ตอนที่ 3 ก้าวสู่กรงขัง
รถยุโรปคันหรูสีดำสนิทเคลื่อนตัวผ่านรั้วอัลลอยด์ดัดลวดลายวิจิตรตระการตา เข้าสู่ภายในอาณาเขตของคฤหาสน์ วรโชติ ความกว้างใหญ่ไพศาลของสนามหญ้าที่ตัดแต่งเรียบกริบและต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นทะมึนสองข้างทาง ไม่ได้ทำให้ ปานชีวา รู้สึกถึงความร่มรื่นแม้แต่น้อย
กลับกัน... มันทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ราวกับกำลังนั่งรถผ่านเข้าสู่ประตูยมโลก
เบื้องหน้าคือคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกหลังมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวของยามพลบค่ำ แสงไฟสีนวลที่สาดส่องกระทบตัวตึกไม่ได้ทำให้ดูอบอุ่น แต่กลับดูเหมือนดวงตาของอสูรร้ายที่กำลังจ้องมองผู้มาเยือนตัวจ้อย
"ลงมาได้แล้ว หรือต้องให้จุดธูปเชิญ?"
เสียงทุ้มต่ำที่ราบเรียบแต่ติดรำคาญดังขึ้น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ความหวาดกลัว ภูผาก้าวลงจากรถไปยืนรอด้านนอกแล้ว เขายืนล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ท่ามกลางลูกน้องชุดดำที่ยืนก้มหัวทำความคุ้มกัน
ปานชีวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ที่คอ มือเรียวบางกำสายกระเป๋าเป้ใบเดิมแน่น... สมบัติของเธอมีเพียงเท่านี้ เสื้อผ้าไม่กี่ชุด ของใช้ส่วนตัว เพราะเขาไม่ให้เอาอะไรมา และศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
เธอก้าวขาที่สั่นเทาลงจากรถ รองเท้าผ้าใบัักับพื้นหินอ่อนราคาแพงระยับหน้าประตูทางเข้า รู้สึกตัวเองต่ำต้อยและแปลกแยกอย่างที่สุด
"เดินตามมา อย่าชักช้า"
ภูผาสั่งเสียงห้วน เมื่อเห็นเธอยืนเก้ๆกังๆอยู่ ก่อนจะหันหลังเดินนำลิ่วเข้าไปในตัวบ้าน โดยไม่คิดจะหันมามองหรือช่วยถือของแม้แต่น้อย ทิ้งให้เธอต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแผ่นหลังกว้างนั้นไป
ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูไม้สักแกะสลักบานั์เข้าสู่โถงกลางของคฤหาสน์ ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศก็ปะทะเข้ากับใบหน้า พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลิลลี่และความหรูหราที่กระแทกตา แชนเดอเลียร์คริสตัลระย้าห้อยลงมาจากเพดานสูงลิบ พื้นหินอ่อนขัดมันวาววับจนเห็นเงาสะท้อน
และที่กลางโถงรับแขกชุดโซฟาหลุยส์สีทองอร่ามนั้น... มี เ้าที่ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"ภูขา... กลับมาแล้วเหรอคะ โรสรอตั้งนาน"
หญิงสาวรูปร่างเพรียวระหงในชุดเดรสเกาะอกสีแดงเพลิงลุกขึ้นยืนต้อนรับ ใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงส่งยิ้มหวานหยดย้อยมาให้ภูผา เธอคือ โรสริน คู่หมั้นทางธุรกิจและลูกสาวของผู้มีอิทธิพลที่ภูผาต้องเกรงใจ
โรสรินเดินนวยนาดเข้ามาควงแขนภูผาอย่างแสดงความเป็เ้าของ ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มเขาฟอดใหญ่โดยไม่อายสายตาลูกน้องนับสิบ
"ทำงานเหนื่อยไหมคะวันนี้ โรสสั่งแม่บ้านเตรียมดินเนอร์ไว้รอแล้วนะ... เอ๊ะ?"
ดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์คมกริบตวัดมองผ่านไหล่ภูผามายังด้านหลัง แล้วแสร้งทำเป็เพิ่งสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งชีวิตที่ยืนก้มหน้าเจียมตัวอยู่
"นั่น... ใครเหรอคะภู? หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นในข่าวกอสซิปพวกคนล้มละลาย..."
ปานชีวาหน้าชาดิก รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยวาจา เธอเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวคนนั้นเพียงครู่เดียวก่อนจะรีบหลบสายตา แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โรสรินชะงัก
สวย...
คำคำนี้ผุดขึ้นในสมองของโรสรินทันที แม้ปานชีวาจะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่าๆ ใบหน้าไร้เครื่องสำอางและดูอิดโรย แต่โครงหน้าหวานหยด ผิวพรรณที่ละเอียดละออ และดวงตากลมโตคู่โศกนั่น กลับมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้ผู้หญิงด้วยกันยังต้องริษยา
สัญชาตญาณนางเสือตื่นขึ้นทันที โรสรินกระชับแขนที่กอดภูผาแน่นขึ้น สายตาที่มองปานชีวาเปลี่ยนจากความสงสัยเป็ความเกลียดชังระคนหวาดระแวง
ผู้หญิงคนนี้อันตราย... ถ้าปล่อยให้ใกล้ชิดภูผา มีหวัง...
"นี่ ปานชีวา... ลูกหนี้ของผม" ภูผาแนะนำสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเ็า เขาแกะมือโรสรินออกเบาๆ อย่างไว้เชิง "เธอจะมาอยู่ที่นี่สักพัก เพื่อทำงานใช้หนี้"
"อ๋อ... เด็กรับใช้คนใหม่เหรอคะ?" โรสรินแสร้งยิ้มหวานเคลือบยาพิษ เดินนวยนาดเข้าไปหาปานชีวา ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมฉุนกึก "ตายจริง... หน้าตาสะสวย ผิวพรรณผู้ดีขนาดนี้ จะทำงานบ้านไหวเหรอคะเนี่ย มือไม้ดูบอบบางจัง"
มือเรียวที่ประดับเล็บเจลสีสดเอื้อมไปจับมือปานชีวาขึ้นมาทำทีเป็พิจารณา ก่อนจะจิกเล็บลงไปที่หลังมือขาวผ่องนั้นอย่างแรงโดยที่ภูผามองไม่เห็นเพราะยืนหันหลังสั่งงานลูกน้องอยู่
"โอ๊ย!" ปานชีวาสะดุ้ง ร้องออกมาเบาๆ แล้วรีบชักมือกลับ
"อุ๊ย! ขอโทษค่ะ มือลั่น" โรสรินจีบปากจีบคอขอโทษ แต่แววตาเยาะเย้ย "เห็นเงียบๆ นึกว่าไม่มีความรู้สึกซะอีก"
"คุณ้าอะไร..." ปานชีวากระซิบถามเสียงสั่น พยายามข่มความเจ็บที่หลังมือซึ่งเริ่มแดงช้ำ
"้าให้เธอรู้ที่ต่ำที่สูงไงจ๊ะ" โรสรินขยับเข้าไปกระซิบข้างหู ถ้อยคำที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความอำมหิต "อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอเอาตัวมาแลกหนี้... หน้าด้าน! จำใส่หัวไว้ว่าคุณูเาเป็ของฉัน เธอเป็แค่ของเล่นแก้ขัด อย่าสะเออะมาชูคอแถวนี้"
"โรส คุยอะไรกัน?"
เสียงภูผาดังขัดขึ้น ทำให้โรสรินดีดตัวผละออกทันที ใบหน้าอำมหิตเมื่อครู่เปลี่ยนเป็ยิ้มหวานใสซื่อราวกับคนละคน
"เปล่าค่ะภู โรสแค่กำลังแนะนำน้องเขาว่าอุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ตรงไหน น้องเขาดู... เอ๋อๆ น่ะค่ะ โรสกลัวจะทำข้าวของพัง"
ภูผาปรายตามองปานชีวาด้วยสายตาว่างเปล่าที่เ็ปยิ่งกว่าการด่าทอ เขาเห็นรอยแดงที่หลังมือเธอ แต่เลือกที่จะเมินเฉย แสร้งทำเป็มองไม่เห็นความเ็ปนั้น
เขากำลังเล่นละครบท เ้านายใจร้าย และเขาจะหลุดบทบาทไม่ได้เด็ดขาด
"ป้าสมร!" ภูผาะโเรียกแม่บ้านเก่าแก่
หญิงชราท่าทางใจดีรีบวิ่งออกมาจากหลังบ้าน "คะ คุณภู"
"พาผู้หญิงคนนี้ไปที่พัก" ภูผาสั่งเสียงเข้ม พยักหน้าไปทางปานชีวา
"เอ่อ... ให้จัดห้องรับรองแขกโซนปีกซ้ายให้ใช่ไหมคะ?" ป้าสมรถามอย่างนอบน้อม เพราะเห็นว่าปานชีวาดูเป็ผู้ดี ไม่น่าใช่คนรับใช้ทั่วไป
"อุ๊ยป้าสมร!" โรสรินรีบแทรกขึ้นมาทันที "ห้องรับรองแขกจะดีไปมั้งคะ ก็ภูบอกว่าเป็ลูกหนี้มาทำงานใช้หนี้ ขืนให้อยู่ห้องแอร์สบายๆ จะเรียกว่าดัดนิสัยได้ยังไง จริงไหมคะภู?"
โรสรินหันไปส่งสายตาออดอ้อนให้ชายหนุ่ม พลางจับแขนเขาเขย่าเบาๆ "ให้ไปนอนห้องเก็บของหลังบ้านก็พอแล้วมั้งคะ จะได้เจียมตัว"
ปานชีวายืนก้มหน้า เม้มริมฝีปากแน่นจนห่อเื รอฟังคำตัดสินชะตาชีวิต หัวใจดวงน้อยเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว... ขอร้องล่ะ อย่าใจร้ายกับฉันไปมากกว่านี้เลย
ภูผานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สายตาคมกริบมองร่างบางที่ยืนสั่นเทา... ใจจริงเขาอยากจะะโสั่งให้จัดห้องนอนที่ดีที่สุดให้เธอ อยากอุ้มเธอไปนอนบนเตียงนุ่มๆ
แต่ภาพความทรงจำของพ่อที่นอนจมกองเืเพราะถูกพ่อของเธอโกง มันย้อนกลับมาเตือนสติ
เขาดึงหน้ากากความเ็ากลับมาสวมอีกครั้ง
"โรสพูดถูก"
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจปานชีวา
"ฐานะของเธอที่นี่ คือ ลูกหนี้ และ คนรับใช้ ไม่มีสิทธิ์ได้รับความสะดวกสบายใดๆ ทั้งสิ้น"
ภูผาประกาศเสียงก้อง กอดอกมองเธอด้วยสายตาดูแคลน
"ป้าสมร... พาเธอไปนอนที่ เรือนคนใช้หลังครัว ห้องที่ว่างอยู่นั่นแหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว"
"ตะ... แต่คุณภูคะ ห้องนั้นมันเล็กแล้วก็ร้อนมากเลยนะคะ แอร์ก็ไม่มี..." ป้าสมรพยายามท้วง
"ฉันสั่งยังไงก็ทำอย่างนั้น!" ภูผาตวาดเสียงดังจนทุกคนสะดุ้ง "แล้วยึดโทรศัพท์มือถือเธอมาด้วย ห้ามติดต่อใครข้างนอก ห้ามใครปฏิบัติต่อเธอเหมือนแขก ให้เธอทำงานเหมือนคนงานคนหนึ่ง... เข้าใจไหม!"
"ขะ... เข้าใจค่ะ" ป้าสมรรับคำเสียงอ่อย
ปานชีวาน้ำตาไหลเอ่อ เงยหน้ามองผู้ชายที่เธอยอมเอาศักดิ์ศรีเข้าแลกด้วยสายตาตัดพ้อรุนแรง
คนใจร้าย... หัวใจคุณทำด้วยอะไร
"มองหน้าฉันทำไม มีอะไรสงสัยเหรอ?" ภูผาถามเสียงเยาะ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้จนเธอต้องถอยหลังหนี
"คิดว่าตัวเองเป็เ้าหญิงหรือไง? ตื่นได้แล้วปานชีวา... ที่นี่ไม่ใช่ปราสาทราชวัง แต่มันคือกรงขังสำหรับเธอ" ปานชีวาคิดในใจ
เขาหันไปทางโรสรินที่ยืนยิ้มเยาะด้วยความสะใจ
"ไปทานข้าวกันเถอะโรส ผมหิวแล้ว... ส่วนเธอ รีบไปให้พ้นหน้าฉัน "
คำพูดสุดท้ายเปรียบเสมือนเข็มพันเล่มทิ่มแทงหัวใจ ปานชีวากัดฟันกลั้นเสียงสะอื้น หันหลังเดินตามป้าสมรออกไปทางประตูหลังบ้าน โดยมีสายตาเหยียดหยามของโรสรินมองตามหลัง
ทันทีที่ลับร่างของปานชีวา ภูผาที่เดินโอบเอวโรสรินอยู่ก็หยุดชะงัก
"โรส..."
"คะ ภู?"
"วันนี้ผมเหนื่อย คงทานข้าวด้วยไม่ไหว คุณกลับไปก่อนเถอะ"
"อ้าว... แต่โรส..."
"กลับไปเถอะ!"
เขาตัดบทเสียงแข็ง ผละออกจากเธอแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นสองทันที ทิ้งให้โรสรินยืนอ้าปากค้างด้วยความงุนงงและเจ็บใจ
ภายในห้องนอนกว้างใหญ่ที่มืดสนิท ภูผาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง เขาถอดเนคไทขว้างลงพื้นอย่างแรงด้วยความอัดอั้น
มือหนายกขึ้นกุมขมับ ภาพแววตาตัดพ้อของปานชีวายังคงติดตา...
เขารู้ดีว่าห้องคนใช้หลังครัวนั้นมันแย่แค่ไหน... มันแคบ มืด และอบอ้าว
แต่เขาจำเป็ต้องส่งเธอไปที่นั่น... ไปให้ไกลจากห้องนอนของเขา ไกลจากสายตาของเขา
เพราะขืนให้เธออยู่ใกล้กว่านี้... เขาคงตบะแตก และเผลอใจอ่อนดึงเธอเข้ามากอดแน่ๆ
"อดทนหน่อยนะน้ำตาล..." ชายหนุ่มพึมพำกับความมืดในห้อง "พี่ทำแบบนี้... เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง"
ขณะเดียวกัน ณ เรือนคนใช้หลังครัว
เสียงลูกบิดประตูสนิมเขรอะดังแกรกกราก ก่อนที่ป้าสมรจะผลักบานประตูไม้เก่าๆ ให้เปิดออก เผยให้เห็นสภาพความเป็อยู่ใหม่ที่ปานชีวาต้องใช้ชีวิตนับจากวินาทีนี้ไป
“นี่จ้ะ... ห้องพักของหนู” ป้าสมรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “ป้าเพิ่งให้เด็กมาช่วยกวาดถูเมื่อกี้ อาจจะเหม็นอับนิดหน่อยนะจ๊ะ เพราะห้องนี้ปิดตายมานาน ไม่ค่อยมีใครมาอยู่”
ปานชีวาก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป สายตากวาดมองไปรอบๆ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กประมาณสามคูณสามเมตร ผนังห้องทาด้วยสีฟ้าอ่อนที่บัดนี้ซีดจางและมีรอยคราบน้ำฝนเป็ด่างดวง พื้นห้องปูด้วยไม้กระดานแผ่นเก่าที่มีร่องรอยการใช้งานมาอย่างยาวนาน บางแผ่นส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเท้า
ไม่มีเครื่องปรับอากาศ... มีเพียงพัดลมเพดานตัวเก่าสีสนิมที่หมุนเอื่อยๆ ตัดอากาศร้อนอบอ้าวภายในห้อง ส่งเสียงดัง หึ่งๆ... กึกๆ เป็จังหวะที่น่ารำคาญประสาท หน้าต่างบานเกล็ดเพียงบานเดียวที่ผนังห้องถูกติดลูกกรงเหล็กดัดเอาไว้แ่า ราวกับจะตอกย้ำสถานะ นักโทษ ของผู้อยู่อาศัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ปานชีวาทรุดตัวลงนั่งบนฟูกเก่าๆ นั้น ความแข็งของพื้นไม้กระดานส่งผ่านความเย็นเยียบขึ้นมาถึงกระดูกสันหลัง ผ้าปูที่นอนแม้จะซักสะอาดแต่เนื้อผ้าก็หยาบกระด้างบาดผิวที่เคยััแต่ผ้าไหมเนื้อดี
"ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนะจ๊ะ เป็ห้องน้ำรวมกับพวกแม่บ้านคนอื่นๆ..." ป้าสมรบอกเสียงเบา ก่อนจะวางกุญแจห้องไว้ให้ "หนูพักผ่อนเถอะ เดินทางมาเหนื่อยๆ... ป้าเสียใจด้วยนะเื่คุณพ่อ"
หญิงชราวางมือบนไหล่บางเบาๆ เป็การให้กำลังใจ นางรู้เื่พ่อของปานชีวา เพราะมาที่บ้านบ่อยๆ ก่อนจะเดินออกไปและปิดประตูลง ทิ้งให้ปานชีวาอยู่ตามลำพังในความเงียบงัน
ทันทีที่เสียงฝีเท้าของป้าสมรเงียบหายไป เขื่อนน้ำตาที่เธอกลั้นมาตลอดทางก็พังทลายลง หญิงสาวกอดเข่าซุกหน้าลงร้องไห้โฮ ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัวและความเวิ้งว้าง
ภาพห้องนอนสีพาสเทลแสนสวยที่บ้าน เตียงนุ่มหนา แอร์เย็นฉ่ำ และกลิ่นหอมของเทียนหอมอโรมา... ทุกอย่างกลายเป็เพียงอดีตที่จับต้องไม่ได้ สิ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้าคือความจริงอันโหดร้าย
เธอมองลอดผ่านซี่ลูกกรงหน้าต่างออกไปเห็นท้องฟ้ามืดมิด ไร้แสงดาว... เหมือนอนาคตของเธอตอนนี้
"อดทนนะตาล... แกต้องอดทน"
หญิงสาวยกมือปาดน้ำตา สูดจมูกแรงๆ เพื่อเรียกสติ เธอบอกตัวเองว่าห้องนี้ถึงจะเก่า จะโทรม แต่มันก็คุ้มค่าแล้วกับการแลกมาซึ่งที่ซุกหัวนอนของแม่และน้อง
ปานชีวาล้มตัวลงนอนตะแคงบนฟูกแข็งๆ ขดตัวเข้าหากันภายใต้ผ้าห่มผืนบาง กลิ่นอับชื้นในห้องทำให้เธอหายใจไม่ค่อยสะดวก แต่ความเหนื่อยล้าจากการร้องไห้และเื่ราวหนักหนาสาหัสที่เจอมาทั้งวัน ก็ค่อยๆ ฉุดรั้งสติของเธอให้จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา...
โดยที่ไม่รู้เลยว่า... ที่หน้าต่างบานเกล็ดนั้น มีเงาร่างสูงของใครบางคนยืนแอบมองอยู่ภายใต้ความมืดด้านนอก
ภูผายืนพิงผนังตึก สูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า สายตาคมกริบทอดมองร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
เขาสั่งลูกน้องให้ตัดไฟห้องนี้เมื่อกี้... แต่พอเห็นเธอร้องไห้ เขากลับเป็คนสั่งให้ป้าสมรไปหาพัดลมมาติดให้ และกำชับให้หาฟูกที่ใหม่ที่สุดมาปูให้อีกครั้ง
////****////
