จู่ๆ จิ่งเหวินซานก็รู้สึกแผ่นหลังเย็นเฉียบ ขนลุกตั้งชัน
ส่วนจิ่งเฟิงกั๋วนั้นถึงแม้จะขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด ทั้งห้องเงียบสงัดลงในทันใด
จิ่งเหวินซานจ้องมอง เขาดูออกว่าจิ่งเฟิงกั๋วกำลังลังเล ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมแทงอยู่ที่หลัง เขารู้ดีว่าหนามแหลมนี้คงมาจากจิ่งฝาน แต่แล้วจะอย่างไรเล่า “ท่านปู่ เื่นี้จะลังเลไม่ได้ อีกอย่างไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็คนฆ่าคนผู้นี้จริงๆ ก็เป็ได้ ไม่ใช่ว่าข้าเดาขึ้นมาลอยๆ”
จิ่งเหวินซานลงน้ำเสียงเน้นย้ำในประโยคหลัง พูดชัดเจนทุกถ้อยคำ ใจของจิ่งเฟิงกั๋วไม่ได้แข็งนัก เขาเชื่อว่าสุมไฟเข้าอีกหน่อยจักต้องพังทลายแน่
จิ่งเฟิงกั๋วทำแค่เพียงเงยหน้ามองจิ่งฝานโดยไม่สนใจจิ่งเหวินซาน ความเก่งกาจและจิตใจที่เมตตาของเ้าเด็กผู้นี้เป็สิ่งที่หาได้ยากยิ่ง บวกกับการเชื่อฟังและความสามารถที่ล้ำเลิศ เมื่อก่อนจิ่งเฟิงกั๋วตั้งความหวังไว้กับเขามาก แต่ภายหลังจิ่งเฟิงกั๋วโกรธที่เขาสับเปลี่ยนคนในตำแหน่งสำคัญๆ ต่างๆ ในตระกูลจิ่ง โดยเฉพาะ่นี้ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากราวกับเป็คนละคนกับเมื่อก่อน
เ้าเด็กอ๋าวหรานนั่นเป็เขาที่ช่วยเอาไว้ หากผลักอ๋าวหรานไปที่ปากคลื่นตาพายุ จิ่งฝานจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่ ไม่ว่าจะเป็ในระดับตระกูลจิ่งหรือในระดับทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่
แต่เื่นี้เกี่ยวข้องกับชะตาของตระกูลจิ่งซึ่งสำคัญกว่าจิ่งฝานเป็ไหนๆ อีกอย่าง ผลกระทบสำหรับจิ่งฝานก็แค่ต่อไปในอนาคตยากจะสยบคนในตระกูลจิ่งได้เท่านั้น แต่หากเขามีความสามารถจริงๆ ผลกระทบแค่นี้ก็ไม่นับเป็อะไรได้
จิ่งเหวินซานตีเหล็กตอนร้อน น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นหลายส่วน “เื่นี้เ้าเด็กตระกูลอ๋าวเคยพูดขึ้นมาเองต่อหน้าคนทั้งหมด แล้วความแค้นที่ฆ่าล้างตระกูลเขาเช่นนี้...เขาจะไม่แก้ไขได้อย่างไร?”
จิ่งเฟิงกั๋วคิ้วสั่นแล้วเปิดปากพูดว่า “จิ่งฝาน เ้าสนิทกับเ้าเด็กตระกูลอ๋าวนั่นมาก เื่นี้เขาเป็คนทำใช่หรือไม่?”
จิ่งเฟิงกั๋วถามจิ่งฝาน จิ่งเหวินซานเองก็อดมีสีหน้าร้อนรนไม่ได้ “พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันขนาดนั้นจะยอมรับได้อย่างไร ไม่แน่อาจจะร่วมมือกันนานแล้ว...”
ไม่มีผู้ใดสนใจ สายตาของจิ่งเฟิงกั๋วหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของจิ่งฝานเพียงผู้เดียว จิ่งเหวินซานค่อนข้างเกรงกลัวสีหน้าราวกับเมฆครึ้มเช่นนั้นของเขาจึงค่อยๆ เงียบเสียงลง
ในสีหน้าของจิ่งฝานไม่มีความโกรธใดๆ แต่ดวงตาคู่นั้นแหลมคมเป็อย่างมาก น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและยังแฝงไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับเป็เพียงแค่เื่ทั่วไปที่เกิดขึ้นตามปกติของตระกูลเท่านั้น “หากข้าบอกว่าเขาไม่ได้ทำล่ะ?”
จิ่งเฟิงกั๋วไม่ขยับแม้แต่น้อย สงบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ “เ้าเป็นายน้อยของตระกูลจิ่ง”
ตระกูลจิ่ง...ถือเป็ความรับผิดชอบของเ้า
จิ่งฝานหัวเราะเบาๆ ออกมาทีหนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็จะไม่เป็นายน้อยอะไรนี่แล้ว”
ใบหน้าจิ่งเฟิงกั๋วเริ่มมีริ้วรอยแห่งความโกรธเกรี้ยว “ก็แค่คนนอกเพียงคนเดียว ตระกูลจิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ วันนี้อยากจะให้เขาทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ไฉนจะไม่ได้?!”
จิ่งฝาน “เซียงเซียงเป็คนช่วยเขาไว้”
จิ่งเฟิงกั๋ว “แล้วจิ่งเซียงไม่ใช่คนตระกูลจิ่ง...ไม่ได้กินอยู่ใช้สอยอยู่ในตระกูลจิ่งหรือ?”
จู่ๆ จิ่งฝานก็เงียบไป เขาก้มศีรษะน้อยๆ แอบซ่อนสีหน้าเอาไว้ “เช่นนั้น...หลักฐานล่ะ?”
ไม่รอให้จิ่งเฟิงกั๋วพูด จิ่งเหวินซานก็พูดขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่จำเป็ต้องมีหลักฐาน คนที่รู้ข่าวนี้คงมีไม่น้อย ต่อให้พวกเราไม่ผลักเขาออกไปแต่เนิ่นๆ เขาก็ต้องถูกผู้อื่นลากออกไปอยู่ดี!”
ดวงตาของจิ่งฝานที่คมราวกับกระบี่ค่อยๆ เงยขึ้น แววตาดูไม่ชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่สาดไปยังทุกคนที่นั่งอยู่ที่แห่งนี้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า “พวกท่าน...ล้วนคิดเช่นนี้เหมือนกันหมดหรือ?”
ทุกคนเงียบลงกว่าเดิม พากันหลบสายตาของเขา ไม่กล้าสบตาด้วย
ความเงียบงันเช่นนี้ทำให้เกิดบรรยากาศที่แปลกประหลาดขึ้นในห้อง จิ่งเฟิงกั๋วถอนฝหายใจเบาๆ น้ำเสียงอ่อนลงมาก “ข้ารู้ว่าเ้าจิตใจดี แต่ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็หลัก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จิ่งฝานก็หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เขาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างครึ่งๆ ลูบคางเล็กน้อย สายตาดูแคลนอยู่หลายส่วน แววตาของเขายิ่งดูร้ายกาจและดำมืดอย่างที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้คนมองพากันตัวสั่น จู่ๆ เขากลับหัวเราะออกเสียงออกมา อีกทั้งยิ่งหัวเราะก็ยิ่งฟังดูโอหังร้ายกาจ เสียงหัวเราะนี้ไม่ดัง เป็เพียงเสียงเบาๆ เท่านั้น แต่ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องนี้ประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก
จิ่งฝานหัวเราะไปพลางพูดไปพลาง “ผิดแล้ว ข้าไม่ได้จิตใจดี ข้าชั่วร้าย...โหดร้ายอย่างที่สุด! ข้าอยากจะฆ่าคนอยู่ตลอดเวลา อยากเห็นเืไหลนอง อยากให้ผู้อื่นร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้วขอร้องอ้อนวอนข้า”
เหมือนกับ...ตอนที่หวางฮวายเหล่ยตาย
ประโยคนี้เขาพูดอย่างช้าๆ และเสียงไม่สูงนัก ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ กลับทำให้น่าฟังขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ทุกคนในที่นั้นกลับขนลุกชันราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
จิ่งเหวินซานหน้าสั่น ผมขาว น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “เ้า...เ้าพูดเหลวไหลอันใด! เ้า...เ้ายังใช่จิ่งฝานอยู่หรือไม่! พูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?”
ประโยคคำถามสามประโยคติดกันนี้ ชัดเจนว่าแต่ละคำถามเสียงค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่พลังกลับค่อยๆ น้อยลงไป
จิ่งฝานเหล่ตามองเขาทีหนึ่งก็ทำให้จิ่งเหวินซานถึงกับเหงื่อเย็นผุดพรายจนชุ่มหลัง จิตสังหารเข้มข้นราวกับสั่งสมมาเป็ร้อยปีกับแววตาที่แผ่ความชั่วร้ายออกมาเช่นนั้นจะเป็สิ่งที่เด็กเพิ่งอายุยี่สิบมีได้อย่างไร? ความสูงส่งเ็าของทางเต๋อรั่วนั้นคิดว่าคงเทียบไม่ได้สักหนึ่งในหมื่นด้วยซ้ำ
ร่างกายของจิ่งฝานค่อยๆ เอนมาด้านหน้าน้อยๆ ใบหน้างดงามราวกับภาพวาดทำให้ผู้คนลุ่มหลงจนยากจะถอนตัว แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับเ็าไร้ความรู้สึก “เมื่อก่อนข้ายังคิดว่าตัวข้าที่จู่ๆ ก็ฆ่าคนราวกับมดปลวก ใจแข็งเป็หินเหมือนปีศาจ ละทิ้งความอ่อนโยนดีงามไปหมดแล้ว การทำเื่เช่นนี้ในใจข้ากลับแทบไม่รู้สึกขัดแย้งใดๆ ข้าที่เป็เช่นนี้ชั่วร้ายเกินไปหรือไม่ จนกระทั่งตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องสงสัยอีก ลึกลงไปข้างในกระดูกดำแล้วจริงๆ ข้าก็ควรชั่วร้ายเช่นนี้ เืที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้าเป็เช่นนั้นมาตลอด ตระกูลหมอยาอะไรกัน ช่วยเหลือสรรพชีวิตอะไรกัน มาวันนี้ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเื่ตลกเท่านั้น!”
จิ่งเฟิงกั๋วตวาดมาคำหนึ่งว่า “จิ่งฝาน!”
เสียงะโนี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง แต่จิ่งฝานกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แสร้งทำเป็ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน ทั้งที่ยืนอยู่ในที่เดียวกัน แต่เขากลับดูราวกับยืนอยู่บนยอดเขาอันห่างไกล “อยากให้อ๋าวหรานรับเคราะห์แทนก็ตามใจ คนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีที่พึ่งพา...เดิมทีก็ควรถูกผู้อื่นฆ่าแกงได้ตามใจอยู่แล้ว”
วันหน้านอกจากข้าแล้ว เขายังจะสามารถพึ่งพาผู้ใดได้อีก?
จิ่งเฟิงกั๋วถูกท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขาทำให้ตกตะลึงจนดึงสติกลับมาไม่ได้ จนกระทั่งจิ่งฝานเดินไปถึงหน้าประตูแล้วจึงได้รีบดึงสติกลับมา แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “เ้าไม่คัดค้านหรือ?”
จิ่งฝานไม่แม้แต้จะหันศีรษะกลับมามอง “ไม่คัดค้าน”
ในเวลาเดียวกัน...
ทางเต๋อรั่ว “ให้คนรับใช้ของเ้าคนแซ่เฉินนั่นโยนความผิดครั้งนี้ไปให้อ๋าวหรานก็แล้วกัน”
หลางฉา “คุณชาย อ๋าวหรานผู้นั้นดูเหมือนจะไม่รู้จักคัมภีร์ลับจริงๆ วรยุทธ์ของเขาก็ธรรมดา มีแค่เพลงกระบี่สกุลอ๋าวเท่านั้น ข้าเคยเห็นศิษย์พี่ของเขาฝึกวรยุทธ์ ถึงแม้ว่าจะมีพร์อย่างยิ่ง แต่ก็เป็เพลงกระบี่เดียวกับอ๋าวหรานเ้าค่ะ”
แววตาของทางเต๋อรั่วเ็ายิ่งนัก “ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ต้องลองถามดู”
หลางฉาเม้มปาก “เช่นนั้น...ตระกูลจิ่งล่ะเ้าคะ?”
“เ้าหาคนติดต่อไปยังทางเฉิงโย้ว ให้เขาติดต่อพูดคุยกับตระกูลเฉินและหวางสองตระกูลนี้ จะให้พวกเขาจับมือสามัคคีกับตระกูลจิ่งไม่ได้เป็อันขาด” ในสายตาของทางเต๋อรั่วเต็มไปด้วยความสงสารจอมปลอม “ตระกูลจิ่งนี้จะเป็ิญญาคนตายกลุ่มแรกที่จะต้องถูกสังเวยเพื่อการแผ่นดินใหญ่ของตระกูลทางข้า และเป็เยี่ยงอย่างเพื่อแสดงอำนาจของเรา”
หลางฉาฝืนยิ้มออกมา “คุณชายช่างยิ่งใหญ่นัก ตระกูลเล็กๆ พวกนี้ไม่นับเป็อะไรได้”
