เมื่อหลินต้าหลางเห็นปู่หลินมองเขาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวไม่ค่อยดีนัก จึงรีบเก็บสายตาบ้าคลั่งของตนและกุมมือปู่หลินไว้ทั้งสองข้าง "ท่านปู่ หากทำตามที่ข้าพูดได้ ย่อมทำให้ความร่ำรวยของบ้านหลินฟู่อินหายไป เช่นนี้นางก็ไม่อาจมาทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าท่านกับท่านย่าได้อีก!"
แต่ว่าปู่หลินไม่ได้้าให้ความร่ำรวยของหลินฟู่อินหายไปแม้แต่น้อย หากพูดตามความจริงแล้ว ที่บ้านเดิมและบ้านรองดีขึ้นทุกวันๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น มิใช่ล้วนเป็สิ่งที่ได้รับจากหลินฟู่อินหรือ?
เขาคิดอย่างชัดเจน ถ้าหลินฟู่อินไม่มีเงินสักอีแปะ ชีวิตย่อมลำบากขึ้น และพวกเขาไม่มีเงิน ชีวิตจะยิ่งกว่าลำบากยากเข็ญ
ปู่หลินไตร่ตรองอย่างรอบคอบสุดใจ นับแต่หลินฟู่อินมีเงินทอง ก็มิได้ทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้าคนบ้านเดิม ตรงกันข้าม หากนางมีของดีๆ ก็คิดแบ่งให้ บางโอกาสก็ยังซื้อเนื้อสัตว์พืชผักมาฝากบ้านเดิมอีก หากงานยุ่งจนไม่มีเวลาจะซื้ออาหารสักมื้อ ก็จะมอบเงินไว้ให้สักหนึ่งหรือสองตำลึงเงิน
ถ้าหลินฟู่อินไม่มีเงินสักตำลึง เื่พวกนี้จะหาได้จากที่ไหนได้อีกเล่า?
"ไม่ ต้าหลาง" ปู่หลินไม่สับสน ออกปากคัดค้านความคิดของต้าหลางทันที ชายชรามองต้าหลางแล้วให้คำชี้แนะว่า "ต้าหลาง เ้าไม่ควรฆ่าไก่เพื่อเอาไข่ [1] เก็บหลินฟู่อินไว้เพื่อหาเงินเช่นนี้ ถึงแม้ต่อปีจะไม่มากแต่ก็ยังได้ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดไม่น้อย สิ่งสำคัญคือเงินพวกนี้ได้มาทุกปี!"
อย่างไรชายชราก็ยัง้าเงินของหลินฟู่อิน…
"ท่านปู่ แปลว่าท่านไม่คิดจะไปยืมเงินหลินฟู่อินหรือ?" หลินต้าหลางจ้องเขม็งไปที่ปู่หลินด้วยสีหน้าดุดัน ราวกับอีกฝ่ายเป็ศัตรูของบิดาอย่างไรอย่างนั้น
ปู่หลินตัวสั่นเทา ขวัญเสียเพราะสายตาดุร้ายของหลินต้าหลาง
"ต้าหลาง ข้าไม่ได้พูดว่าจะไม่ยืม แต่การยืมเงินสองหรือสามร้อยตำลึงเงินก็มากพอแล้ว จะยืมสองหรือสามพันตำลึงเช่นนี้นับว่ามากเกินไป!" ปู่หลินทำหน้านิ่วใส่ "คิดถึงอนาคตสิ เพื่อตัวเ้าเอง"
เขายังรู้สึกว่าหลินต้าหลางยังเด็กนัก ยังคิดหัวไม่ถึงหาง ไม่ค่อยถ้วนถี่รอบคอบ
เมื่อหลินต้าหลางเห็นปู่หลินที่ไม่เพียงบอกปัดแผนการตน แต่ยังสั่งสอนเสมือนเขาขาดสติ นั่นทำให้เขาหมดความอดทนกับอีกฝ่ายทันที
แต่เขาไม่สามารถขัดใจปู่หลินได้ จิตใจจึงยิ่งทวีความทุกข์ทรมาน ใบหน้ายิ่งมองแทบไม่ได้
"ไม่ขอรับ ท่านลองคิดอีกคราเถิด ยืมเงินสองหรือสามร้อยตำลึงจะไปทำอะไรได้?" หลินต้าหลางถาม น้ำเสียงย่ำแย่
ปู่หลินมองเขาและถอนหายใจ ต้าหลางเอ๋ย ใจเ้าช่างละโมบนัก!
"หลานรักเอ๋ย เ้าต้องรู้ด้วยว่าแม้จะเป็หลินฟู่อินก็มิได้มีเงินมากมายปานนั้น จะขอยืมไปเพื่ออะไร?" ปู่หลินพูดด้วยความรู้สึกขมฝาดอีกครา
หลินต้าหลางยิ้มเยาะในใจ ตาแก่นี่แก่แล้วสายตาก็พร่ามัวไม่คมชัดเหมือนแต่ก่อน หลินฟู่อินน่ะหรือจะไม่มีเงินสองสามพันตำลึงเงิน? เขาไม่เชื่อเด็ดขาด!
เขายังจำได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ตอนเขาเดินผ่านหน้าบ้านหลินฟู่อิน เห็นประตูบ้านของนางที่ไม่ได้ปิดสนิทจึงลอบเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่พบใคร ตอนนั้นเห็นว่าหลินฟู่อินล้วนอยู่ดีกินดีทุกมื้อจึงได้เข้าครัวไปเพื่อหาของกินอร่อยๆ ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็เครื่องถ้วยชามลายครามขาวสะอาดปิดฝาวางอยู่บนโต๊ะ
ณ เวลานั้น เขาคิดว่าเขาต้องหาอะไรอร่อยๆ แต่พอเปิดมันออกมาดู หัวใจเขาก็เต้นรัวจนแทบหลุดออกมาทางคอ…
อาหารอะไรกันเล่า? ล้วนเป็ตั๋วแลกเงินตำลึง!
เขาคว้าตั๋วเงินมาด้วยมือสั่นเทา จากนั้นก็วิ่งหนีออกมาโดยไม่เปิดดูด้านใน
โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีใครบังเอิญผ่านมาแถวนั้น เขาวิ่งกลับไปที่บ้านเดิมตระกูลหลินแทบจะทันที เมื่อเปิดดูก็พบว่าในนั้นคือตั๋วเงินจำนวนสามร้อยตำลึงเงิน!
จากนั้นเขาก็คอยตามข่าวของหลินฟู่อินอย่างใกล้ชิด กลับไม่มีการกล่าวถึงตั๋วเงินที่หลินฟู่อินทำหายไป
หลินต้าหลางลอบยินดี ทั้งยังคาดเดาว่าหลินฟู่อินที่ทำเงินก้อนโตหายกลับไม่กล้าป่าวประกาศ คงกลัวว่าผู้คนจะรู้เื่ที่นางมีเงินสามร้อยตำลึงให้ควักออกมาง่ายๆ แล้วจะเกิดเื่ขึ้นกระมัง?
ดังนั้นเขาจึงยิ่งใจกล้ามากขึ้น อาจหาญไปเดินเล่นหน้าบ้านหลินฟู่อินบ่อยๆ น่าเสียดาย ขอเพียงหลินฟู่อินไม่อยู่บ้านประตูก็ถูกลงกลอนไว้เสมอ
ทำให้เขาไม่มีโอกาสอีก...
หลินต้าหลางรู้สึกตัว มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น
หากตอนนั้นครอบครัวหลินฟู่อินสามารถวางเงินกว่าสามร้อยตำลึงไว้ในห้องครัวแล้วใช้ชามข้าวคว่ำทับไว้ง่ายๆ ถึงกับลืมเก็บให้ดี คิดดูว่านางจะได้เงินมากมายเท่าไรกัน?
เงินสามร้อยตำลึงที่เขาได้เห็นทั้งหมดนั่นแทบจะเรียกว่าไม่ควรเอามาคิดด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้ตาแก่กลับบอกว่า หลินฟู่อินไม่มีเงิน?
เื่ตลกหรืออย่างไร?
ใครจะไม่มีเงินก็ช่าง แต่หลินฟู่อินไม่มีทางไม่มี!
แต่หลินต้าหลางเข้าใจว่าเมื่อปู่หลินตกลงแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่้าเสวนากับปู่หลินอีก
ตอนนี้ปู่หลินมองมาที่เขาและถาม "ต้าหลาง เ้าเข้าใจหรือไม่?”
"ท่านปู่ ล้วนเป็เพราะหลานยังเด็กไม่รู้ความ ท่านปู่ทำสิ่งที่ท่านเห็นสมควรเถิดขอรับ หลานล้วนเชื่อฟังท่าน" หลินต้าหลางตอบอย่างขอไปที
ปู่หลินกลับเข้าใจว่าหลินต้าหลางกำลังเยินยอตน ท่าทีแสดงออกมาล้วนเป็สุภาพชนทำให้เขารู้สึกโล่งอกยิ่งนัก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ทำให้รู้สึกตัวเบาขึ้นไม่น้อย
ดูเอาเถอะ หลานชายของเขาเป็ซิ่วไฉแล้วก็ยังเคารพผู้เฒ่าและตั้งตนอยู่ในโอวาทเช่นนี้
หลินต้าหลางกำลังขบคิดในหัวว่า ไม่ว่าอย่างไรทางตระกูลของนายท่านเจิ้งย่อมไม่มีทางยินยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ อีกทั้งเขาไม่มีทางปล่อยให้เงินห้าหกร้อยตำลึงเงินลอยหายไปได้!
ทว่าจะส่งใครไปก็ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบเป็อย่างดี…
หลินฟู่อินคิดว่าเื่ราวในวันนี้ง่ายดายจนเกินไป ดังนั้นจึงให้หลิวฉินกลับเมืองไปก่อน ส่วนนางจะไปทีไร่กะหล่ำปลี
นับแต่เฟิงซื่อและหลินต้าเหอช่วยนางปลูกกะหล่ำปลีก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว
เพื่อรับประกันว่าจะมีกะหล่ำปลีวางขายในตลาดให้เร็วที่สุด เมื่ออากาศเริ่มหนาวขึ้น หลินฟู่อินได้ขอให้หลินต้าเหอช่วยเก็บฟางข้าวมาคลุมไร่กะหล่ำปลีเพื่อรักษาอุณหภูมิ เช่นนี้กะหล่ำปลียังโตได้ง่ายขึ้นด้วย
เมื่อนางมาถึงแล้วมองก็ได้เห็นว่าผืนแปลงถูกคลุมเอาไว้ด้วยฟางสีเหลืองทอง เื่นี้ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหลินต้าเหอมีฝีมือมากจริงๆ
อย่างที่เห็น ทุกคนต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง
หลินฟู่อินเดินไป ย่อตัวลงและออกแรงดึงฟางออก จากนั้นก็มองเห็นกะหล่ำปลีที่เริ่มอวบกลม
ชื่ออื่นของกะหล่ำปลีก็คือกะหล่ำใบ จีนกลางเรียกเจวียนซินไช่ [2] ส่วนคนต้าเว่ยเรียกหยวนไป๋ไช่[3]
ผักชนิดนี้เหมาะแก่การเป็เสบียง ทั้งยังเหมาะที่จะนำมาทำกิมจิหรือผักดอง
หลินฟู่อินมองไปที่ใบชั้นนอกที่เป็สีเขียวมรกต ภายในมีใบสีขาว ต้นอ่อนตรงกลางเป็ลูกกลมๆ สีขาวล้วน ดูดียิ่งนัก
กะหล่ำปลีพวกนี้งอกงามดีกว่าที่นางคาดไว้ ดูตามสถานการณ์แล้วคิดว่าจะเก็บได้ภายในวันสองวันนี้
ขณะเดียวกันนางก็กลัวว่ามันจะสายเกินไป
สมองของหลินฟู่อินประมวลอย่างเร็ว ในที่สุดก็เกิดความคิดออกมาได้ อย่างไรนางก็คุ้นเคยกับภัตตาคารหลิวจี้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็มอบหมายเื่นี้ให้เถ้าแก่หลิว แล้วให้เขาส่งคนมาช่วยเก็บเกี่ยวก็พอ
เก็บเกี่ยวเสร็จก็ให้คนของเขามาชั่งน้ำหนัก แล้วคำนวนเงินตำลึงโดยตรงทีเดียว
พอหลินฟู่อินคิดเสร็จ นางก็จัดการออกแรงดึงกะหล่ำปลีที่โตที่สุดในพุ่มกองฟาง แล้วนำมันกลับไปทำอาหารเย็น
เวลานี้ในใจนางไม่คิดจะส่งของไปที่บ้านเดิมสกุลหลินหรือส่งให้บ้านรองแม้แต่น้อย
เื่ที่หลินเฟินเจอวันนี้ แม้นางจะไม่ได้เจอกับตัวเองแต่ก็ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ
นางจึงไม่มีอารมณ์จะใส่ใจคนหน้าไหว้หลังหลอกพวกนั้น
หลินฟู่อินลองย้อนคิดดู หากมิใช่ท่านพ่อของนางหายตัวไปและยังไม่ตาย นางก็คงคร้านจะใส่ใจสามีภรรยาผู้เฒ่าที่บ้านเดิมแล้ว ถึงจะพูดแล้วดูไม่ค่อยดีนัก แต่คนบ้านเดิมพวกนั้นมีหรือจะใส่ใจว่าสองผู้เฒ่าอยู่หรือตาย
เห็นแก่หน้าของพ่อนาง แม้จะไม่อยากเสียเวลา แต่หากคนอื่นชี้หน้าด่าหลินสามพ่อของนางว่าเลี้ยงลูกมาอย่างไรก็คงไม่ดี…
ระหว่างทางกลับบ้านพร้อมกะหล่ำปลี นางได้พบกับชาวบ้านอยู่หลายคน เมื่อชาวบ้านเห็นหลินฟู่อินถือกะหล่ำปลีฉ่ำน้ำอยู่ในมือ พวกเขาล้วนอิจฉา พากันถามว่านางปลูกกะหล่ำปลีขึ้นมาได้อย่างไร
หลินฟู่อินเห็นว่าไม่จำเป็ต้องปิดบังแล้ว ดังนั้นจึงบอกวิธีการปลูกออกไปโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยว่าปีหน้าใน่ปลายฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เมื่ออากาศหนาวเริ่มหนาวเกินไปก็ให้นำฟางข้าวมาคลุมเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่น เช่นนี้ก็จะสามารถหากะหล่ำปลีสดๆ มากินได้แล้ว
ชาวบ้านเห็นหลินฟู่อินเต็มใจสอนเช่นนี้ก็ขอบคุณนางด้วยความซาบซึ้งใจ
กลับถึงบ้าน ย่าหลี่ก็ออกปากทักทาย เมื่อคนเห็นกะหล่ำปลีในมือเด็กสาวก็หัวเราะ “โอ โตจริงๆ เสียด้วย ขนาดไม่ได้เล็กกว่ากะหล่ำปลีที่ปลูกกันใน่ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนเลย"
หลินฟู่อินก็ผงกหัวด้วยรอยยิ้ม ยกกะหล่ำปลีขึ้นมา “คืนนี้ทำกะหล่ำปลีทอดเป็อย่างไร”
"ข้าจะเอาไปล้างเอง เ้าคุยกับย่าเ้าเถอะ" แม่นมฉินหัวเราะ ตอนนี้เด็กๆ สองคนหลับไปแล้ว นางจึงมีเวลา
หลินฟู่อินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและส่งกะหล่ำปลีให้อีกฝ่าย
ย่าหลี่รินน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วย ดวงตาสะท้อนแววเย้ยหยัน "บ้านเดิมตอนนี้กำลังคึกครื้นเชียว"
หลินฟู่อินพยักหน้า และพูดเสียดสี "เ้าค่ะ ช่างคึกครื้นจนทำให้ผู้คนหัวร่อ"
ย่าหลี่ส่ายศีรษะและถอนหายใจ "ปู่ของเ้าเข้มแข็งมาทั้งชีวิต แต่พอแก่เฒ่ากลับเสียทั้งหน้าทั้งชื่อเสียงที่สั่งสมมาเสียนานไปง่ายๆ”
หลินฟู่อินเอื้อมไปหยิบผลส้มบนโต๊ะมาปอกเปลือก พูดให้ความเห็นเสียงเรียบ “จะโทษใครได้เล่า? เขาเพียงแต่หมกมุ่นกับลูกและหลานชายสกุลหลินคนโตมากเกินไป เมื่อใจบอดตาย่อมบอดมิใช่หรือ? ข้าไม่รู้สิ่งใดทั้งนั้น”
"ใช่หรือไม่เล่า?" ย่าหลี่ส่ายศีรษะ จากนั้นมามองหลินฟู่อินแล้วถาม "นี่ฟู่อิน วันนี้ข้าได้ยินจากบ้านเดิมมาว่าเ้าจะไปต่างเมือง เหตุใดข้าจึงไม่ได้รู้จากเ้าก่อนเล่า? เหตุใดไม่บอกย่าว่าเ้าจะไปเมืองใหญ่เสียแล้ว?"
คำถามของย่าหลี่นี้จริงๆ เป็สิ่งที่หลินฟู่อิน้าจะคุยกับอีกฝ่ายวันนี้พอดี
“ข้าวางแผนของข้ามานานแล้วเ้าค่ะ แต่หลังการค้าขายกับคุณชายใหญ่หลิวฉินจากภัตตาคารหลิวจี้ ข้าพบว่าเขาเป็ผู้มากความสามารถ เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้วก็ดูแลได้เรียบร้อยเหมาะสมโดยไม่จำเป็ต้องมีข้าเลย" นึกถึงหลิวฉินแล้ว หลินฟู่อินแย้มยิ้มบางเบา นับเป็คนมีความสามารถผู้หนึ่ง
"เช่นนั้นเอง..." ย่าหลี่ผงกหัว
"ดังนั้นข้าจึง้าส่งต่อกิจการค้าขายถั่วปากอ้าและถั่วงอกในเมืองให้แก่เขา" หลินฟู่อินกล่าว
ย่าหลี่คิ้วขมวดและถามต่อ "แล้วเ้าจะจัดการกับพวกบัญชีอย่างไรเล่า?"
"เื่บัญชีง่ายมากเ้าค่ะ ข้าเอาส่วนแบ่งแค่สามต่อเจ็ด และข้าไม่ได้สนใจด้วยว่าจะมีใครไปรับซื้อถั่วแห้งหรืออะไร ข้าจะบอกวิธีทำถั่วงอกให้เขา" หลินฟู่อินหัวเราะ
"ทางนั้นก็ยินยอมด้วยหรือ? เช่นนี้ยอมจ่ายเงินตำลึงซื้อสูตรเพาะถั่วงอกไปไม่ดีกว่าหรือ?” ย่าหลี่ฟังจบก็ถามกลับ
หลินฟู่อินจำได้ว่าหลิวฉินมาตามตื๊อขอสูตรเพาะถั่วงอกอยู่นาน ทำให้นางยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ แน่นอนว่านางไม่ได้้ามันอยู่แล้ว หากนางขายสูตรให้หลิวฉิน เด็กคนนั้นอย่างไรก็ต้องลงมือทำคนเดียวอยู่แล้ว หากเป็เช่นนั้นอีกหน่อยนางจะข่มเขาไว้ได้อย่างไร?
อีกอย่าง นางสั่งให้เขาช่วยนางหาเงิน แต่ก่อนเขาจะช่วยนางหาเงินได้ นางก็ต้องสร้างกำไรมหาศาลให้อีกฝ่ายเสียก่อน เช่นนั้นเขาจึงจะมั่นใจในตัวนาง ในอนาคตจะได้ยิ่งมุ่งมั่นช่วยนางค้าขาย
หลินฟู่อินยิ้ม "ใครพูดว่าเขาไม่คิดจะซื้อสูตรทำถั่วงอกกันเ้าคะ? ถึงขั้นตอนจะเหนื่อยยาก แต่ข้าก็ยินยอมที่จะมอบแก่เขาไม่ใช่หรือ?"
"ถูกของเ้า" ย่าหลี่คลี่ยิ้ม
ถึงแม้ว่าหลินฟู่อินจะใช้วิธีเพาะถั่วงอกมาเป็เครื่องมือในการต่อรองผลประโยชน์ แต่นางก็เป็คนช่วยบิดาเขาให้หาทางดีๆ ในการส่งอาหารเช่นกัน
ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน บริการขนส่งอาหารก็ยิ่งขายได้มากขึ้นทุกที ตอนนี้บริการขนส่งอาหารได้กลายเป็ที่นิยมในชิงหยางไปแล้ว
กระทั่งผู้ดูแลฮวาที่ภัตตาคารเยว่เค่อยังคิดสรรหาวิธีทำรถเข็นส่งอาหารที่เถ้าแก่หลิวมี แน่นอนว่าเถ้าแก่ผู้นั้นก็ฟันหัวอีกฝ่ายจนแบะเลยทีเดียว
"ท่านย่า ข้าอยากให้ท่านและป้าฉินพาเสี่ยวเป่าและเสี่ยวเป้ยเข้าเมืองพร้อมข้าด้วยได้หรือไม่เ้าคะ?" หลินฟู่อินมองย่าหลี่อย่างจริงจัง
หลังคิดทบทวน ย่าหลี่ก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ฟู่อินน้อย ข้าคงไม่ได้ตามเ้าไปหรอก ประเดี๋ยวข้าจะช่วยเ้าดูแลบ้านที่หมู่บ้านหูลู่แห่งนี้แทนเ้าเอง”
หลินฟู่อินชะงัก นางไม่คิดว่าย่าหลี่จะไม่ยินดีติดตามเข้าเมืองไปพร้อมนาง
"ฟู่อิน ถึงแม้ว่าข้าไม่ได้ไป ข้าสามารถแนะนำคนให้เ้าได้ เ้ารู้จักคนผู้นี้เช่นกัน ฉินหมัวมัวผู้นั้นอย่างไรเล่า" ย่าหลี่พูดขึ้นมาทันที
หากฉินหมัวมัวยอมตกลงติดตามนางไป นางย่อมยินดีเป็แน่ แต่อย่างไรนางก็ไม่อยากปล่อยย่าหลี่ไปเช่นกัน
ย่าหลี่ยอมติดตามนางในเวลาที่นางลำบากที่สุด ช่วยนางดูแลน้องชายน้องสาว หลินฟู่อินย่อมจดจำบุญคุณนี้ไปชั่วชีวิต นาง้าทำงานให้เต็มที่เพื่อทำให้ย่าหลี่ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในบั้นปลายของชีวิต แต่ว่าตอนนี้…
"ท่านย่า ไปกับข้าเถิดนะเ้าคะ ในหมู่บ้านหูลู่นี้ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้ายังคุยกับหลี่เจิ้งและพวกผู้าุโในหมู่บ้านเอาไว้แล้ว พวกเขาจะช่วยข้าเฝ้าดูที่นี่เอง" หลินฟู่อินรู้สึกไม่สบายใจนัก ยิ่งมองย่าหลี่ก็ยิ่งรู้สึกฝืนใจ
ย่าหลี่จับอารมณ์ของนางได้ก็ตบบ่านางเบาๆ “เด็กน้อย เ้ารู้จักคนบ้านเดิมดีกว่าใคร ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเ้ารักษาบ้านเอาไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือยามเ้าแก่เฒ่าอย่างไรก็ไม่อาจแยกจากผืนดินบ้านเกิดได้!"
หลินฟู่อินที่ได้ยินก็ฝาดขมไปทั้งใจ แต่ยังคงเคารพการตัดสินใจย่าหลี่
"ทราบแล้วเ้าค่ะ" หลินฟู่อินพยักหน้า
ย่าหลี่ยิ้มถาม "เ้าจะเริ่มออกเดินทางเมื่อใด?"
หลินฟู่อินนึกคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว "เกรงว่าจะเป็่เทศกาลวันส่งท้ายปีเก่า ข้าอยากใช้เวลาทั้งปีเพื่ออยู่กับท่านย่าในหมู่บ้านหูลู่เ้าค่ะ"
"เข้าใจแล้ว" ย่าหลี่พยักหน้า "หากจะเข้าเมืองจริงๆ อย่างไรก็ต้องหาแม่นมให้เสี่ยวเป่าเสี่ยวเป้ยแล้ว”
หลินฟู่อินใคร่ครวญเื่นี้เอาไว้แล้วเช่นกัน นางจัดการถามหลิวฉินให้ช่วยเขียนจดหมายไปหาฉางหนิงสหายที่สนิทกันดังพี่น้องผู้นั้น เพื่อให้ช่วยหาแม่นมที่เรียบร้อยมาสักสองคน
หลิวฉินไม่ชักช้า จดหมายถูกส่งไปเนิ่นนานแล้ว ฉางหนิงคงกำลังขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่
คืนนั้นนางค้างที่หมู่บ้านหูลู่ เช้าตรู่วันต่อมาหลินฟู่อินก็หยิบกะหล่ำปลีห้าถึงหกลูกที่ย่าหลี่ไปเด็ดมาให้ จากนั้นก็เข้าเมืองพร้อมสองพี่น้องหลินเฟินหลินฟางที่หอบหิ้วกระเป๋าใบโต
เดิมทีนางคิดจะซื้อรถม้า แต่ตอนนี้นางคิดจะไปชิงเหลียน ดังนั้นไปซื้อที่นู่นท่าจะดีกว่า
หลินฟู่อินมองเห็นหลินเฟินและหลินฟางอารมณ์ไม่ได้กระตือรือร้นนักก็พอจะทราบว่าในใจทั้งคู่คิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้รบกวนทั้งสองนัก
เื่บางเื่ คนเราก็ต้องคิดหาทางออกด้วยตัวเอง
นางจัดการที่ทางของหลินเฟินและหลินฟางให้อยู่บ้านในเมือง หลินฟางมีธุระต้องจัดการในเมือง ทั้งนางยัง้าช่วยหลิวฉินทำการค้าบริการขนส่งของ เพราะว่าหลิวฉินมีการส่งถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกสดใหม่ให้บรรดาเ้าของภัตตาคารที่สั่งซื้อเข้ามาทุกๆ เช้า
หลินฟู่อินตั้งใจจะนำกะหล่ำปลีอ้วนๆ ไปที่ภัตตาคารหลิวจี้
นางจึงให้หลินเฟินพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่หลินเฟินไม่อยากอยู่เฉยจึงคว้าไม้กวาดมาทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง หลินฟู่อินก็ตามใจนาง
เมื่อถึงภัตตาคารหลิวจี้ เถ้าแก่หลิวเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบวางมือจากงาน และต้อนรับด้วยตัวเองพร้อมรอยยิ้มสดใส
"โอ ฟู่อินมาแล้ว ลุงกำลังคิดถึงเ้าอยู่พอดี" เถ้าแก่หลิวยิ้ม มองหลินฟู่อินที่ถือถุงผ้าสีดำใบใหญ่ ก่อนจะโคลงหัวไปมา "โอยๆ ฟู่อินเอ๊ย ครั้งนี้เ้านำของดีอะไรมาให้ลุงอีกแล้ว?”
"ครั้งนี้มิใช่สมบัติอะไร เป็เพียงกะหล่ำปลีธรรมดาเท่านั้นเ้าค่ะ" หลินฟู่อินไม่เสียเวลา พูดออกมาตามตรงและเปิดถุงผ้าดำให้เถ้าแก่หลิวดูทันที
"ไอหยา ฤดูนี้ยังอุตส่าห์ได้กะหล่ำหลีงามปานนี้ จะไม่เรียกว่าสมบัติได้อย่างไร?" ทันทีที่เถ้าแก่หลิวเห็นกะหล่ำปลีก็ดีอกดีใจ กล่าวออกมาทันทีว่ามันคือสมบัติ
หลินฟู่อินยิ้มไม่กล่าวคำ
"ข้าพูดเลยนะหลินฟู่อิน เหตุใดหัวน้อยๆ ของเ้าช่างฉลาดนัก? ฤดูนี้ยังอุตส่าห์ปลูกกะหล่ำปลีได้อยู่อีก!" เถ้าแก่หลิวร้องเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้รีบเอากะหล่ำปลีส่งไปให้ครัวใหญ่ แล้วกล่าวชมหลินฟู่อินไม่หยุด
หลินฟู่อินไม่สุภาพ ยิ้มตอบ "ใช่เ้าค่ะ! ข้ายังมีหนทางใหม่ๆ อีกมากมาย แต่บางครั้งแค่ี้เีจะคิดเท่านั้นเอง”
เถ้าแก่หลิวได้ยินก็รีบพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “โอ ไม่เอาน่าฟู่อิน คิดอีกเยอะๆ เลยเถอะ พาลุงให้ร่ำรวยไปด้วยกัน ล้วนแต่เป็เงินเป็ทองทั้งนั้น ไอหยา!”
หลินฟู่อินหัวเราะ "ใช่เ้าค่ะ ข้าอยากจะพาท่านลุงร่ำรวยไปด้วยกันนะเ้าคะ แต่พี่หลิวฉินลูกชายท่านตระหนี่เกินไปแล้ว! พอข้าบอกว่าข้าจะเข้าเมือง ถั่วปากอ้าและถั่วงอกให้เขาเป็ผู้รับ่ต่อ ข้าจะมอบวิธีการทำถั่วงอกและขอส่วนแบ่งจากกำไรสามในสิบส่วนยังต้องตื๊ออ้อนวอนเสียจนลิ้นแทบหลุดกว่าจะยอมรับปาก”
ความจริงเถ้าแก่หลิวก็ทราบเื่นี้แล้ว ตัวเขายังคิดว่าหลินฟู่อิน้ามากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ดูเอาเถอะ หลินฟู่อินมีสมองปราดเปรื่อง คิดแต่เื่ดีๆ ช่วยทำเงินอย่างที่ผู้อื่นคิดไม่ได้ จะขอส่วนแบ่งสามในสิบก็ยังไม่มากเกินไป
แต่จะว่าอย่างไรดีเล่า พ่อค้าล้วนแสวงหากำไร ผู้ที่หากำไรได้มากที่สุดจากต้นทุนที่น้อยที่สุดย่อมนับเป็พ่อค้าที่มีความสามารถ
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะและกล่าว "ดูแล้วกันว่าข้าจะตีเขาหรือไม่ ฟู่อินเป็ใครกันเล่า? จะขี้เหนียวกับเ้าได้อย่างไร?"
------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฆ่าไก่เพื่อเอาไข่ หมายถึง ทำเื่เกินตัวจนไร้ประโยชน์ ไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่าง
[2] เจวียนซินไช่ (卷心菜)แปลว่ากะหล่ำปลี
[3] หยวนไป๋ไช่ (圆白菜) แปลว่ากะหล่ำปลีเหมือนกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้