จิ้งหยุนยังคงยืนอยู่ข้างๆ หลินเฟิง นางเพิ่งอยู่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 เท่านั้น นางอ่อนแอเกินไป โดยทั่วไปแล้วขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ถือว่ามีสถานะที่ต่ำที่สุดในหุบเขาเมฆพายุแห่งนี้ ดังนั้นที่นี่จึงไม่เหมาะสำหรับการฝึกฝนของนาง
หานหมานเข้าใจเจตนาของหลินเฟิงดี ถ้าหลินเฟิงมัวแต่ปกป้องเขาแล้วจะได้ประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดในเส้นทางแห่งนักรบก็คือ การพึ่งพาตนเอง
ไม่นานหลังจากที่เดินคนเดียว ก็มีคนเดินเข้ามาหาหานหมาน ในช่องดวงตาบนหน้ากากเผยให้เห็นแววตากระหายการต่อสู้
ไม่พูดให้เสียเวลา ชายที่สวมหน้ากากก็พุ่งเข้ามาหาหานหมานทันที พร้อมกับปล่อยหมัดออกไป
“หานหมานนี่ซวยจริงๆ คนคนนี้อยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เชียวนะ” หลินเฟิงยิ้มบางๆ หานหมานได้ประเมินระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามจากกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมา แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายจะอยู่เหนือกว่าแต่เขาก็ไม่ถอยหนี หานหมานรวบรวมลมปราณไว้ที่กำปั้นของเขา และปล่อยหมัดที่ทรงพลังออกไปต้านรับการโจมตีนี้
เพียงหมัดเดียวก็ทำให้หานหมานกระเด็นถอยหลังไปหลายสิบก้าว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว ดูก็รู้ว่าใครจะชนะ
“ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ฝ่ายตรงข้ามพูดอย่างเฉยเมยแล้วเดินจากไปทันที เขาหมดความสนใจต่อหานหมาน คนบางคนสนุกสนานกับการยั่วยุและทุบตีคนที่อ่อนแอกว่า แต่คนบางคนกลับไล่ตามความแข็งแกร่ง และเกลียดชังการถูกคนอื่นยั่วยุ คนพวกนี้จะคอยเสาะหาผู้คนที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกันหรือมากกว่าเพื่อประลองฝีมือ ด้วยวิธีนี้จะสามารถกระตุ้นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมา และได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้อีกด้วย
“ช้าก่อน” นี่เป็ครั้งแรกที่หานหมานเข้ามาในหุบเขาเมฆพายุแห่งนี้ แล้วเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร หานหมานปลดปล่อยจิติญญาของเขาออกมา แสงสีเหลืองปกคลุมไปทั่วร่างของเขาราวกับว่าหานหมานได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับปฐี และกลิ่นอายของเขาก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“จิติญญาแห่งปฐี” ชายคนนั้นเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา และพูดกับหานหมานว่า “จิติญญาของเ้าไม่เลวเลยนี่ ดูสิว่าเ้าจะรับหมัดของข้าได้ถึง 3 หมัดหรือไม่”
หลังจากฝ่ายตรงข้ามพูดจบ เขาก็กระโจนเข้าใส่หานหมานอย่างรวดเร็ว
“ตูม!” ฝุ่นดินสีน้ำตาลอ่อนฟุ้งกระจาย หานหมานถูกทำให้ถอยร่นไปข้างหลัง 5 - 6 ก้าว และมีเืซึมออกมาจากมุมปากของเขา
“อีกครั้ง” หานหมานกล่าวขณะเช็ดเืที่มุมปาก เขาไม่คิดที่จะถอยกลับ แสงสีเหลืองที่ล้อมรอบร่างของเขายิ่งสว่างสดใสขึ้นกว่าเดิม
“ตูม!!!” เสียงะเิดังสนั่น หานหมานถูกบังคับให้ถอยหลังไป 8 ก้าว แต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังไป 3 ก้าวเช่นกัน
“สะใจจริงๆ” อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทันใดนั้นหมัดของเขาก็มีแสงสว่างสีขาวนวลออกมา ก่อนที่จะโจมตีรอบสุดท้าย เขาก็กล่าวเตือนหานหมานว่า “ระวังด้วย ข้าจะเริ่มใช้เคล็ดวิชาแล้ว”
“ดี” หานหมานตอบกลับและพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที แต่ละก้าวของหานหมานทำให้พื้นดินสั่นะเือย่างรุนแรง
“ยืมพลัง” แววตาของหลินเฟิงเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ คิดไม่ถึงว่าการประลองในครั้งนี้จะช่วยให้หานหมานเข้าใจหลักการยืมพลังจากปฐีมากขึ้น จิติญญาแห่งปฐีจะช่วยเพิ่มพลังให้เขามหาศาล
“ตูม!!!” ทันทีที่หมัดทั้งสองคนได้ปะทะกัน ฝุ่นละอองบนพื้นก็ฟุ้งกระจายออกไปทุกสารทิศ เมื่อฝุ่นละอองหายไป หานหมานก็นั่งอยู่บนพื้นดิน ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ตระหนักรู้อยู่สินะ” ชายคนนั้นยิ้มให้กับหานหมาน เขามีเืไหลออกมาจากมุมปาก ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเลยว่า การโจมตีครั้งสุดท้ายของหานหมานจะทรงพลังขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับาเ็ แต่มันก็คุ้มค่า เพราะตัวเขาเองก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการต่อสู้ในครั้งนี้
ชายคนนั้นเดินจากไปเงียบๆ และไม่ได้เข้ามารบกวนหานหมาน
“ช่างเป็คนที่น่าสนใจจริงๆ” หลินเฟิงและจิ้งหยุนเดินเข้าไปหาหานหมาน พวกเขารู้สึกนับถือชายคนเมื่อกี้มาก คนคนนั้นเป็ลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
หลินเฟิงกับจิ้งหยุนรู้ว่าหานหมานกำลังอยู่ในวินาทีแห่งการตระหนักรู้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่ง ทั้งสองคนนั่งลงข้างๆ หานหมานและรอคอยอีกฝ่ายเงียบๆ
วินาทีแห่งการตระหนักรู้นั้นมันเกิดขึ้นได้ยากมาก สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ววินาทีแห่งการตระหนักรู้เป็สิ่งที่พบเจอได้ แต่แสวงหาไม่ได้ หลังจากที่หานหมานลืมตาขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องก้าวะโอย่างแน่นอน หลินเฟิงและจิ้งหยุนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพียงเข้ามาที่หุบเขาเมฆพายุไม่ทันไร ก็ได้พบวินาทีแห่งการตระหนักรู้เสียแล้ว หานหมานช่างโชคดีจริงๆ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จู่ๆ ร่างกายของหานหมานก็เริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา ทำให้หลินเฟิงและจิ้งหยุนต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“นี่เป็พลังที่แข็งแกร่งมาก ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเจือไปด้วยกลิ่นอายโบราณ นี่คือพลังของวินาทีแห่งการตระหนักรู้?” หลินเฟิงคิดในใจอยู่เงียบๆ เส้นทางแห่งนักรบ เป็เส้นทางที่ยาวไกลราวกับไร้ซึ่งปลายทาง ตอนนี้หลินเฟิงเพียงแค่เริ่มออกเดินทางเท่านั้น เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าพลังของผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง จะทรงพลังมากจนถึงขนาดย้ายูเา ผ่ามหาสมุทร หรือแม้แต่ทำลายโลกหล้า
“ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่บ่มเพาะไปจนถึงระดับจักรพรรดิ จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เป็ะ กายเนื้อไม่สามารถทำลายได้... นั่นเป็ความแข็งแกร่งระดับไหนกัน” หลินเฟิงปรารถนาว่า สักวันหนึ่งเขาจะอยู่เหนือผู้คนบนทวีปเก้า์
ในขณะที่หลินเฟิงกำลังจินตนาการอยู่นั้น ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก ได้มีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา เมื่อคนคนนั้นเห็นหานหมานกำลังอยู่ในสภาวะวินาทีแห่งการตระหนักรู้ก็แสยะยิ้มอย่างเ็าขึ้นมา
“ตื่นซะ” เสียงะโดังกล่าว ทำให้บรรยากาศสั่นะเืและทำให้หลินเฟิงกับคนอื่นๆ ตื่นตระหนก
“แค่ก!” จู่ๆ หานหมานก็กระอักเืออกมาและหายใจหนักขึ้น
ดวงตาของหานหมานแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ พร้อมกับจ้องไปยังเงาสายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะรับรู้ถึงมันได้แล้ว อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะสามารถควบคุมพลังนั่นได้ แต่่เวลาที่สำคัญกลับถูกใครไม่รู้มารบกวน ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทงบนร่าง จนต้องกระอักเืออกมา
“ไร้ยางอาย” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็าขณะที่ลุกขึ้นยืน เขามองไปยังเงาคน ที่ยืนอยู่ไกลออกไปอย่างโมโห มันตั้งใจขัดจังหวะของหานหมาน ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
หานหมานเดินตรงไปหาคนคนนั้น พลางถามด้วยความโมโหว่า “ทำไม?”
“ก็ไม่ทำไม ข้าแค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง” คนคนนี้ไม่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ดังนั้นจึงเห็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจของมันได้อย่างชัดเจน พวกหานหมานทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครรู้จักคนคนนี้
“หยอกเล่น?” หานหมานทวนคำซ้ำอย่างเ็าขณะที่เดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะเข้าสู่วินาทีแห่งการตระหนักรู้ แต่คนคนนี้กลับตั้งใจขัดจังหวะและทำให้เขาได้รับาเ็
“หึๆ หรืออยากจะสู้? แต่มันคงไม่สะใจเท่าไร ถ้าต้องสู้กันในหุบเขาเมฆพายุ ถ้าเ้าอยากจะแก้แค้นล่ะก็ ทำไมเ้าไม่ไปที่ลานประลองเป็ตายล่ะ?” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน ราวกับว่าเขาไม่เห็นหานหมานอยู่ในสายตา
“ได้” ในใจของหานหมานเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และไม่ลังเลที่จะตอบตกลง
“แล้วข้าจะรอเ้า” ชายหนุ่มกล่าวขณะที่เดินไปยังทิศทางที่ลานประลองเป็ตายตั้งอยู่
“หานหมาน พลังของเ้านั้นยังไม่แน่ชัดเท่าไร การที่เ้าจะไปลานประลองเป็ตายมันอันตรายมาก” หลินเฟิงกล่าวเตือน
“ข้ารู้สึกได้ว่าการบ่มเพาะของมันอยู่ในระดับเดียวกันกับข้า ขอบเขตนักรบปราณขั้นที่ 8” คำตอบของหานหมานทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ หานหมานสามารถรับรู้ถึงระดับการบ่มเพาะของผู้อื่นได้?
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงระดับการบ่มเพาะของเ้าและจิ้งหยุน บางทีอาจจะเป็เพราะวินาทีแห่งการตระหนักรู้” หานหมานเห็นหลินเฟิงสงสัยจึงอธิบายออกมา
“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงยังคงรู้สึกแปลกใจ ส่วนจิ้งหยุนก็เดินตามหานหมานไปติดๆ หวังว่าจะเป็อย่างนั้นจริงๆ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ตามที่หานหมานกล่าวมา บางทีหานหมานอาจมีโอกาสชนะก็ได้
ลานประลองเป็ตายตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาเมฆพายุ และมีที่นั่งทั้งหมด 10 ที่ ซึ่งที่นั่งเหล่านี้ถูกจัดตั้งบนพื้นที่นูนขึ้นมา บริเวณรอบๆ ลานประลองล้วนเป็พื้นที่ราบ ดังนั้นจึงสามารถรับชมการประลองจากระยะไกลได้
ตอนนี้มีเงาร่างของคนสองคนเดินขึ้นไปบนลานประลอง ฉากนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างทันที ไม่ช้าก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาล้อมรอบลานประลอง
ถึงแม้ว่าจำนวนคนที่เขามาในหุบเขาเมฆพายุจะมีจำนวนมาก แต่คนที่เข้ามาในลานประลองกลับน้อยมาก ลานประลองเป็ตายเป็สถานที่ที่เดิมพันด้วยชีวิต ใครก็ตามที่มีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ก็ต้องมาตัดสินกันที่นี่ ซึ่งคนที่มาประลองกันมักจะมีระดับการบ่มเพาะที่เท่าเทียมกัน ไม่เช่นนั้นใครจะกล้าขึ้นไปที่ลานประลอง
ดังนั้นเมื่อหานหมานและอีกฝ่ายเข้ามาในลานประลอง ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆ พากันมามุงดู ไม่นานข่าวที่ว่ามีคนขึ้นไปประลองกันบนลานประลองเป็ตาย ก็แพร่สะพัดไปทั่วหุบเขาเมฆพายุ
“วันนี้ ณ ลานประลองเป็ตาย ชีวิตของเ้าจะต้องจบลงที่นี่” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวกับหานหมานพร้อมรอยยิ้มเ็าบนใบหน้า “หานหมาน จงจำไว้ว่าคนที่พรากชีวิตของเ้ามีนามว่า เจียงฮ่วย”
หลินเฟิงที่ยืนอยู่นอกลานประลองเป็ตาย พลันขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดประโยคนี้ ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เ้ารู้จักข้า?” หานหมานถามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฮ่าฮ่า” เจียงฮ่วยหัวเราะด้วยท่าทางชั่วร้าย ทันใดนั้นกลิ่นอายที่ทรงพลังพลันะเิออกมาจากร่างเขา พร้อมกับเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมาในอากาศ ขณะเดียวกันด้านหลังของเขาก็ปรากฏเปลวเพลิงออกมา นี่คือจิติญญาแห่งเปลวเพลิง
“เขาอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 จริงๆ ด้วย” หลินเฟิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เมื่อได้ัักับลมปราณของอีกฝ่าย
จิติญญาแห่งปฐีของหานหมานะเิพลังออกมา และพุ่งไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่เร็ว แต่ทุกย่างก้าวของเขาก็ปลดปล่อยลมปราณอันแข็งแกร่งออกมา
“ฝ่ามือแห่งเปลวเพลิง” เปลวเพลิงอันร้อนระอุก็ถูกยิงออกจากฝ่ามือ และพุ่งไปยังหานหมาน หานหมานหยุดวิ่งและยืนนิ่งประหนึ่งภูผาที่ตั้งตระหง่านท้าพายุฝน “หมัดผ่าูเา”
หมัดของทั้งสองคนปะทะกัน ทั้งหานหมานและเจียงฮ่วยต่างหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดูก็รู้ว่ายากที่พวกเขาทั้งสองคนจะยึดครองความได้เปรียบ
เจียงฮ่วยขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่าความแข็งแกร่งของหานหมานจะทัดเทียมกับเขา แต่ทว่ารอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เจียงฮ่วยปล่อยหมัดซ้ายของเขาออกไป แต่หานหมานก็ใช้ฝ่ามือของตนป้องกันการโจมตีไว้ได้ แต่ทว่าเจียงฮ่วยกลับโยนผงสีขาวใส่หน้าของหานหมาน
“ไปตายซะ” เจียงฮ่วยกล่าวพร้อมกับปล่อยหมัดออกไปที่หน้าอกของหานหมาน
“ไอ้สารเลว!!!” หลินเฟิงะโด่าและจะเข้าไปยังลานประลองเป็ตาย แต่กลับเห็นร่างของใครบางคนพุ่งเข้ามาขวางหน้าเขา
“ลานประลองเป็ตายเป็สถานที่ที่เดิมพันด้วยชีวิต ไม่ต้องรีบไปหรอก มันยังไม่ถึงรอบของเ้า” คนคนนี้กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น และทันทีที่จิ้งหยุนเห็นใบหน้าของคนคนนี้อย่างชัดเจนก็ะโออกมาว่า
“จิ่งฮ่าว”
เมื่อจิ้งหยุนเห็นคนที่ถูกหลินเฟิงต่อยก่อนหน้านี้อยู่ด้านหลังของจิ้งฮ่าว เื่ทั้งหมดก็พลันกระจ่างขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้