หนึ่งวันผ่านไป... โลกทั้งใบสั่นะเื
ข่าวการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของตระกูลอู๋ต่อดินดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะแพร่กระจายไปทั่วทุกทวีป มันพัดไปเร็วกว่าสายลม และสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกต้องตกตะลึงไม่ใช่แค่การล่มสลายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกะเท่านั้น แต่เป็ชื่อของ อู๋จ้าว ที่ถูกลากลงจากอัจฉริยะอันดับที่ 1 ของโลกโดย ศิษย์ไร้ชื่อจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ... แถมยังถึงขั้นถูกตัดหัวท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย
ข่าวลือ ตอนแรกๆ นั้นไม่มีใครกล้าเชื่อว่ามันจะเป็ความจริง แต่เมื่อมีภาพ มีเสียง และมีร่องรอย... ความจริงก็ชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้
และสิ่งที่ทำให้เื่นี้เดือดกว่านั้นก็คือ อู๋จ้าวคือผู้ฝึกฝนพลังปีศาจที่สามารถดูดกลืนการบ่มเพาะผู้อื่นได้ ทั้งที่ตระกูลอู๋วางตัวเป็ฝ่ายธรรมะ มาโดยตลอด พวกเขาประกาศตัวว่ารักษาความยุติธรรม และกำจัดความชั่วร้าย แต่ตอนนี้ ภาพลักษณ์จอมปลอมนั่นถูกกระชากออกจนหมดสิ้น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างถาโถมเข้าใส่ตระกูลอู๋ หลายคนสาปแช่ง บางคนสงสัย และมีไม่น้อยที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ในที่สุด... เสียงทั้งหมดก็เงียบลง เมื่อการโต้กลับของตระกูลอู๋เริ่มต้นขึ้น พวกเขารวบรวมพันธมิตรจากทุกมุมของทวีป รวบรวมกองกำลังขนาดใหญ่ และเริ่ม ทำลาย ทุกอำนาจและกองกำลังที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อพวกเขา
พวกเขาไล่ฆ่าทุกคนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงา หรือแม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ไม่ยอมสยบต่อพวกเขาก็ตาย
เืมากมาย... ได้ท่วมไปทั่วทั้งทวีปหยก์
โดยที่เื่ทั้งหมดในตอนนี้... มันนำไปสู่สัญญาณที่ชัดเจนของการแบ่งโลกเป็สองขั้วอำนาจ
ขั้วหนึ่งคือ ตระกูลอู๋ และอีกขั้วคือ ทุกกองกำลังที่ไม่ใช่พันธมิตรของตระกูลอู๋
แม้โลกจะกว้างใหญ่ แม้จะมีผู้ทรงพลังมากมาย แต่... การโจมตีของตระกูลอู๋กลับรุนแรงเกินจะต้านได้ โดยเฉพาะเมื่อมีหญิงสาวปริศนาทั้งเจ็ดเป็แกนกลางในการโจมตีและกองทัพที่สวมชุดเกราะสีขาว
หญิงสาวทั้งเจ็ด... เป็ผู้ที่แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุด พลังการต่อสู้ของพวกนางนั้น สามารถบดขยี้จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ธรรมดาได้ราวกับหญ้าแห้งใต้ส้นเท้า
ด้วยพลังของพวกนางและกองทัพเกราะสีขาว ทำให้ตระกูลอู๋สามารถยึดครองพื้นที่ของทวีปหยก์ได้มากกว่า 40% ภายในเวลาอันสั้น และถ้านับรวมกองกำลังที่สวามิภักดิ์ ก็ควบคุมพื้นที่ได้เกิน 70%
ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน หลายกองกำลังโดนบีบบังคับ ข่มขู่ หรือไม่ก็ถูกลบหายไปจากแผนที่ อย่างไร้ร่องรอย กองกำลังที่ไม่มีรากฐานจากโลกเบื้องบนล้วนพ่ายแพ้หรือยอมจำนนทั้งหมด
แต่ก็ยังเหลืออยู่ 3 กองกำลังสุดท้าย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ หอการค้าหมื่นมหาสมุทร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดอกไม้ะ
ทั้งสามกองกำลังมีรากฐานจากโลกเบื้องบนที่แข็งแกร่ง และมีความแข็งแกร่งที่จัดอยู่ในระดับที่ตระกูลอู๋ไม่อาจมองข้าม หรือไม่สามารถต่อสู้ได้โดยไม่ต้องมีแผนการ และกองกำลังภายใต้การควบคุมของทั้งสามก็ยังมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ได้สั่นคลอนเหมือนที่อื่น
แต่นี่มันก็แค่จุดเริ่มต้นของโลกที่ถูกแบ่งออกอย่างชัดเจน... หนึ่งฝ่าย คือผู้ล่า อีกหนึ่งฝ่าย คือเหยื่อ
แต่ในาครั้งนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าฝ่ายไหน... จะเป็ผู้ล่ากันแน่
ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ บนยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยไอหมอกสีฟ้าอ่อน ยอดเขาของผู้นำแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะในวันนี้เต็มไปด้วยผู้มีอำนาจสูงสุดของนิกาย เ้าแห่งยอดเขาทั้งสิบ ผู้าุโหลัก ผู้าุโผู้พิทักษ์ รวมถึง บุตรศักดิ์สิทธิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์ ต่างอยู่พร้อมหน้า
[ชื่อ: ม่อหยานเซิน]
[อายุ: 18 ปี]
[ตัวตน: บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ,???]
[ระดับการบ่มเพาะ: นิพพาน ระดับที่ 3]
[ร่างกายพิเศษ: ร่างจักรพรรดิทองคำ (ระดับจักรพรรดิ) ]
[ศักยภาพ: 10 ดาว]
[ความเข้าใจ: 10 ดาว]
[โชค: สีแดง]
[ความภักดี: 40]
ม่อหยานเซิน วัย 18 ปี นั่งนิ่งอยู่ทางฝั่งขวา ใบหน้าหล่อเหลา ตาคม คิ้วเข้ม พลังงานรอบตัวเขาห่อหุ้มด้วยแสงสีทองบางๆ
[ชื่อ: หลินซูเหอ]
[อายุ: 15 ปี]
[ตัวตน: ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ]
[ระดับการบ่มเพาะ: ก่อตั้งิญญา ระดับที่ 9]
[ร่างกายพิเศษ: ร่างจักรพรรดิทะเลโลหิต (ระดับจักรพรรดิ) ]
[ศักยภาพ: 10 ดาว]
[ความเข้าใจ: 10 ดาว]
[โชค: สีแดง]
[ความภักดี: 55]
หลินซูเหอ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกาย วัย 15 ปี ดวงตาสีแดงสด พลังบ่มเพาะของนางแม้จะมีเพียงขั้นก่อตั้งิญญาระดับที่ 9 แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ตรงข้ามกับสัตว์อสูรโบราณที่พร้อมจะะเิพลังทุกเมื่อ
[ชื่อ: มู่หนานซือ]
[อายุ: 18]
[ตัวตน: เ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะ, ตัวร้ายแห่งโชคชะตา,???]
[ระดับการบ่มเพาะ: จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ระดับที่ 9]
[ร่างกายพิเศษ:???]
[ศักยภาพ: 10]
[ความเข้าใจ: 10]
[โชค: ดำ]
[ความภักดี: 78]
หานิเบือนสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ นี่น่าจะเป็ครั้งที่สองที่เขาได้เห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์พร้อมหน้ากันแบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกใกว่าก็คือ มู่หนานซือ ที่เป็ตัวร้ายแห่งโชคชะตา แถมนางยังมีโชคสีดำอีกต่างหาก เมื่อวันก่อนที่เขาเห็นนาง นางมีโชคสีแดงและไม่ได้เป็ตัวร้ายแห่งโชคชะตาอีกด้วย เพียงแค่ 1 วันมันเกิดอะไรขึ้นกัน
ในจังหวะนั้นเอง มู่หนานซือเหลือบมองหานิเล็กน้อย เพราะนางรู้สึกได้ว่าการบ่มเพาะของหานิอยู่ที่ระดับ 9 ของกึ่งจักรพรรดิแล้ว แต่ด้วยดวงตาพิเศษของนางที่สามารถมองทะลุภาพลวงตาทั้งหมดได้ กลับไม่สามารถมองเห็นระดับพลังของหานิได้เลย
นางรู้ว่าการที่หานิมีการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นมาได้ขนาดนี้ก็เพราะโอสถบวกกับความเข้าใจของเขาที่มันทะลุโลกไปแล้ว ทำให้ของเสียที่อยู่ในโอสถไม่ส่งผลต่อหานิ ซึ่งนางก็เคยฟังหานิอธิบายเกี่ยวกับการกำจัดของเสียเมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกัน แต่นางแทบจะไม่เข้าใจเลย ต่อให้เข้าใจก็ทำตามไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากมันต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายทุกส่วนและรายละเอียดเล็กน้อยๆ อีกมากมาย
แต่เมื่อนางมองมันลึกลงไปในตัวของหานิ... สติของนางกลับค่อยๆ จมดิ่งลงไปราวกับเหวที่ไร้จุดสิ้นสุด และเหมือน หานิจะรู้ตัวว่าโดนสอดแนมอยู่ เขาจึงหันมายิ้มให้นางเล็กน้อย มู่หนานซือที่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้ก็หลบตาเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมาสงบแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน
“ตลอด 1 วันที่ผ่านมาข้าได้กลับไปคิดทบทวนเื่มากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้ข้ามีเื่สำคัญจะประกาศให้ทุกคนรับรู้”
ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่นางทันที โถงประชุมเงียบลงจนแม้กระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจ
“ตระกูลอู๋... เริ่มกดดันพวกเราหนักขึ้นทุกที ซุยจื่อเมิ่งเพิ่งปิดผนึกช่องทางทั้งหมดที่เชื่อมระหว่างโลกใบนี้กับโลกเบื้องบน ทำให้ตอนนี้พวกเราไม่สามารถติดต่อกับใครจากโลกเบื้องบนได้เลย แต่ซุยจื่อเมิ่งเองก็จะไม่สามารถเข้ามาช่วยต่อสู้ในโลกใบนี้ได้เช่นกัน เนื่องจากนางต้องทำการปิดกั้นโลกใบนี้เอาไว้”
“ข้าเชื่อว่า คู่แข่งของข้าในการชิงตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สายน้ำะในโลกเบื้องบน... นางอยากให้ข้าตายที่นี่ โดยน่าจะร่วมมือและทำข้อตกลงบางอย่างกับซุยจื่อเมิ่ง โดยพวกมันจะไม่โจมตีพวกเราโดยตรงแต่จะทำในชื่อของตระกูลอู๋แทน แต่พวกมันน่าจะยังไม่โจมตีพวกเราในตอนนี้เพราะอาณาจักรลับแห่งสมุนไพรกำลังจะเปิดออก”
“แน่นอนว่า พวกเราจะไม่ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมอาณาจักรลับนี้อย่างแน่นอนเหมือนทุกทีแต่เราจะไป เพราะหากฝ่ายนั้นได้สมุนไพรระดับสูงไปทั้งหมด พวกมันอาจสร้างจักรพรรดิได้อีกหลายคนและเราจะไม่มีทางสู้กลับได้อีกต่อไปถึงแม้ว่าจะปลุกบรรพบุรุษสูงสุดทั้ง 5 คนจะออกจากโลงศพก็ตาม”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด มู่หนานซือทอดสายตามองรอบโต๊ะ ก่อนจะยิ้มมุมปาก
“จริงๆ ข้าก็ไม่ได้อยากพูดอะไรมากหรอกนะ... แต่ในนิกายตอนนี้น่ะ มีคนทรยศอยู่ ว่ามั้ย?”
เปรี๊ยะ...
เหมือนเสียงบางอย่างแตกร้าวกลางโถงประชุม สายตาทุกคู่หันซ้ายหันขวา พวกเขาสังเกตกันเองในความเงียบสงัดที่อึดอัดราวกับมีูเามาทับที่หน้าอก
แต่จู่ๆ มู่หนานซือก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางยกมือปัดอากาศอย่างไม่ใส่ใจ
“ล้อเล่นนะ ล้อเล่น~”
...
บรรยากาศที่ตึงเครียดคลายลง แต่ไม่มีใครหัวเราะแม้แต่น้อย เพราะทุกคนรู้... ว่าคำว่า ล้อเล่น ของมู่หนานซือ มันไม่ได้หมายถึงล้อเล่นจริงๆ แต่มันคือคำเตือน...
มู่หนานซือยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแรงกดดันอันแหลมคมเอาไว้
“งั้นเื่อาณาจักรลับสมุนไพรก็ฝากคนโง่ลำดับที่ 1 จี้อี้เหริน กับคนโง่ลำดับที่ 2 ม่อหยานเซิน ด้วยละกัน”
ม่อหยานเซิน พยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยังไม่ทันที่ม่อหยานเซินจะได้อ้าปากพูดอะไร ร่างเขาก็กระตุกวูบ
ฉึก!
“อ๊าาาาาาา”
ะุน้ำใสทะลวงผ่านคอของเขาในพริบตา เืสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วพื้นก่อนร่างของเขาจะทรุดฮวบลงไปนอนดิ้นกับพื้นอย่างทุกทรมาน ท่ามกลางเสียงของมู่หนานซือที่ยังคงยิ้มแย้ม ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
“นี่คือคำสั่ง... ไม่ใช่คำขอร้อง”
เสียงของนางเย็นเฉียบจนแม้แต่ผู้าุโบางคนยังรู้สึกหนาวสันหลัง ไม่มีใครกล้าขยับตัวใดๆ ทั้งนั้น
“ยังไงการส่งสายลับของฝั่งตรงข้ามเข้าไปก็ย่อมดีกว่าส่งคนของตัวเองไปตาย ใช่ไหมล่ะ... พี่สาวจี้อี้เหริน?”
นางหันไปสบตาหญิงสาวด้านตรงข้ามตรงๆ พร้อมพูดต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
“จริงๆ ข้าไม่ได้้าอะไรมากนักหรอก เอาสมุนไพรระดับหนึ่งมาสักหนึ่งต้นก็พอ ถือเป็ของขวัญตอบแทนความเชื่อใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ได้... ว่าไงละ?”
จี้อี้เหรินเงียบไป ใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่แววตาของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนนางจะหันไปมองใบหน้าที่ยังคงยิ้มอยู่ของมู่หนานซือ ความรู้สึกผิดบางอย่างถาโถมเข้าสู่หัวใจของนาง
ตอนนั้นเอง ดวงตาของมู่หนานซือเปลี่ยนเป็สีฟ้าใสที่เ็าสดใส... แต่มันกลับน่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
จี้อี้เหรินกำมือแน่นก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ข้าขอโทษ... แต่ครอบครัวของศิษย์ข้า เขาถูก...”
ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจนจบ มู่หนานซือหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแต่ยังคงรอยยิ้มไว้บนหน้า
“ช่างเป็อาจารย์ที่ดีจริงๆ เลยนะท่านเนี่ย”
“จริงๆ ข้าก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่เพียงแค่ศิษย์ใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่วัน ท่านถึงกับยอม... ทรยศข้าเพื่อมันเนี่ยนะ?”
“ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็คนช่วยท่านจากงานหมั้นกับชายแก่จากตระกูลอู๋? หรือใครที่ช่วยปลุก ร่างกาย ของท่านขึ้นมาอีกครั้ง? ใครที่รักษาศิษย์คนโตของท่านจากโรคร้ายที่ไม่มีใครรักษาได้? ใครกันที่ส่งคนไปยกเลิกงานหมั้นให้ศิษย์คนที่ 2 ของท่านกับอู๋จ้าว!?? ….”
“ข้าไง!... ข้านี่แหละ!! ข้าเองที่เป็ช่วยเหลือเ้าทุกอย่าง.. และนี้?!.. คือสิ่งที่เ้าตอบแทนข้างั้นเหรอ!? ..”
น้ำเสียงของนางหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ แม้รอยยิ้มจะยังคงอยู่บนใบหน้า แต่ทุกคำพูดของนางเป็ดังมีดที่กรีดแทงเข้าไปในหัวใจของจี้อี้เหริน
“สิ่งที่ข้าทำให้เ้ามาตลอดหลายปี... มันถูกมองข้ามแค่เพราะชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเหยียบเข้ามาในนิกายเพียงแค่ไม่กี่วันนี่งั้นเหรอ? ตอบข้าสิ!!”
เงียบ...
…..
…..
มู่หนานซือกระชากน้ำเสียงขึ้นทันที
“เ้าคงจะคันมันมากสินะ!!?”
เสียงสะท้อนของนางดังก้องไปทั่วห้องโถง พลังบางอย่างปะทุออกมารอบตัวนางจนพื้นใต้เท้าสั่นะเื
ไม่มีใครกล้าขยับ ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าหายใจแรง ทุกสายตาหันไปมองจี้อี้เหริน... และรอว่านางจะตอบว่ายังไง โดยที่ไม่มีใครมอง ม่อหยานเซิน ที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นเลย