ในดินแดนเหยียนหวงมีวิชายุทธ์มากมาย
ในบรรดาวิชายุทธ์ที่หลัวเลี่ยรู้จัก มีวิชายุทธ์จำนวนไม่น้อยที่สามารถดึงิญญาออกมาจากร่างจริงได้
เมื่อหลัวเลี่ยเห็นรูปปั้นไก้อู๋ซวงพูดขึ้น เขาก็แยกออกได้ในทันที
วิชาแยกิญญา!
นี่เป็วิชายุทธ์พิเศษที่มีความโดดเด่นและใช้งานได้จริง
เศษเสี้ยวิญญาส่วนเล็กๆ จะถูกถอดจากร่างจริง โดยที่เศษเสี้ยวิญญานี้จะมีความคิดของเ้าของร่างติดมาด้วย ไก้อู๋ซวงใส่เศษเสี้ยวิญญาของตนเอาไว้ในผลึกสุริยนเพื่อทำเื่ต่างๆ เช่นเมื่อนางใส่เศษเสี้ยวิญญาของตนลงไปแล้ว เช่นนั้นนางก็จะสามารถดูดซับแก่นพลังของผลึกสุริยนเพื่อเข้ามาหล่อเลี้ยงิญญาของตนเองได้ แล้วหลังจากที่นางเรียกเศษเสี้ยวิญญานี้กลับเข้าสู่ร่างจริงของตน นางก็จะได้รับพลังที่เศษเสี้ยวิญญานี้ดูดซับมา แล้วทำให้ร่างจริงของนางแข็งแกร่งขึ้นได้
“เอาสมบัติของเ้ามาหรือ?” หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ผลึกสุริยนนี้ก็เป็ของเ้าหรือ เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้วที่ได้ใช้มัน”
“บังอาจ!”
รูปปั้นไก้อู๋ซวงโกรธมาก
หลัวเลี่ยพูดอย่างดูิ่ “อย่าใช้ใบหน้าที่อวดดีนั่นมองหน้าข้า เพราะในสายตาของข้า เ้ากำลังจะตายในเร็ววันนี้แล้ว”
เพล้ง!
ทันใดนั้นหลัวเลี่ยก็ออกแรงบีบไปยังมือที่จับรูปปั้น จากนั้นรูปปั้นก็แตกเป็เสี่ยงๆ ทันที
รูปปั้นที่แตกสลายกลายเป็แก่นแท้ของพลังธรรมชาติที่กำลังลุกโชนเผาไหม้จนรูปร่างของมันดูคล้ายกับัเพลิงตัวน้อยๆ
หลัวเลี่ยอ้าปากและดูดเปลวเพลิงเข้ามา
เปลวเพลิงเ่าั้เข้าไปในปากของหลัวเลี่ย ทำให้ทั้งตัวของเขาลุกเป็ไฟ แต่เปลวเพลิงชนิดนี้กลับไม่ไหม้เสื้อผ้าของเขา ซึ่งถือว่าเป็เื่ที่มหัศจรรย์มาก
“พลังจากแก่นของผลึกสุริยนนั้นดีจริงๆ!”
“ไก้อู๋ซวง ขอบใจมากสำหรับของขวัญชิ้นนี้!”
ดวงตาของหลัวเลี่ยมีประกายไฟลุกโชน เปลวเพลิงแล่นไปทั่วร่างของเขา จากนั้นเขาก็นั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝนตามเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
เดิมทีเขามีพลังวรยุทธ์อยู่ในจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับสิบแล้ว ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการเลื่อนระดับพลังอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้พอเขาได้รับสูงยอดสมบัติอย่างแก่นสุริยนมา ก็ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางได้ง่ายขึ้น
หลัวเลี่ยฝึกฝนเดินลมปราณตามเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมเพื่อควบคุมพลังของตนเอง
เขาต้องรอจนถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงจึงจะสามารถทะลวงระดับพลังวรยุทธ์ไปได้
ซึ่งคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นก็กำลังจะมาถึงในอีกสิบชั่วยาม
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบ บนยอดต้นไม้เก่าแก่สูงประมาณสามสิบจั้งที่มีกิ่งก้านและใบไม้พลิ้วไหวไปตามแรงลม
ไก้อู๋ซวงยืนอยู่บนกิ่งไม้นั้น ผมที่ยาวถึงบั้นเอวและชุดสีแดงเพลิงของนางต่างปลิวไสวล้อไปตามสายลม ทำให้นางดูคล้ายกับเซียนเพลิงตนหนึ่ง
ที่มุมปากของไก้อู๋ซวงมีรอยเืปรากฏอยู่ และเจตนาฆ่าที่รุนแรงซึ่งปรากฏออกมาจากใบหน้าที่สวยงามของนาง ก็ได้ทำลายภาพที่งดงามนั้นอย่างสิ้นเชิง
“เ้ากล้าทำลายเสี้ยวิญญาของข้าหรือ เ้าต้องชดใช้”
ร่างของไก้อู๋ซวงเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรง แต่เพราะเสี้ยวิญญาของนางได้แตกไปแล้ว จึงทำให้นางไม่อาจรู้สึกและรับรู้ถึงที่อยู่ของคนที่ขโมยผลึกสุริยนไปได้
แน่นอนว่าสำหรับไก้อู๋ซวงผู้หยิ่งผยอง สิ่งนี้เป็สิ่งที่นางยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง
นี่มันน่าละอายมาก!
ตอนที่นางได้กำเนิดขึ้นมาบนดินแดนแห่งนี้ นาง้าที่จะกวาดล้างตำแหน่งของเทพ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากที่นางกำเนิดมาได้ไม่กี่วันกลับมีคนกล้ามาท้าสังหารนาง แถมมีบางคนที่กล้ามาเอาสมบัติและทำลายเสี้ยวิญญาของนางทิ้ง ดังนั้นเื่นี้นางยอมไม่ได้
หลังจากที่ไก้อู๋ซวงกรุ่นโกรธอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็สงบจิตใจที่คุกรุ่นลงได้
“ในสายตาของเ้า ข้ากำลังจะตาย”
ไก้อู๋ซวงสงสัยเกี่ยวกับประโยคนี้ นางครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักใหญ่ “ที่แท้เ้าก็คือหลัวเลี่ย ข้าก็คิดว่าใครกันที่ไม่รู้จักกลัวตายจนกล้าประกาศว่าจะมาสังหารข้า ในเมื่อเ้ากล้าท้า เช่นนั้นข้าก็จะสังหารเ้า และใช้ร่างกายของเ้ามาเป็พลังสุริยนเพื่อสนองความ้าเดิมของข้า”
หลังจากนั้น การต่อสู้ระหว่างหลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงก็เริ่มขึ้นอย่างเงียบๆ
ไก้อู๋ซวงออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มและหญิงสาวทุกคนที่อยู่ในเทือกเขาเหยียนรื่อต่างมีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
สำหรับพวกเขา ไก้อู๋ซวงนั้นสูงส่งเกินไป ดังนั้นเมื่อนางปรากฏกายขึ้นทีู่เาเหยียนรื่อ การประลองยุวราชันแห่งร้อยเมืองจากทางเหนือจึงมีอยู่เพียงชื่อเท่านั้น เพราะั้แ่เริ่มต้นการประลองล้วนไม่มีใครแข่งขันกันเพื่อชิงบัตรเลย
เมื่อไก้อู๋ซวงออกคำสั่งแล้ว ไม่ว่าทุกคนจะทำอะไรอยู่ คนหนุ่มสาวเ่าั้ก็จะหยุดงานที่ตัวเองทำแล้วออกตามหาตามคำสั่งของไก้อู๋ซวงทันที
ค้นหาหลัวเลี่ย!
เทือกเขาเหยียนรื่อมีขนาดใหญ่มาก แต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา และภูมิหลังของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน บางคนมีสมบัติหรือวิชายุทธ์พิเศษ หรือมีพร์ในการค้นหา
การออกค้นหาหลัวเลี่ยอย่างเข้มข้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เวลาไหลเหมือนสายน้ำ
สิบชั่วยามผ่านไปในพริบตา
หลัวเลี่ยยังคงฝึกฝนตนต่อไป ใน่เวลานี้เขาบังคับตัวเองไม่ให้ทะลวงหลายครั้ง เพราะผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลึกสุริยนนั้นมีมากเกินไป
ถ้าทะลวงไม่ได้ก็ใช้ชำระล้างร่างกาย
แต่ร่างกายของเขาก็ดีจริงๆ
หากฝึกเคล็ดวิชาัแห่ง์จนถึงจุดสูงสุด ไม่เพียงร่างกายจะแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น จะมีผลประโยชน์อื่นซ้อนทับขึ้นมา ความสามารถนี้แม้ไม่ใช่สมบัติแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเลย เพราะมันช่วยให้ผลึกสุริยนมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม และช่วยให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางได้ง่ายขึ้น
สิบชั่วยามต่อมา หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ดวงจันทร์ได้ขึ้นมาแทนที่
แสงสว่างในครั้งนี้ของดวงจันทร์ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกแปลกๆ
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม้าการหลอมรวมพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพื่อให้ได้สถานะที่สมบูรณ์แบบ หากบุคคลใดสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางในสภาวะเช่นนี้ได้ บุคคลนั้นก็จะอยู่ในสภาวะสมดุลที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างแท้จริง
ความสมดุลหมายความว่า ร่างกายของคนคนนั้นจะเชื่อมโยงกับพลังในธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ซึ่งหากเป็เช่นนั้น มันก็จะช่วยให้เส้นทางในระดับหยินหยางของคนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นอย่างมาก
ตอนที่หลัวเลี่ยมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตน เขาก็ได้วางรากฐานไว้อย่างมั่นคงด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์แล้ว และครั้งนี้เขาก็จะวางรากฐานของระดับพลังอย่างสมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน เพื่อให้สิ่งนี้เป็ฐานในการนำเขาไปสู่ระดับเทพในอนาคต
ในเวลานี้แสงจากดวงจันทร์ก็ส่องสว่างทั่วทั้งผืนดิน จนทำให้ดินแดนแห่งนี้ดูเงียบสงบและงดงามมากขึ้น
หลัวเลี่ยเดินออกมาจากถ้ำ เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ยอดเขา และนั่งลงขัดสมาธิบนหินที่สูงประมาณเก้าจั้ง
ใน่เวลานั้นหลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าเขาเป็ยอดเขาที่ตั้งอยู่อย่างสูงส่ง
รอบๆ กายของเขายังคงมีเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ เปลวเพลิงทำให้เขารู้สึกถึงแก่นแท้ของดวงอาทิตย์ และแสงจันทร์ที่ส่องลงมาก็ผสานอยู่ในร่างกายของเขาเช่นกัน เขาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้เลย
หลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าเขาจะบินออกไปตามดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้ทุกเมื่อ
เมื่อเวลาผ่านไปจนเริ่มเข้าสู่ครึ่งคืน ดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นอยู่บริเวณกลางท้องฟ้าแล้ว บรรยากาศรอบกายของหลัวเลี่ยค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเล็กน้อย เปลวเพลิงที่อยู่รอบกายของเขาค่อยๆ มีความแข็งแกร่งขึ้น และแสงจากดวงจันทร์ที่สะท้อนออกมาผ่านทางระหว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏร่องรอยราวกับรูปจันทร์เสี้ยวขึ้น
หลัวเลี่ยทั้งรู้สึกถึงพลังจากดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาและพลังจากดวงจันทร์ที่กำลังส่งมาให้เขา เขารู้สึกว่าขุมพลังทั้งสองกำลังไหลเวียนและมากันอยู่ด้านหน้าของเขาราวกับว่าเขาสามารถควบคุมฟ้าดินได้!
นี่คือความหมายที่ลึกซึ้งของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
ชิ้ง!
เมื่อหลัวเลี่ยปลดปล่อยตัวเอง และปล่อยให้ความรู้สึกของการหลอมรวมระหว่างพลังที่ร้อนแรงจากดวงอาทิตย์และพลังที่เยือกเย็นจากดวงจันทร์พลุ่งพล่านในร่างกายของเขา เปลวเพลิงรอบตัวเขาก็ะเิอย่างรุนแรง มันพุ่งสูงถึงสิบจั้ง จนลุกโชนและพร่างพรายไปทั่วทั้งท้องฟ้า แล้วจากนั้นลำแสงของแสงจันทร์ก็ฉายตกใส่เขาโดยเฉพาะ
ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ ทำให้สะดุดตาผู้คนที่ออกค้นหาตัวหลัวเลี่ยเป็เวลาสิบชั่วยาม พวกเขาให้ความสนใจเป็อย่างมาก
ทุกคนที่อยู่ห่างออกไปจากหลัวเลี่ยภายในระยะสองลี้ ล้วนสามารถมองเห็นแสงจันทร์ที่สาดส่องและเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมาราวกับว่าหลัวเลี่ยเป็เทพเ้าองค์หนึ่ง
บรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ในเทือกเขาเหยียนรื่อต่างพากันเดินทางมายังบริเวณที่หลัวเลี่ยอยู่
แน่นอนว่าข่าวนี้ไปถึงหูของไก้อู๋ซวงทันทีเช่นกัน
ไก้อู๋ซวงกลายเป็ดั่งปีศาจเพลิงที่กระโจนขึ้นไปในอากาศโดยทันที
เมื่อนางไปถึง นางก็เห็นหลัวเลี่ยที่นั่งอยู่บนก้อนหินลืมตาขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นสูงถึงสามสิบจั้ง แสงจันทร์ก็ยิ่งทวีความเข้มขึ้น และอากาศโดยรอบสั่นไหว หลัวเลี่ยเป็เหมือนเทพเ้าผู้ควบคุมชีวิตและความเป็ความตาย
ในตอนนั้นเองที่ไก้อู๋ซวงรู้ว่าหลัวเลี่ยได้ทะลวงสำเร็จแล้ว
ระดับหยินหยาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้