บทที่ 145 เปลี่ยนภัยเป็โชค
“ทำไมล่ะ?” สวี่จือจือถามด้วยความโกรธ “เขาคือตัวการ เขาคือคนที่สั่งให้คนมาลักพาตัวฉัน”
“เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ลู่จิ่งซานตบมือสวี่จือจือเบาๆ พูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องรีบร้อน”
สวี่จือจือไม่พูดอะไร เธอเข็นรถเข็นของลู่จิ่งซานเข้าไปในลานบ้าน
ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะชื่นชมวิวทิวทัศน์ของเรือนสี่ประสานนี้อีกต่อไปแล้ว
“พี่หังให้ผมเฝ้าอยู่หน้าสถานีตำรวจ ถ้ามีข่าวอะไรจะรีบมารายงาน” เอ้อร์เหมาเล่า “วันนี้ตำรวจเรียกหวงซานไปสอบปากคำ แต่ไม่รู้ทำไม ไม่นานก็ปล่อยตัวกลับมา”
“อย่าท้อนะพี่สะใภ้” เซียวหังยิ้มแล้วรินน้ำให้สวี่จือจือและลู่จิ่งซาน “ครั้งนี้แค่การสอบปากคำตามปกติเท่านั้น”
“ตราบใดที่สองคนนั้นยังไม่ซัดทอดหวงซาน” ลู่จิ่งซานกล่าว “หวงซานก็จะไม่เป็อะไร”
เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานยืนยันว่าหวงซานเป็ผู้บงการ
“แล้วจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้เหรอ?” สวี่จือจือถาม
เธอไม่ยอมรับได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของพวกเขายังไม่สำเร็จ ใครจะรู้ว่าหวงซานจะใช้วิธีสกปรกอะไรอีก
“ปล่อย?” ลู่จิ่งซานยิ้มบางๆ มองสวี่จือจือแล้วพูด “ถ้าผมไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะปกป้องคุณได้ ผมก็ไม่คู่ควรที่จะบอกว่ารักคุณ หรือขอให้คุณอยู่เคียงข้างผม”
หน้าที่ของสามีคืออะไร?
ถ้าปกป้องภรรยาของตัวเองไม่ได้ จะเรียกว่าผู้ชายได้ยังไง?
แค่เหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนี้ ฝั่งหวงซานคงผลักคนออกมารับโทษแทนแน่ สำหรับหวงซานเอง ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนหรือจุดอ่อนอะไรให้จับได้ จึงยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
แต่ในสายตาของลู่จิ่งซาน คนคนนี้ไม่ใช่แค่อันธพาลธรรมดาอย่างที่ข่าวลือบอกแน่นอน
แล้วยังไงล่ะ?
เซียวหังกับหวงซานไม่ถูกกันอยู่แล้ว และในมือเขาก็มีจุดอ่อนของหวงซานอยู่บ้าง
ตอนนั้นลู่จิ่งซานให้เซียวหังเอาจุดอ่อนเ่าั้มาให้เขาดู เขาค้นหาจุดที่คิดว่าสามารถเจาะเข้าไปได้ แล้วให้คำแนะนำกับเซียวหัง
น่าแปลกที่จุดอ่อนเหล่านี้เซียวหังเป็คนรวบรวมเองแท้ๆ แต่พอฟังลู่จิ่งซานพูด เขากลับสงสัยว่าลู่จิ่งซานรู้เื่นี้มาก่อนหรือเปล่า
ลู่จิ่งซานสมชื่อจริงๆ วิธีที่เขาเสนอทั้งแยบยลและกล้าได้กล้าเสีย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็วิธีที่ได้ผลที่สุด
“ไปจัดการเถอะ” ลู่จิ่งซานพูด “การเมตตาต่อศัตรูคือการโหดร้ายต่อตัวเอง บางครั้งนายทำอะไรก็คิดมากเกินไป”
ถ้าหลักฐานเหล่านี้อยู่ในมือเขา เขาคงส่งหวงซานเข้าคุกไปนานแล้ว จะไม่ปล่อยให้มันะโโลดเต้นอยู่นอกคุกนานขนาดนี้ จนถึงขั้นมาคิดแผนร้ายใส่สวี่จือจือ
ส่วนที่ว่าทำไมหวงซานถึงจ้องเล่นงานสวี่จือจือ ลู่จิ่งซานไม่รีบร้อน รอให้กลับไปก่อน เขาจะสืบให้ชัดเจนทีละคน
เช้าวันรุ่งขึ้น สวี่จือจือพาลู่จิ่งซานไปหาหมอกู่แต่เช้า ถึงแม้จะมีผลวินิจฉัยจากหัวหน้าแผนกกระดูกแล้ว สวี่จือจือก็ยังไม่วางใจ เพราะเธอจำได้ชัดเจนว่า ในนิยายหมอกู่คนนี้คือคนที่รักษาขาของลู่จิ่งซานให้หายดี
“ไอ้หนู” หมอกู่ดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ แล้วตรวจขาของลู่จิ่งซานอย่างละเอียด “เรียกได้ว่าเปลี่ยนภัยเป็โชคล่ะ”
“แต่นายก็โชคดีมาก” หมอกู่พูดอย่างจริงจัง “นี่มันก็แค่เื่บังเอิญ”
“หมายความว่ายังไงคะ?” สวี่จือจือถาม
“เส้นเอ็นที่ขามีจุดหนึ่งที่ถูกกระแทกจนเปิดทางได้” หมอกู่กล่าว “สูตรยาของฉันต้องปรับใหม่หน่อยแล้ว”
“แล้วก็เื่ฝังเข็ม เธอ…เมียของไอ้หนูหน้าเหม็นนี่เหรอ?” หมอกู่ชี้ไปที่สวี่จือจือแล้วถาม “งั้นก็เธอนี่แหละ มาหาฉันทุกวันเพื่อเรียนฝังเข็ม”
“ฉันเหรอคะ?” สวี่จือจือประหลาดใจ “คุณยอมสอนฉันจริงๆ เหรอคะ?”
ชายชราถลึงตาใส่เธอ “เด็กหนุ่มสาวแท้ๆ ทำไมหูถึงไม่ดีเลย!”
แต่วิชาฝังเข็มนี้เป็สุดยอดฝีมือของหมอกู่เลยนะ
การที่เขาจะสอนให้เธอแบบนี้ สวี่จือจือรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
แต่ชายชรากลับหยิบอุปกรณ์ฝังเข็มขึ้นมาแล้วเริ่มอธิบายให้สวี่จือจือฟัง “ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้นทำอะไร? มานี่สิ”
“ฉัน…ได้ค่ะ” สวี่จือจือลังเลแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้บานแล้วเดินเข้าไปใกล้ “คุณหมอกู่ ฉันไม่มีเข็มจะเรียนยังไงล่ะคะ?”
ชายชราเหลือบมองเธออย่างไม่พอใจ “วันนี้หาตำแหน่งจุดก่อน ดูว่าเธอเป็ยังไง ส่วนเข็ม…”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วมองไปที่เซียวหัง “พวกนายหาทางกันเอง”
พูดจบก็บอกจุด แล้วถามเซียวหัง “เคยได้ยินไหม?”
เซียวหังพยักหน้า
ชายชราไม่พูดอะไรต่อ เริ่มสอนสวี่จือจือเื่ตำแหน่งจุดฝังเข็ม
เื่จุดฝังเข็มอะไรนี่ สวี่จือจือในชาติก่อนรู้อยู่บ้าง พ่อบุญธรรมของเธอเคยทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรม แม่บุญธรรมไม่รู้ไปหาวิธีการนวดจุดจากไหนมา ทุกคืนจะนวดให้พ่อบุญธรรม
ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด
ต่อมางานนี้ได้กลายเป็ของสวี่จือจือแทน
หลังจากนั้น เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ในเมืองหลวงได้ แต่น่าเสียดายที่เรียนได้แค่ครึ่งเทอมก็ทะลุมิติมาที่นี่
ตอนนี้การได้มีโอกาสเรียนวิชาฝังเข็มจากสุดยอดฝีมืออย่างหมอกู่ เป็สิ่งที่มีค่ามากสำหรับสวี่จือจือ
เธอจึงตั้งใจฟังอย่างมาก
หมอกู่เห็นท่าทางของเธอก็แอบพยักหน้าในใจ ไม่น่าเชื่อว่าไอ้หนุ่มหน้าเหม็นนี่สายตาดี หาเมียได้น่าพอใจขนาดนี้
ดังนั้น คนหนึ่งอยากสอน อีกคนตั้งใจเรียน บรรยากาศเลยลงตัวดี
หมอกู่พบว่าเด็กสาวคนนี้ฉลาดมาก คำถามที่ถามล้วนแต่ตรงจุด เขาจึงสอนลึกขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน” หมอกู่พูดด้วยท่าทางที่ยังค้างคา
เมื่อกลับถึงเรือนสี่ประสาน สวี่จือจือยังคงจมอยู่กับสิ่งที่เรียนมา เธอยืมสมุดกับปากกาจากเซียวหัง แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนและวาดอะไรบางอย่าง
“พี่สะใภ้เป็อะไรไป?” เซียวหังถามด้วยความสงสัย
“คงจดบันทึกมั้ง” ลู่จิ่งซานยิ้ม พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินสวี่จือจือพูดว่า “ลู่จิ่งซาน คุณ…มานี่หน่อยสิ”
มีจุดหนึ่งที่เธอไม่แน่ใจ อยากลองที่ตัวลู่จิ่งซาน
เซียวหังเลิกคิ้ว “นายรีบไปเถอะ อ้อ คืนนี้ฉันไม่นอนที่นี่ พรุ่งนี้จะมารับ”
พรุ่งนี้ไม่ต้องฝังเข็ม แต่ต้องไปที่สถานีตำรวจ
“ช่วยฉันสืบหน่อยว่ามีเรือนสี่ประสานที่เหมาะๆ บ้างไหม” ลู่จิ่งซานพูด
“ได้เลย” เซียวหังยิ้ม
เมื่อก่อนลู่จิ่งซานเคยพักที่เรือนสี่ประสานของเขา แต่ไม่เคยคิดจะหาที่เป็ของตัวเองที่นี่เลย
จุ๊ๆ…ผู้ชายนี่นะ!
“ฝั่งตระกูลเซียวล่ะ?” ลู่จิ่งซานถาม
“ฉันจัดการเอง นายไม่ต้องยุ่ง” เซียวหังพูด
“หังจื่อ เื่นี้ปล่อยวางเถอะ” ลู่จิ่งซานพูด “บัญชีนี้ยังไงฉันก็ต้องจัดการเอง”
เขาไม่อยากให้เซียวหังที่อยู่ตรงกลางต้องลำบากใจ
เซียวหังได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วตีไหล่เขา “นายเป็พี่ฉัน พี่แท้ๆ คนอื่นจะมีใครเทียบได้เหรอ?”
พูดจบไม่รอให้ลู่จิ่งซานพูดอะไรต่อ โบกมือ “ไปล่ะ”
เซียวหังเดินถึงประตู ยังได้ยินเสียงสวี่จือจือจากในลานบ้าน “จุดนี้เหมือนไม่ถูกต้อง ฉันกดดูหน่อยนะ คุณรู้สึกยังไงบ้าง”
“เอาสิ” เขาได้ยินน้ำเสียงของลู่จิ่งซาน นุ่มนวลอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
เซียวหังยิ้มพลางปิดประตู พอหมุนตัวกลับ สีหน้ายิ้มแย้มก็หายไป
เื่ในวันนี้ เขาจะไปที่ตระกูลเซียวสักหน่อย
.............................