คนของลัทธิสยบฟ้าทั้งหมดมุ่งหน้าเดินทางต่อ เพียงครู่เดียวก็ไปถึงที่พักที่ราชวงศ์แห่งต้าถังจัดเตรียมไว้ให้
เป็โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เป็ธุรกิจของราชวงศ์ การตกแต่งค่อนข้างดีและมีพื้นที่กว้างขวาง ถึงจะรับคนของลัทธิสยบฟ้าทั้งหมดสิบเจ็ดคนแล้ว ก็ยังมีที่อีกเหลือเฟือ
“พวกเ้าแยกตัวไปหาห้องแล้วพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวเข้าไปในป่าโสมั้แ่เช้าตรู่”
ผู้าุโอวี้สั่งทุกคน
“ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ต่างๆ ของลัทธิพันไหมอยู่ในม้วนไม้ไผ่เหล่านี้ พวกเ้าตรวจสอบดูได้”
เพียงครู่เดียว ทุกคนก็ได้ม้วนไม้ไผ่มาคนละม้วน ในนั้นมีข้อมูลลักษณะพิเศษของลัทธิพันไหมบันทึกไว้ และยังมีข้อมูลของสำนักน้ำแข็งเยือกบันทึกอยู่ด้วย
หลงอวี้ได้รับม้วนไม้ไผ่มาก็ขึ้นไปชั้นสองของโรงเตี๊ยม หาห้องว่างแล้วเข้าไปนั่งข้างเก้าอี้ แล้วคลี่ม้วนไม้ไผ่ชิ้นนั้นอ่านทันที
“ลัทธิพันไหม มีวิชาฝึกพลังคือเคล็ดพันไหมบัญชาเงา หลังจากฝึกสำเร็จ จะสามารถควบคุมเงาของตัวเองเพื่อใช้ต่อสู้ได้ วิทยายุทธ์ส่วนใหญ่มีวิชาฝึกพลังนี้เป็พื้นฐาน ทั้งโเี้และน่าสะพรึงกลัวยากจะรับมือ”
ควบคุมเงาตัวเองเพื่อใช้ต่อสู้?
หลงอวี้ขมวดคิ้ว นึกถึงเงาของเ้าหญิงพันไหมที่เพิ่งเจอตอนเข้าเมืองก่อนหน้านี้
คนของลัทธิพันไหม สามารถแยกเงาออกจากร่างกายได้ตาม้า ใช้เงาโจมตีแทนตัวเอง อีกทั้งเงายังพูดได้อีกด้วย ช่างพิสดารสุดขีด
ในแผ่นดินเทียนอวี้ ผู้ฝึกวรยุทธ์ได้ศึกษาวิเคราะห์ลมปราณจนพัฒนาเป็วิชาต่างๆ มากมาย วิชาฝึกพลังและวิทยายุทธ์ของลัทธิพันไหมก็เช่นกัน แท้จริงแล้วแก่นหลักก็คือการใช้ลมปราณควบคุมเงาของตัวเองด้วยวิธีการพิเศษบางอย่างนั่นเอง
‘ไม่เคยเจอวิธีการต่อสู้แบบนี้มาก่อนเลย หลังเข้าไปในป่าโสมแล้วต้องระวังตัวตลอดเวลา หลีกเลี่ยงจุดที่มีเงา จะได้ไม่ถูกลอบโจมตี...’
หลงอวี้คิดในใจ จากนั้นก็อ่านข้อมูลในม้วนไม้ไผ่เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับลัทธิพันไหมต่อ
ส่วนเื่วิทยายุทธ์ของสำนักน้ำแข็งเยือกนั้น ขั้นเริ่มต้นไม่ได้ต่างจากลัทธิสยบฟ้านัก แต่หากลูกศิษย์ของสำนักน้ำแข็งเยือกบรรลุจินตภาพในวิชาฝึกพลังของสำนักได้ พลังต่อสู้ของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
‘จินตภาพ จินตภาพอีกแล้ว เคล็ดสยบฟ้าของลัทธิสยบฟ้า กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่แฝงอยู่ภายในจินตภาพสยบฟ้าคือการกดทับ ถ้าอย่างนั้นวิชาหทัยน้ำแข็งเยือกของสำนักน้ำแข็งเยือกก็น่าจะมีกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่เกี่ยวกับน้ำแข็งแฝงอยู่กระมัง’
หลงอวี้คาดเดาในใจ การเข้าป่าโสมโบราณครั้งนี้น่าจะยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่บรรลุจินตภาพแล้ว แต่ก็วางใจไม่ได้ ต้องเตรียมตัวรับมือไว้อยู่ดี
เขาวิเคราะห์จุดเด่นวิทยายุทธ์ของทั้งสองสำนักลัทธิใหญ่อย่างละเอียด จดจำให้ขึ้นใจ ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็ข้อมูลสำคัญ ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยชีวิตหลงอวี้ในการเข้าป่าโสมโบราณพรุ่งนี้ได้
เวลาไหลไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูที่ห้องของหลงอวี้
“ศิษย์น้องหลงอวี้ เ้าอยู่ในห้องหรือเปล่า?”
เสียงพูดที่คุ้นหูดังเข้ามา
“เ้านั่นหรือ?”
หลงอวี้นึกถึงลูกศิษย์ระดับสูงที่ค่อนข้างจะพูดคุยเก่งคนหนึ่ง นามว่า ‘หลิงหาน’
หลิงหานเป็ลูกศิษย์ระดับสูงของลัทธิสยบฟ้า ตอนนี้มีวิถียุทธ์ขั้นเจ็ด เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มลัทธิสยบฟ้าตอนนี้หากไม่นับถานเจียน
ภาพลักษณ์ของหลิงหานในสายตาของหลงอวี้นับว่าไม่เลว เพราะระหว่างเดินทางมาที่นี่ ถานเจียนมักแสดงท่าทีเป็ศัตรูกับหลงอวี้อยู่บ่อยครั้ง แต่หลิงหานผู้นี้กลับไม่สนใจ ทั้งยังแสดงท่าทีเป็มิตรพูดคุยกับหลงอวี้ตามปกติ
หลิงหาน้าทำให้ลัทธิสยบฟ้าสามัคคีเป็หนึ่งเดียวกัน หวังว่าทุกคนจะได้รับโอกาสที่ดีจากป่าโสมโบราณครั้งนี้!
“ศิษย์พี่หลิงหาน มีอะไรหรือ”
หลงอวี้เอ่ยถาม
“คืออย่างนี้ ศิษย์น้องหลงอวี้ อีกประเดี๋ยวเ้าหญิงแห่งราชวงศ์จะเสด็จมาถึงเมืองแห่งโสมโบราณนี้ ข้าอยากชวนศิษย์น้องทุกคนออกไปเดินเล่นด้วยกัน ถ้าบังเอิญได้ผูกมิตรกับเ้าหญิงด้วยก็ยิ่งดี!”
หลิงหานที่อยู่ด้านนอกพูดอย่างมีมารยาท
เ้าหญิงแห่งราชวงศ์?
หลงอวี้ปวดหัวเล็กน้อย ตอนที่เพิ่งมาถึงก็เจอเ้าหญิงพันไหมไปคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังมีเ้าหญิงแห่งราชวงศ์เพิ่มมาอีก เ้าหญิงมาทำอะไรกันเยอะแยะเนี่ย?
หลงอวี้รู้อยู่แล้วว่า เ้าหญิงที่หลิงหานพูดถึงนั้นเป็เ้าหญิงตัวจริง ส่วนเ้าหญิงพันไหมเป็แค่ฉายาที่ตั้งขึ้นเองเท่านั้น
“ราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าถัง ผู้สร้างป่าโสมโบราณ และเป็ผู้ควบคุมเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่แห่งอาณาจักรต้าถัง!”
หลงอวี้ตาเป็ประกาย
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาน่าจะเป็เด็กที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเขตพระราชฐาน ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาต้องมุ่งหน้าไปที่เขตพระราชฐานแน่
ในเมื่อเ้าหญิงแห่งราชวงศ์จะเสด็จ ไปดูสักครั้งก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ในเมื่อศิษย์พี่หลิงอุตส่าห์ชวนแล้ว หลงอวี้มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธด้วยหรือ?”
หลงอวี้ตอบพลางลุกขึ้นยืน
อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเ้าหญิงนั่นสักเท่าไร เพียงแต่อยากไปดูว่า พวกราชวงศ์ของอาณาจักรต้าถังจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน!
“อะฮ่า ถ้าศิษย์น้องหลงอวี้ตกลงจะไปด้วย อย่างนั้นพวกเราก็มีกันหกคนแล้ว ออกเดินทางได้!”
หลิงหานหัวเราะร่า
หลงอวี้เปิดประตู พบชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีขาวผู้หนึ่ง เป็ชายรูปงามท่าทางสง่างาม ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกประทับใจ
ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้คือหลิงหานนั่นเอง
“ศิษย์น้อง คนอื่นรออยู่ข้างล่าง พวกเราลงไปกันเถอะ”
หลิงหานพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วหันหลังเดินลงไปชั้นล่างทันที
หลงอวี้เดินตามอีกฝ่ายไป เห็นที่หน้าประตูทางเข้าโรงเตี๊ยมมีอีกสี่คนยืนรออยู่ เพียงแต่หลงอวี้ไม่ได้สนิทกับพวกเขาเ่าั้
เมื่อทั้งสี่คนเห็นหลงอวี้ก็มีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย แต่เห็นแก่หน้าของหลิงหาน จึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ทั้งหกคนเดินไปบนถนนของเมืองแห่งโสมโบราณยามค่ำคืน
ป่าโสมโบราณแห่งราชวงศ์ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมาเยือนนัก เพราะเป็เมืองที่ค่อนข้างเงียบเหงา อันที่จริง ป่าโสมโบราณก็เป็เหมือนสวนดอกไม้แห่งหนึ่งที่ราชวงศ์สร้างขึ้น
ดังนั้น ราชวงศ์จึงเชิญสำนักลัทธิและตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาเก็บเกี่ยวโสมโบราณที่นี่ปีละครั้งเสมอ ถือเป็การบ่มเพาะว่าที่ยอดฝีมือของอาณาจักรต้าถังไปในตัว
“อ้าว นั่นมันคนของสำนักน้ำแข็งเยือก”
ระหว่างทางพลันมีคนเห็นกลุ่มลูกศิษย์ของสำนักน้ำแข็งเยือกสี่คนกำลังเดินอยู่บนถนนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
หลงอวี้หันมองตาม ก็ชะงักไปทันที
ในกลุ่มคนของสำนักน้ำแข็งเยือกสี่คนนั้น มีสตรีนางหนึ่งสวมชุดสีเขียวอ่อน ผมยาวประบ่า คาดกระบี่สีทองแดงเล่มหนึ่งไว้ที่เอว
เฟิงเหยา!
หลงอวี้มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าสตรีนางนั้นคือเฟิงเหยา ส่วนกระบี่ที่คาดเอวอยู่คือยุทธภัณฑ์ระดับสูงของเฟิงฉางเกอ กระบี่โบราณปิ่งโถง
ข้างๆ เฟิงเหยามีชายหนุ่มรูปงามสวมเสื้อผ้าหรูหราคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ชิดกับนางมาก เดาได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคงจะไม่เลวทีเดียว
ศิษย์สำนักน้ำแข็งเยือกทั้งสี่คนก็ย่อมสังเกตเห็นพวกหลงอวี้ด้วยเช่นกัน
“ดูนั่น คนของลัทธิสยบฟ้า”
“คนที่อยู่หน้าสุดคงจะเป็หลิงหานสินะ? หน้าตาไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าฝีมือจะเป็อย่างไร”
ลูกศิษย์หญิงสองคนในนั้นพูดคุยกัน
ในตอนนั้นเอง เฟิงเหยาก็หันมามอง และเห็นหลงอวี้อยู่ในกลุ่มนั้น!
เฟิงเหยาเห็นหลงอวี้แล้วก็ขมวดคิ้วฉับ
“เ้านั่น? เป็ไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของเฟิงเหยาตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างๆ เขาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
“เหยาเอ๋อร์ เ้าเจอใครหรือ?”
“ไอ้สวะที่ข้าเคยเล่าให้เ้าฟัง ว่าแต่ มันมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?”
เฟิงเหยาตอบพลางมุ่นคิ้ว
“ไอ้สวะนั่น?”
ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างนางชะงักไป จากนั้นก็มองไปยังจุดเดียวกับที่เฟิงเหยามอง และได้เห็นหลงอวี้!
ตอนนี้หลงอวี้ยืนอยู่ด้านหลังหลิงหานด้วยสีหน้าเฉยชา
หลงอวี้คาดเดาไว้แล้วว่าถ้าออกมาข้างนอกอาจมีโอกาสได้เจอกับเฟิงเหยา เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจอะไร คืนนี้เขาแค่้ามาดูคนของราชวงศ์ ส่วนเื่เฟิงเหยา รอให้เข้าป่าโสมโบราณก่อนค่อยจัดการก็ยังไม่สาย
แต่การที่หลงอวี้ไม่สนใจอีกฝ่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขา!
ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างเฟิงเหยาส่งเสียงหัวเราะเ็า จากนั้นก็เดินมายังจุดที่หลงอวี้อยู่ทันที!
เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเคลื่อนไหว ลูกศิษย์หญิงของสำนักน้ำแข็งเยือกอีกสามคนที่เหลือรวมถึงเฟิงเหยาย่อมไม่อยู่เฉย เดินตามมาด้วยทันที
พอเห็นท่าทีของอีกฝ่าย หานหลิงก็หัวเราะเสียงดังกังวาน ก้าวเท้าไปขวางทางอีกฝ่ายไว้
“สหายสำนักน้ำแข็งเยือกท่านนี้ มีอะไรก็พูดจากันดีๆ อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ ล่ะ!”
พอชายรูปงามของสำนักน้ำแข็งเยือกผู้นั้นได้ยิน ดวงตาของเขาพลันฉายแววดูถูก ชี้นิ้วมาทางหลงอวี้
“ให้ไอ้สวะนั่นออกมา ข้ามีเื่จะบอกมัน!”
สี่คนที่เหลือที่ยืนอยู่ข้างๆ หลงอวี้พากันถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที แสดงออกว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับเื่นี้!
มีเพียงหลิงหานที่ยังยืนขวางหน้าหลงอวี้ไว้ ไม่คิดจะขยับแม้แต่น้อย
“สหาย ที่นี่คือเมืองแห่งโสมโบราณนะ อย่าทำอะไรไร้เหตุผลดีกว่า”
หลิงหานยังคงยิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงแฝงความดุดัน แม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีโอหัง แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ผู้อื่นมาหาเื่ง่ายๆ เหมือนกัน
“ช่างเถิด ศิษย์พี่หลิงหาน ข้าจัดการเอง”
หลงอวี้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจ
การที่หลิงหานออกตัวช่วยเหลือเขา เป็เื่ที่คาดไม่ถึง แต่เื่นี้ เขาจะไปดึงหลิงหานมาโดนลูกหลงด้วยได้อย่างไร?
คนที่มีความแค้นกับเฟิงเหยาคือเขาไม่ใช่หลิงหาน!
ยิ่งกว่านั้น หลงอวี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะจัดการเื่ตรงหน้าไม่ได้
“ศิษย์น้อง เ้า...”
หลิงหานหันกลับมามองหลงอวี้ เขาเห็นความมั่นใจในดวงตาของหลงอวี้ จึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ก็ได้ ให้เ้าจัดการเองก็แล้วกัน!”
หลิงหานจำได้แล้วว่า ตอนที่หลงอวี้อยู่ในลัทธิสยบฟ้า แม้แต่เฟิงอวิ๋นที่ซัดหลงอวี้ไปหนึ่งฝ่ามือก็ยังถูกสะท้อนกลับจนาเ็สาหัส!
ศิษย์น้องผู้นี้ มีฝีมือแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ทั้งยังมีพลังลับบางอย่างด้วย
หลิงหานจึงไม่จำเป็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยแต่อย่างใด
“ไอ้สวะ เ้ายังมีหน้าออกมาอีกหรือ นับว่าใจกล้าไม่เบา นึกว่าเ้าจะเป็พวกดีแต่แอบอยู่ข้างหลังผู้อื่นเสียอีก”
พอเห็นหลงอวี้ออกมาเผชิญหน้า อีกฝ่ายก็หัวเราะเย้ยหยัน
แต่หลงอวี้ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย
เขากลับหันไปมองเฟิงเหยา จากนั้นก็ถามพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
“เสี่ยวเหยา ไม่เจอกันเสียนาน ทำไมข้างกายเ้าถึงมีสุนัขที่ดีแต่เห่าซี้ซั้วเพิ่มขึ้นมาอีกตัวล่ะ”
สุนัข!
คำพูดนี้ทำให้ชายรูปงามหน้าเขียวไปในพริบตา ไอ้สวะนี่บังอาจเรียกเขาว่าสุนัขอย่างนั้นหรือ
“เขาเป็ลูกพี่ลูกน้องของข้า เป็คนของตระกูลหลิ่วแห่งเขตพระราชฐาน นามว่า ‘หลิ่วิเซวียน’ เป็ลูกศิษย์ระดับสูงของสำนักน้ำแข็งเยือกเหมือนกับข้า”
เฟิงเหยาพูดอย่างเฉยชา ดวงตาคู่งามแฝงความเย้ยหยัน มองหลงอวี้ด้วยความสนใจ ราวกับอยากรู้ว่าหลงอวี้จะจัดการสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
ตระกูลหลิ่วแห่งเขตพระราชฐาน หลิ่วิเซวียน!
ในที่สุดหลงอวี้ก็ได้รู้สถานะของไอ้สุนัขตรงหน้าตัวนี้ ที่แท้ก็เป็ลูกพี่ลูกน้องของเฟิงเหยา ญาติฝ่ายมารดานี่เอง!
คิดไม่ถึงว่า หลิ่วอวี้ มารดาของเฟิงเหยาจะเป็คนจากเขตพระราชฐาน ว่าแต่…ทำไมถึงแต่งงานกับเฟิงฉางเกอได้ล่ะ?
หรือว่า เฟิงฉางเกอก็เคยอยู่ในเขตพระราชฐานเหมือนกัน?
‘ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ!’
หลงอวี้คิดในใจ
ถ้าอย่างนั้น การสืบหาฐานะที่แท้จริงของตัวเองดูจะไม่ใช่เื่ยากเย็นอีกต่อไป ขอเพียงไปยังเขตพระราชฐานก็น่าจะไขปริศนาได้ไม่น้อย