“ผมยังยืนยันคำเดิมนะ ว่าอยากเปลี่ยนหมอ” เขายิ้มแล้วตอบกลับ
“คุณก็รู้ว่าเปลี่ยนไม่ได้ การตัดสินใจเป็ของคุณวิภาวี”
“แล้วแม่ผมรู้หรือยังว่า คุณหมอรู้จัก พรรณี ลูกสาวของ สส.พิชัย ที่ขับรถชนผม จนผมต้องมีสภาพแบบนี้ ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ยังสนิทสนมถึงขั้นมาหากันในเวลางาน” ในเมื่อขอกันดี ๆ ไม่ได้ ผมก็จำเป็ต้องงัดด้านเทา ๆ ของตัวเองออกมาต่อรอง แต่แทนที่เขาจะสลด กลับยิ้มตอบแล้วชะเง้อหน้าเข้ามาใกล้จนเห็นสัดส่วนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“อย่างนั้น คุณก็ลองคุยกับคุณวิภาวีดูสิ ว่าจะกล้าเปลี่ยนหมอเก่ง ๆ อย่างผมหรือเปล่า” เขาพูดจบ ก็เบี่ยงตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมา
นิสัยแบบนี้เหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิด ผมได้แต่นึกโกรธจนลมออกหู แต่ไม่นานก็พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ก้มมองรอยปานสีชมพูที่ข้อมือขวาของตัวเอง รอยปานนี้เป็สิ่งที่ติดตัวผมมาั้แ่เด็ก และเชื่อว่าแม้กระทั่งพ่อกับแม่อาจจะลืมเื่นี้ไปแล้ว ในตอนเด็กจำได้ว่ารอยปานชัดเจนกว่านี้มาก แต่พอโตขึ้นก็จางหายไปจนแทบมองไม่เห็น หรือจริง ๆ แล้วเพราะความเป็หมอ จึงทำให้เขาช่างสังเกตกว่าคนอื่น และขณะที่ผมจ้องมองรอยปานบนข้อมืออยู่นั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้นจึงหันไปแล้วพบว่าเป็สายโทรเข้าจากเจย์
“กูรบกวนมึงหรือเปล่า?” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงเข้ม ๆ ผิดปกติ
“เปล่า คุยได้ มีไร” สิ้นเสียงของผม มันเงียบไปจนผมต้องพูดสะกิด
“ตกลงมึงโทรมาจะพูดไหม ถ้าไม่พูดกูวางนะ”
“กูสืบเื่ของพรรณีได้แล้วว่ะ แฟนของพรรณีคือ....” เมื่อเห็นมันลังเล ผมก็เลยพูดสวนไป
“คือคุณหมอนาวินใช่ไหม?”
“มึงรู้ได้ไง?” หลังจากนั้น เสียงของไอริสและธันน์ก็งึมงำแทรกเข้ามา แสดงให้เห็นว่าพวกมันอยู่ด้วยกันในตอนนี้ ก่อนผมจะตอบไป
“กูเพิ่งเห็นว่าพรรณีมาพบคุณหมอที่โรงพยาบาล เท่าที่ดูก็พอรู้ว่าสนิทกัน” หลังจากนั้นเสียงของธันน์ก็ดังขึ้น
“แล้วมึงรู้ได้ไง ว่าคือพรรณีคนที่ชนมึง มึงจำหน้าคนชนได้เหรอ?” คำถามของมันทำให้ผมนิ่งอึ้ง รู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาวางไว้ที่หัว เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ว่ารู้จักพรรณี เพราะภาพในภวังค์ที่ฝันถึง ไม่ใช่จากความจำตอนโดนรถชน
“ว่าไง มึงจำหน้าได้ใช่ไหม?” ธันน์แย่งมือถือไปถามย้ำ และนั่นก็ทำให้ผมถึงกับตอบไม่ถูก
“เปล่า กูบอกแล้วว่าจำหน้าคนชนไม่ได้ แค่รู้ว่าชื่อพรรณี ก็เลยเดา ๆ ว่าอาจเป็คนเดียวกัน สมัยนี้ ชื่อพรรณีคงไม่ฮิตจนตั้งซ้ำกันบ่อย ๆ ชื่อโบราณจะตายไป จริงไหม?” ทั้งผมและธันน์ต่างนิ่งเงียบ ก่อนเจย์จะแย่งมือถือไป แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ไม่ใช่ว่าหมอ เป็คนขับรถชนมึงล่ะ?”
“ไม่ใช่ กูมั่นใจ” ผมก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรดลใจให้ตอบเพื่อนไปแบบนั้น
“ถ้ามึงมั่นใจ นั่นหมายความว่าพรรณีเป็คนขับเอง งั้นดิ”
“กูไม่รู้ แต่ไม่ใช่คุณหมอนาวินแน่ ๆ กูว่าพวกมึงไม่ต้องตามหาความจริงแล้วก็ได้นะ ตอนนี้กูก็ปลอดภัยดีแล้ว เื่คดีก็ให้เป็ไปตามกระบวนการ”
“มึงแน่ใจนะ” ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่คนดีเท่าไรหรอก อันที่จริงก็อยากเอาคืน คนที่ขับรถชนผมอยู่เหมือนกัน และที่พวกมันพยายามตามหาความจริง เพราะรู้ว่าผมนิสัยยังไง ใครทำผมเจ็บผมเอาคืนเป็ร้อยเท่า
“อืม กูแน่ใจ” ผมปั้นเสียงเข้ม
“ได้ งั้นพวกกูก็จะหยุดสืบ” สิ้นเสียงของเจย์ สายก็ตัดไป ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงเบา ๆ จริง ๆ ผมก็ไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าคุณหมอนาวินไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เท่าที่เห็นเขาสองคนสนิทกันเกินกว่าเพื่อนแน่นอน หากเป็อย่างที่โบราณกล่าวไว้ ก็อาจไปได้ว่าพวกเขาสองคนรักกันข้ามภพข้ามชาติ ในอดีตคุณภูมิพลรักพรรณีมาก ถึงขนาดละเลยหน้าที่ของสามี ทำร้ายผู้หญิงอีกคนให้ตายทั้งเป็ก็ทำมาแล้ว หากชาตินี้สองคนยังคงรักกันก็คงไม่แปลกอะไร แต่อยู่ ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้
‘ก็แค่เปลี่ยนหมอ จะได้ไม่ต้องเห็นเื่ราวของพวกเขาอีก ยากตรงไหน ต่อให้เป็คำสั่งของคุณแม่ จะมีผลอะไรในเมื่อนับจากเด็กจนโต ผมต่างหากที่ใหญ่สุดในบ้าน’ เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากรู้เื่ของคุณหมอนาวินกับยัยพรรณีอะไรเท่าไรนัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยสักนิด
ไม่รู้ผมเผลอหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีผมก็หลุดเข้ามาในภวังค์อดีตเหมือนเดิม คราวนี้ผมยืนมองคุณมยุราที่เหนื่อยจากการเดินกลับบ้านมาหลายชั่วโมง ยืนทอดไข่เจียวง่าย ๆ ให้คุณภูมิพล ที่เพิ่งไปอาบน้ำเตรียมตัวทำงาน ระหว่างนั้นผมเพิ่งเห็นน้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ ผมรู้ทันที ว่าที่ผ่านมาเธอต้องเก็บซ่อนความเ็ปไว้มากมายเพียงใด เท้าของเธอยังมีเศษคราบดินติดอยู่บาง ๆ และก็มีรอยแผลถลอกเล็ก ๆ ติดอยู่ แต่ถึงจะอย่างนั้น เธอก็ต้องรีบทำกับข้าวไว้ให้เขา โดยไม่มีเวลาสนใจตนเอง
“โง่” ผมต่อว่าเธอทั้งที่รู้ว่าเธอไม่ได้ยิน ความเ็ปที่เธอเก็บซ่อนไว้ เพียงเพราะเหตุผลของ ‘ความเหมาะสม’ ที่ผู้ใหญ่กำหนดให้ เธอจึงต้องทนทุกข์อยู่คนเดียว ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าของคุณภูมิพลก็เดินลงมาจากชั้นบน พร้อมมยุรายกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวก ๆ แล้วตักไข่เจียวร้อน ๆ ใส่จานนำไปวางไว้ให้เขาบนโต๊ะอาหาร
“ข้าวไม่ร้อน คุณเอาข้าวเย็นให้ผมกินเหรอ?” เขาตักข้าวเข้าปาก แล้วหันมาต่อว่ามยุรา เธอชะงักก่อนอึกอักแล้วยอมรับด้วยน้ำเสียงบางเบา
“ฉันขอโทษค่ะ ที่กลับมาไม่ทัน” เขาไม่แม้แต่จะถามว่าเธอกลับจากงานแต่งยังไง
“ผมไม่กินแล้ว เดี๋ยวหากินข้างนอกดีกว่า” คำพูดห้วน ๆ แต่ผมก็รู้ ว่านั่นทำให้คุณมยุราเ็ปไม่น้อย
“คุณหายดีแล้วเหรอคะ ฉันอุ่นข้าวให้ก็ได้ ฝืนกินหน่อยจะได้กินยา” ผมที่ยืนมองทั้งสองพูดคุยกัน เอาจริง ๆ น้ำตาผมไหลออกมาตอนไหนไม่รู้ สายตาผมจับจ้องไปยังคุณภูมิพลตลอดเวลา อยากรู้ว่าเขาจะใจร้ายได้ขนาดไหน
“ผมไม่ชอบกินข้าวเย็น คุณกินเองไปแล้วกัน” พูดจบเขาก็ลุกจากเก้าอี้แล้วสะบัดตัวเดินออกจากบ้านไป ท่ามกลางสายตาสั่นไหวของมยุรามองเขาจนลับ เธอทิ้งตัวลงนั่ง แล้วก้มหน้าร้องไห้ออกมา ผมได้แต่มองเธออยู่ห่าง ๆ ไม่สามารถเข้าไปปลอบหรือทำอะไรได้เลย
เสียงร้องไห้ของเธอเป็เสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต ทั้งสะอื้น ทั้งสั่นเครือ บ่งบอกความปวดร้าวของคนสมัยก่อนที่ไม่มีทางเลือกได้อย่างดี
‘เลิกกับเขาแล้วคุณจะมีความสุข มยุรา’ ผมพูดกับเธอ แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหา ก่อนเธอจะเงยหน้าขึ้นแล้วปาดน้ำตาออก ทว่าใบหน้าและดวงตายังคงแดงก่ำ สองมือค่อย ๆ เอื้อมไปเก็บจานไข่เจียวที่เพิ่งทอดให้เขา ระหว่างนั้นสายตาของผม เหลือบไปเห็นปานสีชมพูตรงข้อมือขวาของเธอ ซึ่งตรงกับที่ผมมี!
หัวใจผมแทบหยุดเต้น พร้อมจับจ้องไปยังรอยปานของเธอไม่วางตา ก่อนจะก้มมองรอยปานสีชมพูตรงข้อมือขวาตัวเอง ระหว่างนั้นหูผมดับไปชั่วขณะ ทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน หรือที่ผ่านมา....ผมไม่ได้ย้อนอดีตของคุณหมอนาวิน แต่ผมกำลังย้อนอดีตของตัวเอง!
มยุราก็คือผม! ผมคือมยุรา งั้นเหรอ?