“...รถม้าสองคัน ข้าก็ไม่คิดมากนักหรอก ตีเป็เงินหกสิบตำลึงก็แล้วกัน หากท่านไม่สามารถจ่ายได้ก็ไม่เป็ไร หักจากเงินเลี้ยงดูบิดามารดาก็แล้วกัน นับจากปีนี้เป็ต้นไป อีกหกปีค่อยให้เงินเลี้ยงดูท่าน! อีกอย่างของของเจียวเอ๋อร์ที่เสียหายไปแล้วก็ช่างมันเถอะ แต่ท่านพ่อ ของพวกนั้นล้วนใช้เงินซื้อมา มิใช่ลมพัดหอบเอามาให้! ขอให้ท่านพ่อโปรดสั่งสอนพวกเขาให้ดี ตอนนี้อยู่ในบ้านยังไม่มีใครเอาเื่เอาราวอะไร แต่หากออกไปข้างนอกแล้ว มิใช่เพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่จะเสียชื่อเสียงกระมัง? ในหมู่บ้านไหวซู่ ทั้งตระกูลอวิ๋น ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์เป็ผู้หญิงคนเดียวเสียหน่อย!”
เมื่ออวิ๋นโส่วจงพูดจบ อวิ๋นเจียหรงหัวหน้าตระกูลอวิ๋นจึงตบไหล่ของผู้เฒ่าอวิ๋นเบาๆ พร้อมเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ท่านสาม ที่เ้ารองพูดก็มีเหตุผล ท่านควรสั่งสอนภรรยาและบุตรสาวของท่านให้ดี ตอนนี้ยังอยู่ในบ้านก็พอว่า แต่หากแต่งงานออกไปแล้วยังเป็เช่นนี้อีก จะเป็การทำลายชื่อเสียงของคนตระกูลอวิ๋นทั้งตระกูล!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นพยักหน้ารับคำอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าแก่ชราของเขาแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอาย และไม่มีหน้าจะอยู่ต่ออีก “เื่เงินก็ตกลงตามที่เ้าพูดแล้วกัน ข้าไม่กินข้าวแล้ว ขอกลับก่อน!” พูดจบเขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบมองครอบครัวของเ้าใหญ่กับเ้าสามที่กำลังทำหน้าลำบากใจ จากนั้นจึงพูดต่อว่า “พวกเ้าอยู่กินข้าวที่นี่เถอะ กินเสร็จแล้วค่อยกลับ”
กล่าวจบเขาก็เดินออกไปด้วยแผ่นหลังที่โค้งงอ เขาทะเลาะกับครอบครัวของลูกชายคนรองจนบาดหมางไปแล้ว คงไปขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขาอีกไม่ได้ เขาแก่แล้ว และเมื่อเขาจากไป ก็ยังหวังให้พี่น้องเหล่านี้ได้พึ่งพากันบ้าง
เมื่อผู้เฒ่าอวิ๋นออกไปแล้ว หลิวซื่อที่กำลังจับตัวอวิ๋นฉี่รุ่ยไว้ก็รีบลากลูกชายที่ร้องไห้ไม่หยุดตามออกไปด้วย นางเองก็ไม่อยากไปนักหรอก แต่อวิ๋นโส่วจงดันพูดถึงเื่รถม้า แถมบ้านสามยังมองนางด้วยสายตาไม่พอใจอีกด้วย
หลังจากผู้เฒ่าอวิ๋นจากไป อวิ๋นโส่วจงจึงหันไปประสานมือคารวะผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล “ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงจาง ทำให้พวกท่านต้องมาเห็นเื่น่าอับอายแล้ว”
ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ทั้งสองคนเป็พยานแล้ว ดังนั้นอวิ๋นโส่วจงจึงเรียกหัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้านด้วยคำเรียกขานตามธรรมเนียมของผู้น้อยที่มีต่อผู้ใหญ่เพื่อแสดงถึงความใกล้ชิด
“เ้ารอง เ้ามีน้ำใจมากพอแล้ว!” อวิ๋นเจียหรงหัวหน้าตระกูลเอ่ยชมพลางตบไหล่ของเขา
ต้องรู้ว่าครอบครัวชาวนาใช้จ่ายเพียงปีละยี่สิบกว่าตำลึงเท่านั้น อวิ๋นโส่วจงกลับเต็มใจให้เงินผู้เฒ่าอวิ๋นปีละสิบตำลึง!
ที่สำคัญคือพวกเขารู้ดีว่าตอนนั้นอวิ๋นโส่วจงจากหมู่บ้านไหวซู่ไปได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง การที่อวิ๋นโส่วจงยังคงปฏิบัติต่ออวิ๋นเจียชางด้วยน้ำใจเช่นนี้จึงนับว่าเป็เื่ที่หาได้ยากยิ่งนัก แต่ลองมองกลับกันว่าอวิ๋นเจียงชางและภรรยาปฏิบัติต่ออวิ๋นโส่วจงอย่างไร?
ขนาดเขาที่เป็คนนอกยังรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจ แม้แต่ของของหลานสาวยังไม่เว้น ยึดได้ก็ยึด ยึดไม่ได้ก็ทำลายทิ้ง! ไยจิตใจถึงได้โหดร้ายเพียงนี้?
ผู้ใหญ่บ้านเองก็เอ่ยขึ้นว่า “เ้าวางใจเถอะ วันนี้ข้ากับหัวหน้าตระกูลอวิ๋นมารับรู้เื่นี้ด้วยตัวเองแล้ว เงินเลี้ยงดูบิดามารดาที่ต้องให้อวิ๋นเจียชาง เ้ารออีกหกปีค่อยให้ก็ได้ หากเถาซื่อยังกล้าหาเื่อีก เ้าก็มาหาพวกข้าได้เลย!”
อวิ๋นโส่วจงรีบเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านผู้าุโทั้งสองแล้ว อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านทั้งสองไปที่ห้องโถงก่อนเถิด!”
เมื่อเื่วุ่นวายจบลง อวิ๋นโส่วจงก็คอยรับรองแขกฝ่ายผู้ชาย ส่วนฟางซื่อก็รีบเชิญญาติผู้หญิงไปที่โต๊ะอาหารเช่นกัน
หลังจากนั่งลงที่โต๊ะอาหาร คนตระกูลอวิ๋นก็พบว่าทั้งโต๊ะอาหารของผู้ชายและผู้หญิงที่บ้านของอวิ๋นโส่วจงนั้น ทั้งปริมาณและหน้าตาของอาหารล้วนเหมือนกัน
ไม่เหมือนบ้านผู้เฒ่าอวิ๋น ต่อให้มีแขกมา อาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็จะวางไว้บนโต๊ะของผู้ชายเท่านั้น ส่วนโต๊ะของผู้หญิงจะมีเนื้อน้อยมากจนน่าเวทนา ซึ่งมีไว้ต้อนรับแขกโดยเฉพาะ หากญาติผู้หญิงคนใดยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อ ไม่พ้นต้องถูกเถาซื่อด่าจนหูชา!
อาหารมากมายบนโต๊ะทำให้อวิ๋นหลานเอ๋อร์ดวงตาเป็ประกาย แต่ก่อนที่นางจะได้กินอย่างเอร็ดอร่อย นางก็ไม่ลืมคีบอาหารให้เฉาซื่อผู้เป็มารดาก่อนหนึ่งตะเกียบ จากนั้นก็ซ้ายหนึ่งตะเกียบ ขวาอีกหนึ่งตะเกียบคีบอาหารยัดเข้าปากไม่หยุด จนแก้มตุ่ยออกมา ท่าทางเช่นนี้ของนางเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็อย่างดี
แต่ด้วยเพราะมีอวิ๋นหลานเอ๋อร์จะกละอยู่ด้วย จ้าวซื่อกับเฉาซื่อจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง พูดกันตามตรง พวกนางไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว!
แม้จะมีเื่วุ่นวายของเถาซื่อกับอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ แต่อาหารมื้อเย็นที่บ้านของอวิ๋นโส่วจงก็ยังคงคึกคักเป็พิเศษ เื่อย่างอื่นนั้นไม่สำคัญแล้ว แค่มีทั้งสุราและเนื้อสัตว์ไม่ขาดตกบกพร่อง ก็ทำให้ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าตระกูล และสองพี่น้องตระกูลอวิ๋น ต่างก็ััได้ถึงความจริงใจเต็มเปี่ยมของอวิ๋นโส่วจง
เทียบกับบรรยากาศที่คึกคักของบ้านอวิ๋นโส่วจงแล้วบรรยากาศที่บ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นกลับดูมืดมน ในห้องโถง อวิ๋นเหมยเอ๋อร์นั่งร้องไห้ไม่หยุดอยู่ข้างกายเถาซื่อ
“ร้องๆๆ รู้จักแต่ร้องหรือไง ทำไมเ้าถึงทำเื่น่าอับอายเช่นนี้เล่า? แอบขโมยของของหลานสาวตัวเอง! เสื้อผ้าของหลานสาวเ้าจะใส่ได้หรือไง? จะขโมยมาทำไม? แล้วเ้านี่ก็อีกคน เหมยเอ๋อร์เป็เช่นนี้ก็เพราะเ้าตามใจนางจนเป็นิสัยอย่างไรเล่า! แก่แล้วไม่รู้จักทำตัวให้เป็ที่เคารพ แถมยังเป็หัวโจกในการขโมยของอีก!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นเอามือไพล่หลังเดินวนไปมาในห้องโถง เห็นได้ชัดว่าโกรธไม่เบา เพียงแค่นึกถึงสายตาตำหนิของหัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงคำพูดที่สั่งสอนเขา เขาก็รู้สึกเสียใจแทบอยากตายเสียให้ได้ คนในวัยหกสิบกว่าปีแล้ว ยังต้องมาถูกคนอื่นสั่งสอนอีก เขาช่าง...
“เ้านี่นะตาแก่ไม่ตาย! ยังมีหน้ามาด่าข้าอีกหรือ? ข้าอายุสิบห้าก็แต่งงานกับเ้าทนทุกข์ทรมานกับเ้า คลอดลูกชายเลี้ยงลูกสาวให้เ้า มาตอนนี้แก่แล้วกลับถูกบ้านเ้ารองรังแกโดนเด็กมันถอนหงอก! ตาแก่อย่างเ้าไม่ออกหน้าช่วยข้าก็แล้วไปเถอะ ยังจะมาโทษข้าอีกหรือ? เ้าคนไร้ประโยชน์! สิ่งที่ข้าทำเรียกว่าขโมยหรือ? ในเมื่อเ้ารองมีสายเืเดียวกับเ้า ต่อให้จะพูดจนปากฉีกยังไง เขาก็เป็คนตระกูลอวิ๋นอยู่ดี ข้าหยิบของของพวกเขาก็ถือว่าให้เกียรติพวกเขาแล้ว! หากไม่มีเ้าจะมีมันหรือ? มันงอกมาจากดินได้หรือยังไง?”
เถาซื่อเหมือนประทัดที่ถูกจุดพูดไม่หยุดปาก ผู้เฒ่าอวิ๋นถูกด่าจนปวดหัว ส่วนอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น “วันนั้นอวิ๋นเจียวสัญญากับข้าอย่างดีว่าจะยกกล่องเครื่องประดับให้ข้า แต่สุดท้ายนางก็เงียบหายไปเฉยๆ ข้าแค่ไปเอาของของตัวเองทำไมจะทำไม่ได้? อีกอย่างเสื้อผ้าพวกนั้น ข้าแค่เห็นว่ามันสวยดี คิดว่าสาวใช้ของบ้านพี่หญิงใหญ่ใส่ได้พอดี จึงหยิบมาสองสามชุดเท่านั้น ท่านพ่อไม่เห็นหรือไง เสื้อผ้าของยัยหนูอวิ๋นเจียวน่ะมีตั้งหลายชุด ข้าแอบดูมาแล้ว แค่เสื้อผ้าสำหรับฤดูนี้ฤดูเดียว อย่างน้อยๆ ก็มีเจ็ดแปดชุด พี่รองกลับมาทั้งทีไม่เห็นจะเอาเงินมาให้ท่านพ่อสักอีแปะ ท่านพ่อยังบอกว่าเขาลำบากเขาไม่มีเงิน หากไม่มีเงินจริงแล้วจะซื้อเสื้อผ้ามากมายขนาดนั้นให้เด็กผู้หญิงตัวแค่นั้นได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าอวิ๋นก็เงียบเสียงไป ในใจลึกๆ ของเขานั้น ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายังมีความรู้สึกโทษลูกชายคนรองอยู่บ้าง วันนี้หากเ้ารองยังเห็นเขาเป็พ่ออยู่ เห็นพวกเขาเป็ครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ควรทำให้เื่บานปลายต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูลเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์พูดก็ถูก เ้ารองตามใจยัยหนูคนนั้นมากเกินไปแล้ว ดูเสื้อผ้าที่ยัยหนูคนนั้นสวมใส่สิ ชุดหนึ่งคงไม่ต่ำกว่าห้าตำลึงเงินกระมัง?
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว เขาก็ทำอะไรเ้ารองไม่ได้
“ต่อให้เป็เช่นนั้นเ้าก็ไม่ควรหยิบของของพวกเขามาโดยไม่ถามสักคำ ตอนนี้เป็อย่างไรเล่า ในสายตาของคนอื่น เด็กผู้หญิงอย่างเ้ากลายเป็หัวขโมยไปแล้ว! ต่อไปใครจะกล้าแต่งงานด้วย?” ผู้เฒ่าอวิ๋นโกรธที่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่ได้เื่ ทั้งยังสายตาคับแคบ
เถาซื่อด่าว่า “เ้านี่มันคนไร้น้ำยา! ทำไมไม่กล้าไปหาหัวหน้าตระกูล ให้เขาสั่งให้เ้ารองกับครอบครัวกลับมารวมกันเสียเล่า? ตราบใดที่พ่อแม่ยังอยู่ ก็ไม่ควรแยกบ้านแยกช่อง! เ้าก็ยังอยู่ เขากล้าดีอย่างไรถึงไม่ดูแลรับใช้บิดามารดา แยกบ้านออกไปอยู่ตามลำพังได้อย่างไร? เื่นี้ต่อให้พูดอย่างไร เ้ารองก็ไม่มีทางชนะ!”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เป็ประกาย รีบยุยงส่งเสริม “ใช่แล้วเ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปหาหัวหน้าตระกูลกับผู้ใหญ่บ้านสิ ให้พวกเขาสั่งให้พี่รองกับครอบครัวกลับมารวมกัน แบบนี้สิ่งที่ข้ากับท่านแม่ทำในวันนี้ก็ไม่ถือว่าเป็การขโมย กลับกลายเป็ว่าพี่รองนั่นแหละที่ผิด!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นสูบกล้องยาเส้นไปหนึ่งที เขารู้สึกว่าสิ่งที่เถาซื่อกับอวิ๋นเหมยเอ๋อร์พูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง จึงพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปหาหัวหน้าตระกูลกับผู้ใหญ่บ้าน”