“แข็งแกร่งขึ้น!” บรรดาศิษย์จากนิกายหยุนไห่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา หลินเฟิงพูดถูก ถ้านิกายหยุนไห่แข็งแกร่งแล้วใครจะสามารถทำลายได้? ถ้าหากพวกเขาแข็งแกร่ง พวกเขาคงไม่ต้องกลายเป็ทาส!
ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงสะบัดมือเล็กน้อย ก็สามารถทำลายนิกายหรือแม้กระทั่งอาณาจักรได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าสง่างามและสูงส่งเทียมเมฆ ทว่าพวกเขามันอ่อนแอ ดังนั้นจึงถูกคนอื่นรังแก และบีบบังคับให้กลายเป็ทาสโดยไม่ยินยอม พวกเขาทุกคนถูกกดขี่ข่มเหงเหมือนไม่ใช่คน!!!
หลินเฟิงมองปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนอย่างพึงพอใจ แต่ละคนต่างกำหมัดแน่นจนเส้นเืปูด หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอัปยศ มีเพียงผู้ที่ถูกประทับตราทาสและกลายเป็ทาสเท่านั้นจึงเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าอัปยศ และเข้าใจหลักการปลาใหญ่กินปลาเล็กของโลกใบนี้ ที่แห่งนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอ พวกเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น! เพื่อยืนหยัดบนโลกใบนี้ให้ได้!!! ปณิธานของพวกเขาพลันลุกโชนรุนแรง
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจ้าขึ้น ก่อนที่เคล็ดวิชาจะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เคล็ดวิชาเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่หลินเฟิงได้รับมาจากวิหารโบราณของนิกายหยุนไห่ และตอนนี้หลินเฟิงได้กลายเป็ประมุขแล้ว ดังนั้นเขาจำเป็ต้องช่วยศิษย์เหล่านี้ให้แข็งแกร่งขึ้น
“ก่อนที่ท่านประมุขหนานกงหลิงจะเสียชีวิต เขาได้แต่งตั้งข้าเป็ประมุขนิกายคนใหม่ เคล็ดวิชาเหล่านี้คือเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจและทรงพลังที่สุดของนิกายหยุนไห่ พวกมันเป็เคล็ดวิชาระดับลี้ลับ พวกเ้าสามารถหาเคล็ดวิชาหรือเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับตัวเองและนำกลับไปฝึกฝนเสีย”
หลินเฟิงวางเคล็ดวิชาและเทคนิคต่างๆ ลงบนพื้น ทำให้ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความใ เคล็ดวิชาหรือเทคนิคล้วนสามารถดึงดูดใจเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็อย่างดี
ศิษย์หลายคนวิ่งเข้ามาเพื่อเลือกเคล็ดวิชาหรือเทคนิค แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยืนอยู่กับที่ขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิง
“ถอยไป!” หลินเฟิงก้าวเท้าขึ้นมาขวาง ขณะที่ปลดปล่อยลมปราณที่เยือกเย็นออกมา ทำให้หลายๆ คนที่กำลังเลือกเคล็ดวิชาหรือเทคนิคทักษะต่างตื่นใ และเงยหน้ามองหลินเฟิง
“ไสหัวออกไป!”
ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววเ็าขึ้นมา ทำให้ศิษย์บางคนต่างพากันงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเฟิงถึงโกรธขนาดนี้ แต่พวกเขาก็ยอมถอยไปแต่โดยดี
“ท่านประมุข” ศิษย์บางคนที่ไม่ได้วิ่งเข้าไปเลือกเคล็ดวิชาก่อนหน้านี้ พลันโค้งคำนับให้หลินเฟิง ทำให้คนอื่นๆ เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนที่พวกเขาจะโค้งคำนับหลินเฟิงและกล่าวตามว่า “ท่านประมุข”
หลินเฟิงกวาดสายตามองทุกคนด้วยสายตาเ็า ก่อนกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พวกเ้าทุกคนทำให้ข้าผิดหวัง”
เมื่อพวกเขาได้ยินหลินเฟิงพูดแบบนี้ หัวใจทุกคนก็สั่นสะท้านขึ้นมา
“ข้าไม่ได้้าได้ยินพวกเ้าเรียกข้าว่าท่านประมุข ข้าเพียงอยากทดสอบว่า จะมีพวกเ้าสักกี่คน ที่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อเผชิญหน้ากับความโลภ คนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ตรงหน้าแล้วพุ่งเข้าใส่โดยไม่แยกแยะสถานการณ์ ไม่มีทางเป็ผู้ที่แข็งแกร่งได้ พวกเ้าบอกว่าอยากแข็งแกร่งขึ้น?! หึ! ดูจากการกระทำของพวกเ้าแล้ว มันคงเป็ได้แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น!!!”
หลินเฟิงกล่าววาจาหยาบคาย “ข้าไม่รู้ว่าเพราะพวกเ้าเป็ทาสมานานเกินไปหรือเปล่า?! จิตใจของพวกเ้าถึงกลายเป็คนเห็นแก่ตัวและทอดทิ้งผู้อื่น หรือมันเป็กมลสันดานของพวกเ้าอยู่แล้ว? ข้าช่วยพวกเ้าออกมา แต่พวกเ้าก็ตอบแทนข้าด้วยการแย่งชิงของของข้า?! แม้กระทั่งมารยาทขั้นพื้นฐานก็ไม่มี หรือพวกเ้าคิดว่าเพียงแค่ประจบเอาใจผู้ที่แข็งแกร่งกว่า จะทำให้พวกเ้ากลายเป็คนสนิทของประมุข?”
“พวกเ้าทุกคนทำให้ข้าผิดหวัง”
หลินเฟิงย้ำประโยคนี้อีกครั้ง ทำให้ทาสผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดรู้สึกแก้มร้อนผ่าว
“ข้าติดหนี้พวกเ้าหรือ? ข้าจ่ายหินหยวนไปตั้งหลายพันก้อนเพื่อนำพวกเ้าออกมา แต่ดูพวกเ้าทำสิ? นี่ข้าช่วยพวกมารยาททรามออกมาอย่างนั้นหรือ?! รู้สึกละอายใจบ้างไหม? เพียงเพื่อผลประโยชน์พวกเ้าก็ลืมบุญคุณกันไปแล้ว? ถ้าข้าเลี้ยงดูพวกเ้า ในอนาคตหากเพื่อผลประโยชน์แล้ว บางทีพวกเ้าคงพร้อมขายสหายของตัวเองหรือแม้แต่ขายข้าก็ได้”
หลินเฟิงจ้องมองทุกคนแล้วพูดต่อไปว่า “แน่นอนว่าบางทีพวกเ้าอาจลืมตัวไป ดังนั้นจงจำเื่ในวันนี้ไว้ให้ดี ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้ แต่ครั้งหน้าหากมีพบว่าใครมีพฤติกรรมแบบนี้อีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว!”
“จำไว้ว่าข้าไม่ชอบพูดไร้สาระ และที่สำคัญข้าไม่ใช่คนโง่ที่หลงคำยอเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้” หลินเฟิงพูดอย่างเ็า “ถ้าใครไม่พอใจหรืออยากจะไปตอนนี้ก็สามารถพูดได้”
ทุกคนมองไปที่หลินเฟิงแล้วส่ายหน้า
“จำไว้ว่าพวกเ้าเป็คนตัดสินใจเอง” หลินเฟิงพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า “พวกเ้าสามารถเลือกเคล็ดวิชาและเทคนิคที่อยู่บนพื้นได้ตามสบาย พวกเ้าจะต้องหมั่นฝึกฝนั้แ่วันนี้ และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่ อีกสามเดือนข้างหน้าข้าจะกลับมาใหม่”
หลินเฟิงเดินจากไปโดยมีอีเสวี่ยและป้าเตาเดินตามหลังเงียบๆ
“ป้าเตา เ้าต้องอยู่ที่นี่เหมือนกัน” หลินเฟิงหันมาพูดกับป้าเตา ขณะเดียวกันก็ยื่นเคล็ดวิชาเล่มหนึ่งให้กับเขา “เคล็ดวิชาเล่มนี้เหมาะกับเ้ามาก ข้าอยากให้เ้าฝึกมัน อีกอย่างถ้าหากคนพวกนั้นกล้าก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์แม้แต่ครึ่งก้าว ให้ฆ่าพวกมันซะ!”
ตอนที่หลินเฟิงพูดคำว่า ‘ฆ่า’ เขาได้ปล่อยจิตสังหารออกมาเล็กน้อย ทำให้ป้าเตาและอีเสวี่ยต่างเงยหน้ามองหลินเฟิงด้วยความตระหนก
สีหน้าของหลินเฟิงดูไร้อารมณ์ ขณะที่หมุนตัวเดินจากไป
หลินเฟิงจำไว้เสมอว่าโลกใบนี้มันโหดร้าย ที่เขายอมเสียหินหยวนไปตั้งมากเพื่อช่วยพวกเขา และยังมอบเคล็ดวิชากับเทคนิคต่างๆ ให้มากมาย พร้อมทั้งเลี้ยงดูอย่างดี ทั้งหมดเป็เพราะนิกายหยุนไห่ 4 คำนี้
แต่ถ้าหากคนพวกนั้นไม่สำนึกบุญคุณของเขา และเลือกที่จะหนีอย่างไม่ละอายแก่ใจ เมื่อถึงตอนนั้นหลินเฟิงก็จะฆ่า! ต่อให้เป็คนจากนิกายเดียวกันก็ตาม!!!
ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาเลือกที่จะจากไป หลินเฟิงก็ถือว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนิกายหยุนไห่อีก! คนไร้ยางอายแบบนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายหยุนไห่ จะเสียดายไปทำไม? หากต้องสูญเสียคนแบบนั้นไป ต่อให้พวกมันอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร? หรือจะให้พวกมันอยู่รอขายข่าวของตัวเองก่อน?
ศิษย์ที่อยู่ในคฤหาสน์พวกนั้น คือเืหยดสุดท้ายของนิกายหยุนไห่ ดังนั้นหลินเฟิงจึงไม่อยากทอดทิ้งพวกเขาไป
ป้าเตายืนนิ่งอยู่กับที่ขณะมองไล่หลังหลินเฟิงไป จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและพลิกเคล็ดวิชาในมือ ทันใดนั้นร่างของป้าเตาพลันสั่นสะท้าน
“คมมีดสังหาร เป็เคล็ดวิชาระดับพิภพ หลังจากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดจะสามารถขัดเกลาเจินชี่ให้แหลมคมดุจมีด และสามารถทำลายล้างทุกอย่างได้”
“คมมีดสังหาร! เคล็ดวิชาระดับพิภพ!”
ป้าเตาพึมพำกับตัวเอง เคล็ดวิชาเล่มนี้ราวกับถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ และยังเป็เคล็ดวิชาระดับพิภพที่ทรงพลังอีกด้วย!!!
ป้าเตาเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของหลินเฟิงอีกครั้ง ความคิดของหลินเฟิงยากจะคาดเดาได้ แต่สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือหลินเฟิงเป็คนที่ฉลาดมาก
ที่หลินเฟิงมอบเคล็ดวิชาระดับพิภพให้กับเขาอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าหลินเฟิงไว้ใจเขามาก เื่นี้ทำให้ป้าเตารู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะติดหนี้บุญคุณของหลินเฟิงมากขึ้นทุกที
…
เมื่อหลินเฟิงกลับมาที่สำนักเทียนอี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือพาอีเสวี่ยไปยังหอพักที่ตัวเองอาศัยอยู่ จากนั้นเขาก็เดินไปที่สวนท้อ ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ได้ยินเสียงพิณบรรเลงอันไพเราะลอยมาตามลม
ดูเหมือนอาจารย์กำลังบรรเลงเพลงกู่ฉินไม่ไกลจากเขาเท่าไรนัก นิ้วมือทั้งสิบของอาจารย์กำลังพลิ้วไหวไปตามทำนอง
เพียงได้สดับฟัง จิตใจของหลินเฟิงก็สงบยิ่งขึ้น ราวกับจิตใจของเขากำลังถูกชำระล้าง
หลินเฟิงฟังอาจารย์ดีดเพลงกู่ฉินอยู่ครึ่งวัน ก่อนเดินออกมาจากสวนท้อและตรงไปยังหอฝึกฝน
เวลาสามเดือนสำหรับผู้ฝึกยุทธ์นั้นไวราวกับดีดนิ้ว หลินเฟิงไม่ลืมว่าตัวเองได้สัญญาอะไรไว้กับเฮยม่อ
ตอนนี้หลินเฟิงได้ทะลวงผ่านขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ประกอบกับไพ่ตายจำนวนมาก ดังนั้นหลินเฟิงจึงมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ได้
แต่ความแข็งแกร่งของเฮยม่อนั้น อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แม้แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา กระทั่งคนที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเฮยม่อ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็ตัวอันตราย
เฮยม่อเป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเทียนอี้ นอกจากนี้หากครบสามเดือนตามที่ตกลงกันไว้ จะแน่ใจได้อย่างไร? ว่าการบ่มเพาะของเฮยม่อจะไม่แข็งแกร่งขึ้น?
ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงมันยังไม่เพียงพอ เขายังห่างไกลจากเฮยม่อมาก
เฮยม่อสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับหลินเฟิงนั้น การจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้น 7 นั้นถือว่าเป็เื่ยาก
เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภัตตาคาร หากชายชุดเทาไม่ทุ่มกำลังใส่ป้าเตา ก็คงไม่มีทางที่จะถูกหลินเฟิงสังหารเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นนี่จึงเป็เหตุผลที่หลินเฟิงเดินไปยังหอฝึกฝน หลังจากที่ฟังเพลงกู่ฉินในสวนท้อแล้ว
ครั้งนี้หลินเฟิงไม่ได้ขึ้นไปยังชั้นบนๆ แต่กลับเลือกลงไปชั้นสามแทน เมื่อก้าวเท้าเข้ามา หลินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงหยวนชี่ที่หนาแน่นและรุนแรง
บางคนที่ลงมาชั้นสาม เมื่อเห็นหลินเฟิงยืนเงียบๆ อีกฝั่งหนึ่ง ราวกับว่ากำลังหาห้องฝึกที่ว่างอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าแปลกใจขึ้นมา
ไม่รู้ว่าหลินเฟิงเป็ศิษย์สายทหารที่แข็งแกร่งมากจากไหน ถึงได้มาเดินหาห้องว่างในชั้นสาม แต่ต้องรู้ว่าห้องชั้นสามล้วนถูกคนจับจองไว้หมดแล้ว
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ห้องทุกห้องในชั้นสามได้กลายเป็ห้องส่วนบุคคลไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
ดังนั้นเมื่อหลินเฟิงเห็นว่าบนชั้นสามมีห้องว่างอยู่สองห้อง แต่คนอื่นๆ กลับเดินผ่านขึ้นชั้นบนก็อดแปลกใจไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น บนประตูของห้องก็มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนคำว่า ‘หวงห้าม’ ถัดจากนั้นก็คือชื่อของใครบางคน!