทางหนึ่งพวกมันคงลักลอบกระทำและปกปิดได้อย่างมิดชิดยิ่ง ไม่ว่าจะเป็ทางใดล้วนไม่มีผลดีทั้งสิ้น…” เจียงเฉิงผู้เป็เ้าสำนักกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตานั้นแฝงไปด้วยความตึงเครียดเอาไว้ยากจะปกปิดได้มิดชิด
“หรือว่าพวกมันรู้ว่ายามนี้ทางวิหารแห่งเทพยุทธ์ รวมไปถึงกลุ่มอิทธิพลอื่นได้เฝ้าดูการกระทำดังกล่าว จึงเลือกเก็บตัวเงียบไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้ ข้าคิดว่า…”
“เ้าคิดว่ามีสายสืบที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ของผู้ฝึกตน หรือหากในแง่ร้ายที่สุดพวกมันคงแฝงตัวอยู่ในวิหารแห่งเทพยุทธ์ไปแล้ว และต้องเป็ตำแหน่งที่สูงมากเพียงพอที่จะรู้ถึงแผนการและการเคลื่อนไหวใช่หรือไม่?”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจประมาทได้ แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะดูเหมือนสงบสุข อย่างไรให้หน่วยข่าวกรองของสำนักลองสืบหาเื่ราวความเคลื่อนไหวจากมหาทวีปใกล้เคียงด้วยแล้วกัน ข้าไม่คิดว่าจะไม่มีหนทางหรือร่องรอยให้ติดตามได้…” เจียงเฉิงกล่าวสรุปพร้อมกับสั่งการออกไป
“ท่านเ้าสำนักเจียงเฉิงอย่าได้เป็กังวล ทางวิหารแห่งเทพยุทธ์ยามนี้ก็ได้มีข้อจัดการในหลายสิ่งอย่างที่เข้มงวดยิ่ง หากว่ามีพวกมารปีศาจปรากฎตัวขึ้น ด้วยสายข่าวกรองและพันธมิตรที่อยู่ทั่วทั้งมหาพิภพย่อมรายงานให้รับรู้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่พวกเราควรกระทำในยามนี้และกระทำต่อไปนั่นคือเร่งฝึกฝนพัฒนาฝีมือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือหลังจากนี้...” หลานหลิงผู้าุโคุมกฎประจำวิหารแห่งเทพยุทธ์กล่าวขึ้นเพื่อให้ทุกคนคลายกังวล
“โอสถวิเศษต่าง ๆ ยามนี้ทางวิหารแห่งโอสถได้ให้ความร่วมมือยังไม่อาจโจ่งแจ้งได้ ด้วยเพราะยังต้องวางตัวเป็กลางไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด อย่างไรแล้วโอสถเลื่อนระดับพลังราชทินนามจักรพรรดิิญญา ข้าจะติดต่อจัดการให้พวกเ้าเอง ส่วนเื่ที่เหลือคงต้องรบกวนพวกเ้าเช่นเดิมแล้วกัน...” ท่ามกลางบทสนทนาที่เคร่งเครียดนั้น น้ำเสียงสายหนึ่งได้ดังขึ้นอย่างราบเรียบไร้อารมณ์
“เหวินหวู่เ้าออกจากด่านเก็บตัวแล้วอย่างนั้นรึ?” โจวห่าวหนึ่งในสามผู้คุมกฎของสำนักเอ่ยทักสหายไป ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่ยินดียินร้ายเฉยชากว่าเดิมนั้น ยังคงแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่อาจหลุดพ้นจากห้วงความทุกข์ที่เผชิญได้ แน่นอนว่าโอสถวิเศษมากมายเพียงใดย่อมไม่อาจรักษาได้โดยง่าย
“ไม่ใช่ทีเดียว ข้ามาที่นี่เพื่อเรียนแจ้งท่านเ้าสำนักด้วย คล้ายกับว่าพลังสายเืของข้าใกล้ตื่นขึ้นแล้ว จึงมาขออนุญาตกลับตระกูลไป๋เพื่อเข้าด่านเก็บตัวขอรับ...” เหวินหวู่หันไปตอบโจวห่าว ก่อนจะกล่าวส่วนที่เหลือกับเจียงเฉิงโดยตรง
“ผู้าุโเหวินหวู่อย่าได้เกรงใจปานนั้น ทางนี้ข้าจะให้เ้าตำหนักทั้งสามคอยไปแวะเวียนตรวจสอบความเรียบร้อยของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้วกัน...” เหวินหวู่ที่ได้ยินดังนั้นจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับไปในทันที จากนั้นทุกคนจึงพูดคุยถึงแผนการหลังจากนี้อีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปในที่สุด
ห้าปีผ่านไป
“พวกเ้าได้ติดต่อลู่ซีบ้างหรือไม่?? ไม่รู้จะกลับมาถึงสำนักวันใดกัน” จินหั่วถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง เป็เวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่อีกฝ่ายออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกสำนัก ซึ่งพวกเขาเองก็พึ่งจะกลับมาถึงได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเช่นกัน
“ดูเหมือนลู่ซีได้บอกไว้ว่าจะแวะตระกูลหวังเสียก่อนจะกลับสำนัก วันนี้ถือเป็วันครบรอบที่...” อู๋ฮั่นเอ่ยเสียงเบาก่อนจะเงียบลงไป
“น่าเสียดายยิ่ง ในวันที่พวกเขาสามารถเป็ศิษย์หลักของตำหนักได้กลับไม่มีหนิงอ้ายคอยแสดงความยินดีเช่นนี้ เป็เวลาสามปีที่ช่างยาวนานในความรู้สึกเสียจริง...” อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างเซื่องซึม
“ข้าเชื่อว่าทุกก้าวเดินของพวกเราหนิงอ้ายย่อมรับรู้เสมอ เป้าหมายของพวกเราคือต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่านี้เพื่อซักวันจะได้ล้างแค้นให้ได้!!” จ้าวหลานเอ่ยเสริมขึ้น
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ วันนี้ทางสำนักได้จัดพิธีรำลึกที่หอบรรพชนขึ้น เป็วันครอบรอบของหนิงอ้ายเราควรไปเจอเขาตามที่เคยสัญญาไว้...” หลี่ซวงที่เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเอ่ยชวนก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้ารับพร้อมกับมุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งทันที
สถานที่ที่กำลังมุ่งตรงไปนั้นเป็พื้นที่เฉพาะในเขตพื้นที่ของสำนักที่อนุญาติให้ศิษย์ผู้สืบทอดและศิษย์หลักเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามายังบริเวณดังกล่าวได้ โดยพื้นที่นี้เป็สถานที่ฝังศพของอดีตบรรพชนผู้ก่อตั้ง บรรดาผู้าุโระดับสูงรวมไปถึงศิษย์ภายในสำนักที่สร้างชื่อเสียงและได้รับฐานะยอมรับ บรรยากาศโดยรอบนับว่าเงียบสงบเป็อย่างยิ่ง ยามนี้พวกเขาทั้งห้าคนต่างเปลี่ยนเครื่องแบบแต่งกายเป็สีขาวเป็ดั่งสัญลักษณ์การไว้ทุกข์เรียบร้อย หอบบรรพชนของสำนักได้ตั้งตระหง่านอยู่ราวกับยามเฝ้าแห่งกาลเวลา ผนังไม้แกะสลักวิจิตรบรรจงเล่าขานเื่ราวยังคงอบอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศ กลิ่นธูปหอมลอยอ้อยอิ่งกระตุ้นความรู้สึกโหยหา ห้วงอารมณ์ความคิดถึงแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง
“คำนับท่านเ้าสำนัก ผู้าุโคุมกฎและเ้าตำหนักทั้งสามขอรับ...” จินหั่วเอ่ยขึ้นพร้อมกับพวกเขาที่เหลือต่างยกมือคำนับด้วยความเคารพ
“พวกเ้าช่างมาได้ตรงเวลาเสียจริง เอาละ พิธีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วหลังจากนี้” ผู้าุโโจวเซินตอบกลับไป ด้วยเพราะวันนี้อีกฝ่ายได้เป็ประธานในพิธีดังกล่าว
เสียงเคาะไม้ดังขึ้นเป็จังหวะ เป็ดั่งสัญญาณให้รับรู้ว่าพิธีสักการะเคารพกำลังเริ่มขึ้นแล้ว สิ่งนี้คล้ายกับเป็ธรรมเนียมที่ทางสำนักศึกษายึดถือปฏิบัติมาอย่างช้านาน จุดประสงค์นั่นคือเป็การแสดงความขอบคุณและบอกกล่าวว่าคุณงามความดีของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักรวมไปถึงผู้ที่ทำความดีแก่สำนักศึกษา ผู้าุโ
“หวังหนิงอ้าย เป็ศิษย์สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาอีกทั้งยังฐานะผู้าุโสายในสูงสุดที่อายุน้อยที่สุดเพียงคนเดียวของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้...”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุน เขาได้แสดงความสามารถที่เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญาและความเป็ผู้นำที่โดดเด่น การเสียสละตนเองในครั้งนั้นได้ช่วยให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายได้รับโอกาสในการใช้ชีวิต การขัดขวางแผนการในครั้งนั้นได้ส่งผลให้ฝั่งมารปีศาจได้เงียบสงบมาจนถึงทุกวันนี้ ให้เรามีเวลาเตรียมตัวและตั้งรับได้ในวันข้างหน้า คุณงามความดีนี้จะถูกเล่าขานไว้สืบไป...” จบคำกล่าวของผู้าุโ พวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างครุ่นคิดอยู่ในใจแตกต่างกันออกไป อย่างไรแล้วบนเส้นทางของผู้ฝึกตน การพบพานหรือการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับกล่าวว่าสิ่งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นทุกคนจึงแยกย้ายกลับไปในที่สุด...
อาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสง ดินแดนระดับสูง มหาพิภพพิศดาร
หนิงอ้ายบัญชาการเปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งออกมา พร้อมกับดูดซับกระแสพลังปราณแห่งฟ้าดินที่ไหลเวียนอย่างเข้มข้นบริสุทธิ์ในแดนลับแห่งนี้ เมื่อประสานเป็ส่วนหนึ่งกับชีพจรอัคคีสายนี้ องค์ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปราณธาตุของเขานั้นคล้ายกับว่าลึกล้ำขึ้นไปอีกหลายเท่า ยิ่งกับร่างกายนี้ที่เป็สุดยอดกายเนื้อที่ผ่านการหล่อหลอมจากสมบัติวิเศษและฤทธิ์ของโอสถที่ล้ำค่าไม่สามัญ ยิ่งทำให้ความเร็วในการดูดซับพลังลมปราณเพิ่มพูนขึ้นเป็เท่าตัว โดยที่ไม่ลืมเคี่ยวกรำรากฐานบ่มเพาะให้ลึกล้ำมากที่สุดเท่าที่กระทำได้
เสียงะเิปะทุต่ำ ๆ ดังขึ้นภายในร่างกายของหนิงอ้ายในทุกครั้งที่เขาข้ามผ่านเขตขั้นย่อยของระดับพลังิญญา แน่นอนว่ายามนี้พลังลมปราณในร่างกายของเขาค่อย ๆ เพิ่มพูนอย่างช้า ๆ และมั่นคง กระแสพลังปราณอัคคีในดินแดนลับแห่งนี้ถูกเรียกขานว่าเส้นชีพจรอัคคีที่มีความสำคัญต่อทั้งเก้าอาณาจักรเป็อย่างมากอีกทั้งยังมีความบริสุทธิ์ยิ่งยวดที่ยากจะเปรียบได้
เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งหลังจากได้ดูดซับกระแสพลังจากเส้นสายชีพจรอัคคีเหล่านี้ กล่าวได้ว่ากลิ่นอายของหนิงอ้ายพลันอหังการเข้มข้นอีกหลายส่วนเลยทีเดียว ผนึกกำกับที่เคยสะกดข่มภายในทะเลมหาสมุทรจิติญญาของหนิงอ้ายได้เร่งดูดซับกระแสพลังสายนี้เข้าไปอย่างไม่จำกัด ส่งผลให้เส้นชีพจร เส้นลมปราณ ไขกระดูกรวมไปถึงโลหิตในร่างกายได้ถูกชะล้างและสร้างความเ็ปอย่างยิ่งยวด ขอเพียงผ่านไปได้มัจฉาน้อยก็จะลอกคราบกลายเป็ัที่สวยงามดังคำกล่าวไว้อย่างแท้จริง...