ในเมื่ออวี๋เคอกลับมาแล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่ชายแดนแม่น้ำแห่ง์จึงถูกกู้จิ่นเฉิงส่งกลับมาส่วนหนึ่งส่วนแดนผู้ฝึกตนที่อยู่อีกฝั่งของแดนแม่น้ำแห่ง์น่าจะสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เช่นเดียวกับทางด้านนี้เพราะไม่ต้องกลัวว่ายามท้องฟ้ามืดพวกเผ่าปีศาจจะลอบโจมตีแดนผู้ฝึกตนในกลางดึก
ระหว่างทางกลับวังปีศาจอวี๋เคอถามกู้จิ่นเฉิงว่าทำไมถึงได้ประกาศแสนยานุภาพเช่นนี้ จนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเกิดความตึงเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลันได้ขนาดนี้อีกกู้จิ่นเฉิงจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่านี่คือการต้อนรับการกลับมาให้แก่ท่านจอมปีศาจโดยการยืมปากของทหารเหล่านี้เพื่อกระจายข่าวการกลับมาของท่านจอมปีศาจออกไปเมื่อถึงเวลานั้นข่าวลือที่เลอะเทอะเ่าั้ก็จะได้หยุดลง
อวี๋เคอขมวดคิ้ว และถามต่อว่า “แล้วเ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าผู้นี้จะกลับมายังแดนปีศาจ? หากจำไม่ผิด ข้าผู้นี้ไม่ได้ให้หวังตัวจวี๋บอกเ้าถึงสถานที่ที่ข้าผู้นี้จะไปด้วยซ้ำ”
สีหน้าของกู้จิ่นเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่มุมปากกลับฉายรอยยิ้มบางๆที่หาดูได้ยากขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “เพราะข้าน้อยรู้แล้วว่าท่านจอมปีศาจกำลังไปตามหาอาจิ่วหากผู้น้อยเดาไม่ผิด ไม่เกินครึ่งวันอาจิ่วก็จะกลับมาเมื่อครู่จึงตั้งใจส่งคนสองสามคนไปคอยเขาที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อรอเขากลับมา”
อวี๋เคอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีกำลังจะอ้าปากหวังจะถามอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกกู้จิ่นเฉิงชิงพูดตัดบทไปเสียก่อน
“เหตุผลที่ผู้น้อยรู้ว่าอาจิ่วไม่ได้อยู่ในแดนปีศาจก็เพราะ่ก่อนหน้านี้ผู้น้อยบังเอิญโชคดีที่ได้เจอท่านเทพหลิงกวงเมื่อสนทนากับใต้เท้าท่านนั้นอยู่พักหนึ่งจึงได้รู้ว่าอาจิ่วออกจากแดนปีศาจไปแล้วแต่นายท่าน ท่านกลับให้เ้าดินแดนมาแจ้งกับผู้น้อยว่าจะจากไปเป็เวลาหนึ่งเดือนแต่ทั้งๆ ที่ปรากฏตัวแล้วแท้ๆ ท่านกลับไม่ยอมกลับมาเมื่อปะติดปะต่อ่เวลาดูอีกครั้งผู้น้อยจึงเดาได้ว่าท่านไปแดน์เพียงตัวคนเดียว”
“...” ตอนนี้จู่ๆอวี๋เคอก็มีความรู้สึกว่าเขาพูดได้มีหลักการมาก จนตนเองพูดอะไรไม่ออกเลย เขาชำเลืองมองกู้จิ่นเฉิงอย่างตะลึงงันรู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้ก็คือคลื่นตรวจจับวัตถุ ความคิดนี้มันออกจะลึกล้ำเกินไปแล้วหรือเปล่า? หากกู้จิ่นเฉิงผู้นี้อยู่ในโลกปัจจุบันก็คงจะเป็คนที่มีจิตวิทยาอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดในใจได้เช่นนี้ใบหน้าของอวี๋เคอที่ผ่านการเรียนรู้เื่การทำหน้านิ่งสุขุมมาเป็เวลานานก็ยกมุมปากขึ้นสิบองศา พร้อมกับค่อยๆ ยกหางตาขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทางเหมือนตนเองเข้าใจทุกอย่างชัดเจนแล้วจากนั้นจึงไม่มองกู้จิ่นเฉิงอีก แล้วหันหลังเดินต่อไปคนเดียวปล่อยให้กู้จิ่นเฉิงเดินตามหลังมาอย่างนอบน้อม ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเ็าและหยอกล้ออยู่ในที “ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ข้าผู้นี้ก็จะเชื่อเ้า แต่จิ่นเฉิง เ้าต้องจำไว้ว่าแดนปีศาจแห่งนี้เป็ของข้าและทหารในวังปีศาจก็เป็ของข้าเช่นกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปสบกับสายตาที่หลุบต่ำของคนที่เดินตามมาด้านหลังจากนั้นจึงกล่าวอย่างเ็าว่า “ต่อไปหากเคลื่อนพลทหารไปอย่างพลการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้าผู้นี้อีกก็อย่าหาว่าข้าผู้นี้ไม่ไว้หน้าเ้าก็แล้วกัน”
กู้จิ่นเฉิงใจสั่นสะท้านเขารีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มหัวลง เหมือนกับตอนที่เปิดลำคอของตนเองออกมาเพื่อแสดงการยอมจำนนในถ้ำสัตว์เลี้ยงปีศาจตอนนั้น “นายท่านโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วยขอรับต่อไปนี้ข้าน้อยจะไม่เคลื่อนพลทหารโดยพลการอีกแล้วขอรับ! ”
แววตาของอวี๋เคอดูสับสนเล็กน้อยเพราะมองไม่เห็นสีหน้าของกู้จิ่นเฉิงจากระดับองศาที่อยู่สูงเช่นนี้ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์แต่พอนึกถึงเื่ที่ตนโยนแดนปีศาจทั้งหมดให้คนผู้นี้ดูแลเป็เวลาสองปี และตอนนี้ตนเพิ่งกลับมาได้ไม่ทันไรก็มาจับผิดเขาเสียแล้วดูเหมือนว่าความคิดจะไร้เหตุผลไปเสียหน่อย
“เ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว ตอนนี้ก็ลุกขึ้นแล้วตามข้าผู้นี้ไปที่ตำหนักหลักข้ามีเื่บางอย่างอยากจะมอบหมายให้เ้าทำ”
“ขอรับ”
กู้จิ่นเฉิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าอวี๋เคอกลับมาในครั้งนี้จึงดูเปลี่ยนไปมากบนร่างของอีกฝ่ายมีของบางอย่างที่เขาไม่รู้เพิ่มเข้ามา แต่เขาก็ไม่กล้าใช้จิตสำนึกสำรวจอวี๋เคออย่างโจ่งแจ้งอีกเช่นกันความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมคนผู้นี้ได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ เขาหรี่ตาลงและเร่งฝีเท้าเดินตามหลังอวี๋เคอไปแต่ในใจกลับตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะต้องไปสืบว่าอวี๋เคอได้ไปทำอะไรมาบ้างกันแน่ใน่ที่ผ่านมา
เื่ที่อวี๋เคอมอบหมายให้กู้จิ่นเฉิงไปทำนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการให้เขาไปตรวจสอบนิมิตของ์ของหลายวันก่อนว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรของสัตว์อสูรบริเวณใกล้เคียงกับวังปีศาจบ้างและถามเขาว่ามีเื่ใหญ่อะไรเกิดขึ้นในแดนปีศาจใน่สองปีที่ผ่านมาบ้างไหมและมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้หรือไม่ กู้จิ่นเฉิงไล่ตอบคำถามเหล่านี้ทีละคำถามซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่หวังตัวจวี๋คุยกับเขาเลย
อวี๋เคอรู้สึกเบาใจลงได้บ้างอย่างน้อยเขาก็ลดอคติที่มีต่อกู้จิ่นเฉิงลงเพราะ่เวลาก่อนหน้านี้เขาถูกหวังตัวจวี๋ทำให้คล้อยตามจนเกิดความหวาดระแวงต่อกู้จิ่นเฉิงขึ้นมากตอนนี้ดูเหมือนว่าตนจะใจแคบไปแล้วจริงๆ จากนั้นก็รู้สึกขำขันขึ้นมาชั่วขณะตนเองก็เหมือนกับเด็กประถมส่วนกู้จิ่นเฉิงก็คืออาจารย์ที่คอยจับตาดูเขาอยู่นอกหน้าต่าง ที่ความจริงแล้วไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยแต่ทำให้เขามักเกิดอาการหวาดระแวงว่าจะถูกฆ่าอยู่เสมอ
เขาไม่ผ่อนคลายก็ไม่เป็ไรแต่พอผ่อนคลายก็ชอบคิดเพ้อเจ้อ เมื่อเห็นกู้จิ่นเฉิงยืนตัวตรงอยู่ใต้แท่นพระที่นั่งกำลังเล่าเื่ราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแดนปีศาจออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอวี๋เคอก็เกิดความสนใจอยากจะหยอกล้อกู้จิ่นเฉิงขึ้นมา เขานั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนบัลลังก์หัวอสูรในท้องพระโรง ตั้งข้อศอกขึ้นค้ำคางแล้วเอ่ยปากขัดจังหวะกู้จิ่นเฉิงในทันที “จิ่นเฉิงเ้ามีคนที่ชอบหรือไม่? ”
ในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” เหล่าหญิงสาวล้วนมุ่งความสนใจไปที่ตัวเอกฉากความรักของตัวละครสมทบเหล่านี้จึงไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้เลยแม้แต่น้อยคิดดูแล้วกู้จิ่นเฉิงคอยรับใช้อยู่ข้างกายอวี๋เคอมาก็หลายปีขนาดนี้อย่างไรเสียอายุก็ต้องปาเข้าไปหลายร้อยปีแล้วชาวเผ่าปีศาจก็ไม่ได้มองตัวเองสูงส่งหรือยึดมั่นในคุณธรรมเหมือนผู้ฝึกตนเ่าั้หากเขาไม่มีคนที่ชอบเลยก็คงจะผิดปกติเกินไปแล้ว
จู่ๆ กู้จิ่นเฉิงก็ถูกถามเช่นนี้ จึงดูอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัดใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงมานับหมื่นปีก็ได้เกิดรอยร้าวขึ้นแล้วเช่นกัน “เหตุใด จู่ๆ นายท่านถึงถามเื่นี้ขึ้นมาเล่าขอรับ? ”
“ก็ข้าแค่สงสัย” แค่สงสัยที่ไหนกันเล่า! อวี๋เคอรู้สึกได้เลยว่าไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้ลุกโชนขึ้นมาแล้ว!เขาไม่ปรารถนาให้ตัวละครที่เขาเขียนเป็พระที่จิตบริสุทธิ์มักน้อยนอกจากตัวเอกกับอวี๋เคอหากไม่สร้างคู่ครองให้ชีวิตแล้วจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างไร?
กู้จิ่นเฉิงถอนหายใจ พร้อมกับหลุบตาลงแล้วตอบกลับอย่างเยาะเย้ยตัวเองว่า “เคยมีขอรับแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
ในท้องพระโรงที่โล่งและกว้างมีเพียงเสียงของกู้จิ่นเฉิงที่สะท้อนกลับออกมาเบาๆ ทว่ากลับแผ่ความเ็าลอยล่องออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หัวใจของอวี๋เคอเต้นโครมคราม แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้จู่ๆ ก็ไม่กล้าถามต่อเสียอย่างนั้น