หลังจากถูกผ่าเป็สองซีก ต้นไม้กินคนก็ยังไม่สิ้นใจ หนวดจำนวนหนึ่งพยายามเชื่อมลำต้นทั้งสองซีกอีกครั้ง ไป๋เสียเห็นดังนั้นก็อดชื่นชมไม่ได้ “ช่างดื้อรั้นเสียจริง ดูท่าต้องใช้ไม้แข็งแล้ว”
ลู่เต้าที่อยู่ด้านในเอ่ยถาม “เผามันทิ้งเลยดีหรือไม่”
ไป๋เสียส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ต้นไม้นี่ไม่ธรรมดา ต้องเป็ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาธาตุไฟเท่านั้นถึงจะเผามันจนหมดสิ้นได้”
“แล้วทำอย่างไรดีเล่า” ลู่เต้ามองต้นไม้กินคนที่ถูกตัดขาดกำลังค่อยๆ ต่อติดอย่างร้อนใจ “ไม่เช่นนั้นเ้าฟันมันอีกทีดีหรือไม่”
“ไม่ได้เหมือนกัน” หนวดที่ถูกตัดขาดยังคงบิดตัวไปมา ไป๋เสียสังเกตเห็นจึงเอ่ยต่อ “ต้นไม้เช่นนี้ ต่อให้เ้าตัดมันทิ้งทั้งต้น สักพักมันก็จะงอกขึ้นมาใหม่จากส่วนที่ขาด ฉะนั้นต้องใช้วิธีเด็ดขาด”
“บังเอิญว่า...” ไป๋เสียหยิบยันต์สีขาวที่วาดด้วยหมึกชาดออกมาจากอกเสื้อ “ข้ามีวิธีจัดการมันพอดี”
ลู่เต้าเห็นยันต์ก็ตัวสั่นและคิดในใจทันที “ข้างในนี่มิใช่ผนึกดวงิญญาของจู้หลง สาวกสำนักภูตยันต์เอาไว้หรอกหรือ?”
จู้หลงที่จากไปด้วยความเคียดแค้น ปกติลู่เต้าก็แทบจะสะกดเขาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว บ่อยครั้งที่จู้หลงมักจะออกมาอาละวาดสาปแช่งลู่เต้าในยามค่ำคืน
ตอนแรกลู่เต้าก็รู้สึกหงุดหงิดจนนอนไม่หลับ แต่พอชินแล้ว เขาก็พบว่าการฟังเสียงสาปแช่งของจู้หลงกลับช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น ยามนี้หากเงียบไป เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเสียอย่างนั้น
ดวงิญญาของจู้หลงที่ััได้ว่าพลังิญญาในร่างของลู่เต้าถูกใช้ไปมากคิดว่าได้โอกาสแล้ว ก็พอดีกับที่ไป๋เสียหยิบยันต์ออกมา ก็ััได้ถึงความเย็นะเืไหลผ่านเส้นชีพจรเข้าสู่มือ
หากเป็คนธรรมดา คงถูกจู้หลงเข้าสิงในชั่วพริบตาแล้ว ทว่าครั้งนี้เบื้องหน้าจู้หลงไม่ใช่ลู่เต้า หรือคนธรรมดา แต่เป็จอมมารไป๋เสียที่สังหารและผนึกดวงิญญาของเขาไว้เอง!
ไป๋เสียไม่ได้สนใจความอาฆาตของจู้หลงแม้แต่น้อย เขาเร่งพลังิญญาเข้าไปในยันต์ หากเปรียบความอาฆาตของจู้หลงเป็ธารน้ำเล็กๆ พลังิญญาของไป๋เสียก็เปรียบเสมือนคลื่นั์ที่โถมกระหน่ำ พัดพาความเย็นะเืให้สลายไปก่อนจะไหลบ่าเข้าไปในยันต์
“อะไรกัน!?” จู้หลงที่ผนึกอยู่ในยันต์คิดว่าในที่สุดโอกาสที่รอคอยก็มาถึง ใครจะไปคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของไป๋เสีย เขาช่างเล็กจ้อยราวกับผงธุลี เขาััได้ถึงความกดดันจนไร้ทางสู้ เหมือนกับตอนที่ถูกผนึก ราวกับถูกูเากดทับร่างไว้จนขยับไม่ได้
ราวกับว่าเพียงแค่ไป๋เสียดีดนิ้วก็สามารถทำให้เขาแหลกสลายไปได้แล้ว และหากิญญาถูกสังหาร ก็หมายความว่าเขาจะหายไปตลอดกาล
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของจู้หลงทำให้ดวงิญญาที่กำลังบ้าคลั่งสงบลงทันใด ไม่กล้าแม้อาละวาดอีก
ความปั่นป่วนในยันต์สงบลงภายในสองลมหายใจ ไป๋เสียกล่าวอย่างพอใจ “แบบนี้ค่อยดีหน่อย วิชาของเ้า ข้ายืมใช้หน่อยแล้วกัน!”
ระหว่างที่ต้นไม้กินคนกำลังรักษาาแ ไป๋เสียหลับตาท่องคาถา “หลอมอสูร!”
ยันต์หมึกชาดร้อนระอุ ไป๋เสียพลันลืมตาขึ้น ใช้กระบี่อสูรกรีดปลายนิ้ว เืสดหยดลงบนพื้นดินที่แห้งผาก
“ค่ายกลโลหิตสังหาร”
สิ้นเสียง ก็มีประกายแดงปรากฏขึ้นบนพื้นดิน ก่อตัวเป็ค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบต้นไม้กินคนเอาไว้
ค่ายกลแผ่กลิ่นอายสีแดงดำอันเป็อัปมงคล ย้อมทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็สีเดียวกัน ต้นไม้กินคนที่อยู่ใจกลางค่ายกลรู้สึกได้ถึงลางร้าย จึงยื่นหนวดออกมาหวังจะทำลายค่ายกล
ทว่าตราประทับของค่ายกลอยู่บนพื้นดิน ไม่ว่าต้นไม้กินคนจะพยายามเท่าใด ก็มิอาจทำลายค่ายกลได้
ลู่เต้าที่อยู่ด้านในก็ใเช่นกัน ต้องรู้ก่อนว่าเขาเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากค่ายกลนี้มาแล้ว
โชคดีที่ผลไม้สีทองที่เขาทานเข้าไป ทำให้เขาได้รับพลังแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยความช่วยเหลือจากไป๋เสีย เขาจึงฝืนชะตาฟ้าลิขิต เขียนอนาคตขึ้นมาใหม่ ยามนี้เมื่อได้เห็นค่ายกลโลหิตสังหารอีกครา เขาก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย
“นะ...นี่มัน! วิชาของเ้าควบคุมิญญานั่นนี่นา!” ตอนแรกลู่เต้าแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่ลวดลายของค่ายกลที่เหมือนกันราวกับแกะ ก็ยืนยันได้ว่านี่คือวิชาที่เคยทำให้เขาต้องตกตาย
ต้นไม้กินคนพยายามทุรนทุรายอยู่ใจกลางค่ายกล ในที่สุดก็เชื่อมต่อลำต้นได้สำเร็จ หนวดที่ถูกตัดขาดก็งอกขึ้นมาใหม่หลายเส้น
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ต้นไม้กินคนเร่งพลัง ยื่นหนวดออกมาโจมตีอีกครั้ง ไป๋เสียเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ ประกายสีแดงดำเจิดจ้าจนไม่อาจลืมตาได้ แรงกดดันมหาศาลโถมเข้าใส่ต้นไม้กินคนจากทุกสารทิศทันที
พื้นดินสั่นะเือย่างรุนแรง ควันหนาทึบ ประกายแสงสีแดงดำค่อยๆ จางหายไป แม้บนพื้นดินจะยังคงหลงเหลือประกายแดงจางๆ แต่ต้นไม้กินคนกลับหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่และคราบเืเต็มพื้น
“เฮ้อ...” ไป๋เสียถอนหายใจ ก่อนจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ โลกหมุนคว้าง เขาพยายามอยู่นานกว่าจะทรงตัวอยู่ได้ “เหอะ ใช้พลังิญญามากไปหน่อยงั้นหรือ”
ลู่เต้าที่เบิกตากว้างด้วยความใได้สติกลับมา ก็รีบถามทันที “ไป๋เสีย ทำไมเ้าถึงใช้วิชาของเ้าสารเลวนั่นได้กัน”
“เ้าหมายถึงวิชาหลอมอสูรหรือ” ไป๋เสียเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ไม่ว่าจะเป็ใคร...ตราบใดที่ดวงิญญาถูกสะกดไว้ในยันต์ ข้าก็สามารถนำมาใช้ได้...”
ไป๋เสียพูดทีละคำ เมื่อเอ่ยจบ ความรู้สึกวิงเวียนก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาถึงขั้นได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตุบๆ ข้างหู
“เหอะ...แค่สองกระบวนท่าก็ถึงขีดจำกัดแล้วหรือ” ไป๋เสียอดเป็ห่วงลู่เต้าขึ้นมาไม่ได้ เขารู้ดีว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนนั้น เต็มไปด้วยขวากหนามและร่างที่ไร้ิญญาเกลื่อนกลาด
ในยุคที่ปราณจิติญญาเหือดแห้ง ยิ่งหายากขึ้นทุกที ไม่อาจตอบสนองความ้าของผู้ฝึกตนจำนวนมาก เื่ที่ผู้ฝึกตนต่อสู้แย่งชิง หรือแม้กระทั่งฆ่าคนชิงของก็กลายเป็เพียงเื่ปกติ
ในอนาคตอันใกล้ ย่อมต้องมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าต้นไม้กินคนหรือจู้หลงปรากฏตัวขึ้นอีก ด้วยพลังฝึกตนของร่างกายลู่เต้าในตอนนี้ ยามคับขันคงไม่อาจทำให้เขาใช้พลังอย่างเต็มที่ได้
ไป๋เสียยังคิดจะพูดอะไรต่อ ทว่าคนที่ถูกลู่เต้าช่วยเหลือไว้ก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ “ท่านผู้มีพระคุณ!”
“เหอะ...เ้าหนู เ้าจัดการกับพวกเขาไปเถอะ” ไป๋เสียถือโอกาสถอยกลับเข้าไปในร่าง ปล่อยให้ลู่เต้ารับ่ต่อ
ภาพตรงหน้าลู่เต้าพร่าเลือน ก่อนจะปรากฏภาพชายร่างท้วมวัยยี่สิบปีขึ้นมาใหม่ เขายิ้มจนตาหยี ยกมือไหว้ลู่เต้าทั้งๆ ที่เขาอายุน้อยกว่า “ข้าชื่อหงฝู”
“ข้า...” ลู่เต้าอ้าปาก เสียงของไป๋เสียก็ดังขึ้นในหู
“ยุทธภพอันตราย อันตรายทุกย่างก้าว ไม่จำเป็ต้องบอกชื่อให้เขารู้”
แต่ลู่เต้าก็เผลอพูดออกไปแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของหงฝู ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ดวงตาจึงกวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็นึกอะไรบางอย่างออก พูดตะกุกตะกัก “ขะ...ข้าชื่อเฮยเจิ้ง”
“นี่! เ้าหนู!” ไป๋เสียไม่พอใจชื่อปลอมนี้เป็อย่างยิ่ง เพิ่งสิ้นเสียง เขาก็ประท้วงขึ้นมาทันที
“เฮยเจิ้ง?” หงฝูครุ่นคิด ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในบรรดาจอมยุทธ์ที่เขารู้จักเลย แต่เห็นฝีมือแล้วคงไม่ธรรมดา จึงพยักหน้ารับรู้
“เฮ้อ...รอดตัวไป” ลู่เต้ากำมือคลายความกังวล
หงฝูเอื้อมมือไปด้านหลัง ดันน้องสาวที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาแนะนำ “นี่น้องสาวข้าชื่อ หงฮวา ยังไม่รีบขอบคุณท่านผู้มีพระคุณอีก!”
หงฮวาไม่ค่อยกล้าพูดกับคนแปลกหน้านัก นางที่หน้าแดงก้มต่ำพูดเสียงเบา “ขอบพระคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต”
หงฮวามีรูปร่างเล็กกว่าพี่ชาย ผิวขาวผ่องนวลเนียน อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี สวมชุดแม่ครัวิญญาสีแดงสด คาดเข็มขัดสีทอง ตอนแรกลู่เต้าเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของนางเท่านั้น ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็สัน งดงามยิ่งนัก
แต่พอนางหันหน้ามาตรงๆ ลู่เต้าก็เห็นหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าซีกขวาของนาง
ลู่เต้ากำลังครุ่นคิดว่าอากาศร้อนแบบนี้ ยังต้องสวมหน้ากากอีก ไม่รู้จักร้อนบ้างหรือไร หงฮวาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าลู่เต้ากำลังจ้องมองใบหน้าของนาง ความเ็ปแปลบปลาบใต้หน้ากากราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
นิ้วเรียวของหงฮวาแตะที่หน้ากาก แต่ก็ทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง นางรีบใช้เส้นผมปกปิดหน้ากากครึ่งซีกด้านขวาเอาไว้ พร้อมกับหันด้านซ้ายที่ไร้ตำหนิให้ลู่เต้า
หงฝูไม่ได้บังคับน้องสาว เขายิ้มแห้งๆ กล่าวแก้เก้อ “ไม่ทราบว่าท่านผู้มีพระคุณเป็จอมยุทธ์จากที่ใดหรือ”
“จอมยุทธ์?” ลู่เต้าหลุดปาก “ข้าไม่ใช่จอมยุทธ์”
ลู่เต้าไม่ได้โกหก เพียงแต่หงฝูไม่รู้เื่ราวทั้งหมด นึกว่าเป็ฝีมือของลู่เต้า ยิ่งมองจากมุมมองของคนนอก ก็เหมือนกับว่าลู่เต้าจัดการต้นไม้กินคนได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ
“ฮ่าๆๆ!” หงฝูหัวเราะจนตาหยี เนื้อหน้าท้องสั่นตาม “ท่านผู้มีพระคุณ ท่านช่างถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
หงฝูชี้ไปที่กระบี่อสูรที่กำลังลอยอยู่เหนือทะเลเื และกำลังดูดซับปราณชั่วร้าย “เด็กๆ ในเมืองัทมิฬต่างก็รู้ว่ากระบี่ิญญาคือสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่ง!”
“เข้าใจผิดแล้ว! นั่นไม่ใช่ของข้า!” ลู่เต้าพยายามอธิบาย
ทันใดนั้น ฉิวหมัวที่กินอิ่มหนำสำราญแล้วก็กระดิกหางบินกลับมาหาลู่เต้าอย่างเชื่องช้า หงฝูทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “ดูท่าท่านผู้มีพระคุณคงไม่ชอบโอ้อวด เป็วิถีของผู้แข็งแกร่งโดยแท้!”
กระบี่ิญญายอมรับเป็นายต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ต่อให้อธิบายอย่างไร หงฝูก็คงไม่เปลี่ยนความคิด ลู่เต้าได้แต่ทำหน้าละเหี่ยใจ เออออห่อหมกไปกับเขา “ใช่แล้ว ข้าเป็คนไม่ชอบโอ้อวด ฮ่าๆๆ...”
