แม้ว่าเยี่ยนเจาเจาจะเป็คนพาเยี่ยนฟางหวาเข้าวัง แต่ก็ไม่ได้คิดจะให้เยี่ยนฟางหวาตามตนไปทุกที่แต่แรกอยู่แล้ว
ที่นางยอมพาเข้าวังเป็เพียงความคิดชั่ววูบ อีกทั้งฮองเฮายังไม่ชอบพบฝูงนกกระจิบนกกระจอกพวกนี้ด้วย
บางทียามนี้เยี่ยนฟางหวาเองก็อาจจะกำลังพูดคุยกับเหลียงอินอย่างสนุกสนานจนลืมนางไปแล้วก็ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเยี่ยนเจาเจาก็ยิ้มเยาะบางๆ
“เจาเจายิ้มอะไรน่ะ?”
ฮองเฮาโอบเยี่ยนเจาเจาอยู่จึงทันเห็นรอยยิ้มนั้นของนางพอดี
“ข้าแค่คิดถึงพี่สาวแสนดีขึ้นมาเท่านั้น เมื่อครู่นางได้ยินว่ามีองค์ชายอยู่ในสวนอวี้ฮวาหยวน นางเลยบอกว่าจะไปดูหน่อยเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาเอ่ยอย่างไม่แยแส
สีพระพักตร์ฮองเฮาไม่น่ามองดังคาด พระองค์เม้มพระโอษฐ์เล็กน้อยก่อนเอ่ย “พวกไม่รู้จักแยะแยะ”
ไม่รู้ว่าวลีนี้ด่าเหลียงอินหรือเยี่ยนฟางหวา แต่ค่อนข้างเหมาะสำหรับพวกเขาทั้งสองคนทีเดียว
“ท่านป้า หลายวันก่อนที่ท่านรั้งท่านพ่ออยู่ในวัง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจานึกได้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยนเหิงถูกรั้งอยู่ในวัง พอลองโยงไปถึงเื่ราวที่บังเอิญพบวันนี้ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางรู้สึกเหมือนจับเงื่อนงำบางอย่างในหัวตนได้ เมื่อไตร่ตรองมากขึ้นก็นึกเื่ผิดปกติได้เื่หนึ่ง
ชาติก่อนใน่เวลาประมาณนี้ ท่านพ่อก็อยู่ในวังไม่ได้กลับจวนหลายวันเช่นกัน และอีกสองวันต่อมาท่านป้าก็ประทานนางข้าหลวงรูปงามคนหนึ่งมาให้
นางข้าหลวงคนนั้นคล้ายจะเป็สาวงามจากสกุลซ่ง เดิมทีคือหนึ่งในนางข้าหลวงที่คอยปรนนิบัติฮองเฮาอ่านหนังสือในห้องทรงพระอักษร เมื่อได้ยินว่านาง้าสอนหนังสือให้เยี่ยนเจาเจา พระองค์จึงประทานให้สวนมวลบุปผาหอม
ในชาติที่แล้วนางข้าหลวงผู้นี้ไม่ได้ก่อคลื่นลมอะไร และเยี่ยนเหิงก็ไม่ได้ให้เยี่ยนเจาเจาเรียนหนังสือกับนาง
หลังจากนางข้าหลวงมาอยู่ที่สวนมวลบุปผาหอมไม่ถึงสองเดือนก็ย้ายจากบ้านสามจวนเยี่ยนไปรับใช้ท่านย่าบ้านสาม ระหว่างนั้นก็อยู่เหมือนคนไร้ตัวตนมาตลอด ก่อนจะตายจากไปภายในสองปี
ตายแล้ว...
มีจุดน่าสงสัยมากมาย
จนเยี่ยนเจาเจารู้สึกแปลกๆ
ดูเหมือนยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ทว่านางจำแทบไม่ได้แล้ว
น่าเสียดายที่ชาติก่อนนางในวัยนี้มัวสนใจแต่เล่นจึงจำเื่ราวต่างๆ ได้เพียงเลือนราง พอมายามนี้คิดอย่างไรก็รู้สึกแปลกประหลาด ทั้งยังรู้สึกเสียใจที่จำไม่ได้
แต่ลางสังหรณ์ของนางบอกว่าชาตินี้นางข้าหลวงคนนั้นไม่มีทางได้เดินเข้าเรือนตนเองแน่
ฮองเฮาถอนพระปัสสาสะ “หากข้าบอกเ้าแล้ว เ้าห้ามนำไปบอกแม่ของเ้าเล่า”
เป็เื่ที่ต้องปิดบังท่านแม่?
เยี่ยนเจาเจาไม่เคยได้ยินเื่นี้ในชาติก่อน นางจึงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พลางเงยหน้ามองพระองค์
“พ่อเ้าทะเลาะกับคนในห้องทรงพระอักษรจนหน้าเสียโฉม ข้าไม่กล้าให้แม่ของเ้ารู้จึงรั้งตัวเขาไว้ที่ซีย่วนสองวัน หลังจากเรียกหมอหลวงมารักษาแผลบนแก้มเขาจนหายดีแล้วก็ค่อยปล่อยเขาออกไป”
ซีย่วนคือที่ประทับของเหล่าองค์ชาย ด้วยตำแหน่งราชครูของเยี่ยนเหิง การพักอยู่ซีย่วนสักระยะหนึ่งจึงถือว่าปกติ
ทว่าเยี่ยนเหิงไม่ได้มีนิสัยหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น แม้เขาดื้อรั้นหัวแข็งแต่ก็สง่างามอย่างยิ่ง เขาไม่เคยลงมือกับผู้ใดก่อน นับประสาอะไรกับในห้องทรงพระอักษร
“ท่านพ่อทะเลาะกับผู้ใดหรือเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาสอบถาม
ฮองเฮาไม่ตรัสคำใดอีก เพียงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันว่าเมื่อหลายวันก่อนทางอาณาจักรตะวันออกกลางได้ถวายแมวขนสีขาวราวหิมะคู่หนึ่งมาเป็เครื่องราชบรรณาการ จึงจะยกให้เจาเจาหนึ่งตัว
เมื่อพระองค์ไม่บอกเช่นนี้ ย่อมเป็ไปได้อยู่สองกรณี
ประการแรกคือเื่ราวพูดยาก ไม่ควรบอกเจาเจา
ประการที่สองคือตอนแรกเป็เื่ปั้นแต่ง จึงกุตอนหลังต่อไม่ได้
ซึ่งไม่ว่าจะกรณีไหน เยี่ยนเจาเจาก็รู้สึกว่าเื่นี้มันไม่ปกติทั้งสิ้น
ในเมื่อพระองค์ไม่อยากบอก หากดึงดันถามต่อคงดูมีเจตนาไม่ดี เจาเจาจึงแสร้งทำท่าทางดีอกดีใจที่จะได้แมวราวกับเด็กไม่รู้ประสา ทว่าในใจกลับฉงน
เยี่ยนเจาเจาคิดว่าเื่นี้ไม่ปกติ ขณะที่ริมฝีปากนางเอ่ยถามว่าแมวตัวนั้นหน้าตาเป็อย่างไร นางก็พยายามคิดย้อนกลับไปว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่นางกลัวว่าฮองเฮาจะมองออกว่านางแปลกไป จึงทำทีเป็ฟุบลงบนหัวเข่าและหลับตาลง ในหัวพลันหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว
นางข้าหลวงคนนั้นนามว่าอะไรนะ...
ทันใดนั้นเยี่ยนเจาเจาก็คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้
หลังจากนางข้าหลวงเข้ามาอยู่ในสวนมวลบุปผาหอมไม่นานก็ไปอยู่ที่บ้านสาม แล้วนางไปทำอะไรที่บ้านสาม?
เยี่ยนเจาเจาจำได้อีกว่าในชาติก่อนขณะที่นางเล่นกับพี่น้องบ้านรองในจวน พลันได้ยินเสียงฮูหยินสาม หรือก็คือซ่งซื่อ ผู้เป็ภรรยาใหม่ท่านปู่ของนางกำลังด่าทอเหยียดหยามใครบางคนผ่านกำแพงอีกด้านหนึ่ง
“ซ่งฝูจิน เ้ามันนางโลมไร้ยางอาย ยามอยู่ในเรือนก็ล่อลวงน้องชางของข้า ยามอยู่ในวังก็ไม่ซื่อสัตย์ น้องชางต้องล่วงเกินคนในสวนมวลบุปผาหอมผู้นั้นเพราะเ้า ตอนนี้มาอยู่บ้านสามยังหลอกล่อคนอื่น...”
คำพูดนี้หยาบคายจาบจ้วง มิใช่สิ่งที่คุณหนูยังไม่ออกเรือนควรฟัง พี่น้องหญิงจึงรีบลากเจาเจาออกไป แล้วนางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีก
ซ่งฝูจิน...
พริบตานั้นเอง เยี่ยนเจาเจาจำได้อย่างรวดเร็วว่าซ่งฝูจินคือนามของนางข้าหลวงที่ถูกพระราชทานมาคนนั้น
ไม่เพียงแค่นามของซ่งฝูจินเท่านั้นที่เยี่ยนเจาเจาจำได้ นางยังจำความสัมพันธ์ระหว่างซ่งฝูจินกับท่านย่าสามได้ด้วย หากนับดูแล้วก็ถือว่าท่านย่าสามเป็ท่านป้าแท้ๆ ของซ่งฝูจิน
คนในสวนมวลบุปผาหอมที่ท่านย่าสามกล่าวถึง หากมิใช่ท่านแม่ก็คงเป็ท่านพ่อของเจาเจา แล้วเื่ราวเ่าั้จะเกี่ยวข้องกับเื่วันนี้หรือไม่?
พอนึกเื่นี้ได้ เหตุการณ์ถัดไปก็โผล่ขึ้นมาในความทรงจำของเยี่ยนเจาเจา
หลังจากที่ซ่งฝูจินอยู่บ้านสามได้ไม่นาน ข้างนอกก็มีข่าวลือว่าองค์หญิงเอาใจออกหาก ถึงกับมีคนส่งสารลับลายมือองค์หญิงฉบับหนึ่งผ่านฝ่ายตรวจการมายังเบื้องพระพักตร์ของฮองเฮา
ซึ่งเนื้อหาต่างๆ ในสารลับก็ไม่ต่างจากข่าวลือข้างนอก
เื่นี้ก่อความโกลาหลใหญ่โต โดยเฉพาะหลังจากที่ฮองเฮาเรียกองค์หญิงเข้าพบ แล้วทั้งสองดูเหมือนจะถกเถียงกันอย่างรุนแรงในตำหนัก
ต่อมาองค์หญิงจึงส่งมอบอำนาจทางทหารเกินกว่าครึ่งในมือของตนคืนฮองเฮา จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ ประชวร หลายปีผ่านไปอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ประจวบกับาตึงเครียดอีกครา องค์หญิงเลยยืนกรานจะออกศึกโดยไม่สนใจการห้ามปรามของเยี่ยนเหิงจนพลีชีพในสมรภูมิรบหลังจากนั้น
เมื่อปะติดปะต่อเื่ราวเข้าด้วยกัน เยี่ยนเจาเจารู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเต้นรัวขึ้น
นางกลับมามีชีวิตใหม่ทำให้สามารถมองภาพรวมจากทุกอย่างได้ แล้วเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเื่เหล่านี้มีแผนการร้ายซ่อนอยู่?
แต่เยี่ยนเจาเจาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเป็เพราะท่านป้าระแวงท่านแม่จนจงใจสร้างสถานการณ์มาใส่ร้าย
ฮองเฮาเป็ผู้พระราชทานอำนาจให้ท่านแม่ด้วยพระองค์เอง หลังจากที่ท่านแม่มอบอำนาจทางการทหารกลับคืนให้ฮองเฮาในตอนที่มีปากเสียงกันคราวนั้น พระองค์ก็ยังไม่ยอมรับกลับคืนไปด้วยซ้ำ
หมายความว่าต้องมีคนคอยขัดแข้งขัดขาอยู่แน่
คิดได้ดังนั้นเยี่ยนเจาเจาก็นึกไปถึงเื่ราวที่พบเมื่อเช้า นางจึงเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้า ท่านรู้ไหมว่าวันนี้ตอนที่ข้าเล่นซ่อนหากับพี่ชายรองในสวนอวี้ฮวาหยวน หลังจากเดินวนประมาณสองรอบ ข้ากับพี่ชายรองก็ไปหลบแถวตำหนักเย็น คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงคนสองคนทะเลาะกันเ้าค่ะ”
“ทะเลาะกันแถวตำหนักเย็นหรือ?”
ฮองเฮาสนพระทัยขึ้นมา
“ใช่เ้าค่ะ ข้าได้ยินเสียงผู้ชายตีผู้หญิง แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นรังแกผู้หญิงอย่างไร นางถึงได้ร้องอ๋าๆ ราวกับแมวตลอด น่าเสียดายที่ข้าไม่เห็นคน จากนั้นข้ายังเจอหยกพกหล่นตรงแถวนั้นด้วยเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาเอ่ยเหมือนใคร่รู้อย่างยิ่ง
ฮองเฮาเองก็คงพอคาดเดาเื่ราวได้คร่าวๆ สีพระพักตร์จึงดูไม่ดีนัก ทว่ากลับยังคล้อยตามและเอ่ยถามเจาเจาต่อ “หยกพกนั่นมีลักษณะอย่างไรหรือ?”
เจาเจายิ้ม “ดูธรรมดา แต่เนื้อหยกดีเยี่ยมเ้าค่ะ”
ฮองเฮาหยิบชาบนโต๊ะมาดื่ม เริ่มหมดความสนพระทัยในเื่นี้
พลันเยี่ยนเจาเจาก็กล่าวต่อว่า “คลับคล้ายคลับคลาเหมือนข้าจะได้ยินผู้ชายคนนั้นเรียกผู้หญิงว่าอาจินเ้าค่ะ”
หลังเยี่ยนเจาเจากล่าวจบ พระหัตถ์ของฮองเฮากลับสั่นเทาจนถ้วยชาลายครามพลิกคว่ำร่วงลงบนต้นขาของเยี่ยนเจาเจา ก่อนจะกลิ้งตกไปที่ปลายเท้าแล้วแตกกระจายเต็มพื้น
นางไม่คาดคิดว่าแค่คำพูดนั้นจะก่อให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้
ทว่าฮองเฮายังคงไม่รู้ตัวว่าชาร้อนในถ้วยได้ราดลงบนต้นขาเยี่ยนเจาเจาแล้ว
แม้วันนี้เยี่ยนเจาเจาจะสวมชุดเนื้อผ้าหนา แต่น้ำชาในถ้วยนั้นก็ร้อนจัด อีกทั้งผิวของนางยังบอบบางมากมาแต่อ้อนแต่ออก เกรงว่าจะโดนลวกเป็แผลเสียแล้ว
