อวิ๋นซีมองเด็กน้อยที่ดูตื่นเต้นออกเดินตามเพ่ยเอ๋อร์มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลนางส่ายหน้าอย่างปลงๆ “ท่านคิดเหมือนข้าหรือไม่ว่า เด็กคนนี้ยิ่งโต ยิ่งซนไม่เข้าเค้าจะเป็สตรีเรียบร้อยดีงามเลย”
“ก็มิใช่ว่าร่ำเรียนมาจากเ้าหรือไร” ยามนี้ต้านีเอ๋อร์เรียนวิชาแพทย์ แต่ก็ช่างเถอะเพราะวิชาแพทย์ของภรรยาจำเป็ต้องมีคนสืบทอด ทว่า ต้านีเอ๋อร์ที่เรียนวิชาแพทย์ บุตรสาวตนกลับเลือกเรียนวิชาพิษยิ่งกว่านั้น เมื่อปีก่อนเ้าสารเลวหลิ่วเซิงนั่นไม่รู้ว่าไปนำผลกัดิญญามาจากที่ใดทั้งยังนำไปให้หวานหว่านกินลับหลังเขาและอวิ๋นซี หลังจากที่ลูกกินเข้าไปร่างนวลผ่องพลันแปรเปลี่ยนเป็ดำ ท่าทางราวกับถูกพิษร้ายและกำลังจะตายก็ไม่ปาน
ตอนนั้นเขาและอวิ๋นซีใไม่น้อย ขณะที่อวิ๋นซีนั้นกลับโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าถึงขั้นถือกระบี่ยาวหมายจะสังหารหลิ่วเซิงพร้อมพูดจาสาดเสียเทเสียว่าหลิ่วเซิงเป็คนสารเลวที่ริอาจให้ลูกสาวนางกินผลกัดิญญาที่ใต้หล้าล้วนยอมรับ
ถึงกระนั้นสิ่งที่คนคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อกินผลกัดิญญาเข้าไปแล้วคนที่เดิมทีน่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่อึดใจนั้น จู่ๆ ก็กลับมามีชีวิตที่สดใสอีกครั้งมิหนำซ้ำความสามารถที่ได้เพิ่มเติมมาก็ราวกับคนเห็นผีชนิดที่เรียกได้ว่าร้อยพิษไม่กล้ากล้ำกลาย
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา หวานหว่านก็ชื่นชอบที่จะศึกษาและเล่นกับยาพิษชนิดต่างๆ
“สตรีเรียบร้อยเพียบพร้อมมีอะไรดี รังแต่จะถูกคนรังแก ข้ายังคงคิดว่าอยากจะให้บุตรสาวของเราเผด็จการและร้ายกาจกว่านี้อีกสักหน่อยส่วนเื่ในอนาคตนั้น อย่างมากข้าก็แค่หาบุรุษที่ร้ายกาจเช่นเดียวกับนาง เป็คนที่นางพึงใจและสามารถข่มนางได้มาเป็สามีให้นาง เพียงแค่นี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว” อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็านางมองจวินเหยียนไปทีหนึ่ง ก่อนจะเบะปากใส่แล้วหันศีรษะไปทางอื่น เดินจากไป
จวินเหยียนขำแบบไร้เสียง ในสายตาของสตรีนางนี้คงจะคิดว่าตนทำอันใดก็ถูกไปเสียหมดส่วนเขานั้นทำอันใดก็ล้วนผิดไปหมด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง คำว่าสามีเป็หลักนำอันใดนั้นอย่าได้กล่าวถึงเลย
“เหตุใดจึงต้องให้คนมาข่มบุตรสาวข้า บุตรสาวของเปิ่นหวาง คู่ควรกับบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้เท่านั้น”จวินเหยียนแค่นเสียงเ็า ด้วยเื่นี้เขาไม่มีทางเห็นด้วยกับนางแน่ ผู้ใดก็ตามที่คิดอยากจะเป็บุตรเขยของเขามันไม่ง่ายนักหรอกนะ
สำหรับความสามารถของผู้ที่จะมาเป็บุตรเขยนั้น ในด้านวิชาการและวรยุทธ์หากคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็ย่อมไม่ได้รับการพิจารณาโดยเด็ดขาด ส่วนอุปนิสัยหากมิใช่คนจิตใจดีมีเมตตาเช่นเขาก็จะไม่มีทางรับมาพิจารณาเช่นกัน
“จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหาบุตรเขยสักคนมาอบรมชุบเลี้ยงเพื่อที่คนจะได้เป็ดังใจดังนั้น ท่านให้คนไปสืบดูหน่อยว่ามีคุณชายบ้านใดที่เฉลียวฉลาด นิสัยใจคอดี ทั้งยังมีบิดามารดาที่หน้าตาดีหลังจากนั้นเมื่อท่านกลับถึงเมืองหลวงก็ค่อยรับเขาเป็ศิษย์ แล้วสอนสั่งเขาด้วยตนเอง” อวิ๋นซียิ้มขณะพิงไปบนไหล่เขา “หากทำเช่นนี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกสาวเราแล้ว”
“เ้าไม่ได้บอกเองหรือว่า สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือเหมยเขียวม้าไม้ไผ่? ” เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็มองนาง แล้วพูดออกไป
เขาจำได้ดีในทุกคำพูดที่นางเคยพูดไว้ตอนนั้น ด้วยเื่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่อะไรนี่เป็สิ่งที่คนเกลียดชังที่สุดทว่า ตอนนี้นางกลับมาขอร้องให้เขารับศิษย์สักคน เพื่อจะได้เลี้ยงดูให้เป็บุตรเขยอย่างที่ตนตั้งใจ
อวิ๋นซีเห็นเขารื้อเวทีตนเองก็นึกอารมณ์เสีย นางหยิกเอวเขาโดยแรงหยิกจนเขาขมวดคิ้ว “อาซี เ้าคิดจะสังหารสามีตนเองหรืออย่างไร? ”
“ใช่แล้ว ถ้าข้าตอบเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร” นางได้หยิกเขา แต่ก็ยังไม่หนำใจจึงกระแทกเท้าตนลงบนหลังเท้าของชายหนุ่มด้วยแรงที่ไม่น้อย
เมื่อนางเหยียบเขาแล้วก็เดินลิ่วไปยังข้างแม่น้ำ ตอนนี้เป็ยามโหย่วที่แสงอาทิตย์กำลังทอประกายอำพันสาดลงบนเส้นทางอันยาวไกลของหลงซีแสงสีเหลืองในยามโพล้เพล้นี้ตกกระทบลงบนร่างนาง ทำให้คนดูราวกับมีรัศมีแห่งเทพเซียนสีทองปกคลุมทุกอณูของผิวกาย
ทว่า นางที่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นเพ่ยเอ๋อร์ที่กำลังรีบร้อนเดินมาทางตนทันทีที่เห็นอวิ๋นซี นางก็รีบพูด “ฮูหยิน เมื่อครู่เราเพิ่งช่วยคนคนหนึ่งขึ้นมาจากแม่น้ำท่านจี้จึงอยากจะรบกวนท่านไปตรวจดูอาการคนผู้นั้นสักหน่อยเ้าค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็รีบเร่งเดินเลียบไปยังริมแม่น้ำ
ในตอนนั้นจี้หยวนกำลังนั่งยองๆ โดยมีหนุ่มน้อยอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดนอนอยู่บนพื้นข้างๆเขา เมื่อนางเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ นั่งลงคุกเข่า จากนั้นก็เร่งช่วยชีวิตคนที่ยังไร้สติ
ระยะเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความพยายามในการช่วยชีวิตเด็กหนุ่มเป็ไปอย่างเรียบร้อยดีภายในครึ่งเค่อในที่สุดหนุ่มน้อยผู้นั้นก็ฟื้นขึ้น เพียงแต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงมาก นางจึงสั่งให้องครักษ์คนหนึ่งเข้ามาอุ้มเขาเข้าไปพักผ่อนในกระโจมแล้วให้เซียงเอ๋อร์เคี่ยวยาให้เขา
จี้หยวนมองไปยังเชือกที่อยู่ไม่ไกล เขาพูดเสียงเบา“คนผู้นี้ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วโยนมาตรงนี้ ด้วยเื่นี้ คาดว่าคงเพิ่งจะเกิดเมื่อไม่นานมานี้หากว่าวันนี้พวกเราไม่หยุดพักกันเสียที่นี่ เกรงว่าเขาคงได้สิ้นชีพจริงๆ แน่”
คนเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดสิบแปด ในใต้หล้าอันงดงามนี้ หากว่าต้องมาตายใน่เวลาที่ดีที่สุดเช่นนี้มันจะน่าเสียดายสักเพียงใดกัน
อวิ๋นซีกวาดตามองเชือกเ่าั้ไปทีหนึ่งจากนั้นก็นึกถึงการแต่งกายของหนุ่มน้อยผู้นั้น นางพูดเสียงเบา “คาดว่าคนคงจะเป็คุณชายตระกูลใหญ่ตระกูลใดสักตระกูล”
ถึงแม้จี้หยวนจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย และผ่านชีวิตที่ยากลำบากมามาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้จักอาภรณ์ที่ทำจากด้ายเรืองแสงบนร่างของเด็กผู้นั้นอย่างน้อยๆ หนึ่งพับก็ต้องใช้เงินราวๆ พันกว่าตำลึงถึงจะซื้อได้
“การได้เจอท่านนับเป็โชคดีของเขา เช่นเดียวกับข้าในตอนนั้น”ดวงตาสว่างสดใสของจี้หยวนจดจ้องอวิ๋นซี ในสายตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความซาบซึ้ง และร่องรอยขบขันอันอบอุ่น
อวิ๋นซีเดินเคียงไหล่มากับเขา ขณะที่จี้หยวนเองก็กำลังถือปลาสองสามตัวอยู่ในมือนางหันมองจี้หยวนที่พับชายอาภรณ์ขึ้น จากนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ “ท่านอย่าได้เก็บเื่ในตอนนั้นมาใส่ใจนักเลยทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นโดยวาสนา”
่ระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้ทำความรู้จักกัน อวิ๋นซีก็ค้นพบว่าจี้หยวนผู้นี้เหมาะที่จะคบหาด้วยอย่างลึกซึ้ง
เมื่อจี้หยวนได้ยินก็ส่งยิ้มให้
“ท่านและข้าต่างมีวาสนาต่อกันหากว่าใต้เท้าจี้ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของอาซี อาซีจะขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่จี้ เพราะคนที่ข้าช่วยเหลือก็ถือเป็เสมือนพี่ชายของตนนี่เป็เื่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด” อวิ๋นซียิ้มมองไปทางเขา เสนอขึ้น
จี้หยวนมิคาดว่าอวิ๋นซีจะเสนอความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ชั่วขณะนั้นเขาก็อึ้งไปและเป็นานถึงจะกล่าวตอบด้วยคำถาม “เื่นี้ ท่านอ๋องทรงทราบหรือไม่? ”
เมื่อต้องนึกถึงบุรุษที่เอาแต่กันเขาไม่หยุดผู้นั้น จี้หยวนก็หัวเราะ หากจะบอกว่าหานอ๋องมีพระปรีชาสามารถเชี่ยวชาญในด้านวรยุทธ์ก็นับว่าไม่ผิดเลยสักนิด แต่เมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้ากับเื่ที่เกี่ยวพันถึงภรรยาบุรุษผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนใจแคบผู้หนึ่ง
เขาจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในจวนหานอ๋อง ครานั้นจวินเหยียนไม่อยู่ในจวนส่วนอวิ๋นซีก็เข้าครัวทำอาหารให้หวานหว่านด้วยตัวเอง ทั้งยังเชิญเขาที่เป็แขกให้มาร่วมกินดื่มแต่ใครจะไปรู้ว่า บุรุษผู้นั้นจะกลับมา และได้เห็นฉากที่พวกเขากำลังกินข้าวอยู่ด้วยกันพอดิบพอดีฉับพลันนั้นคนไม่พูดจาอะไรสักคำก็ยัดอาหารทั้งหมดบนโต๊ะลงท้องไป
ยิ่งกว่านั้นยังมิวายมีรับสั่งเผด็จการไม่ให้อวิ๋นซีเข้าครัวอีก ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็การเตือนอวิ๋นซีว่าห้ามทำอาหารให้จี้หยวนอีก
บุรุษผู้นี้จิตใจแคบเสียยิ่งกว่าฝ่ามือ
“ด้วยเื่นี้ ข้าตัดสินใจเองเป็พอ” อวิ๋นซีพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เดิมทีจี้หยวนคิดว่า ยามนี้อวิ๋นซีเป็ชายาหานอ๋องแล้ว หากว่าตนตอบตกลงก็จะไม่ได้หมายความว่าเป็การเกาะนางหรอกหรือแต่เมื่อคิดกลับมาอีกที หากว่าอวิ๋นซีเรียกตนว่าพี่ใหญ่จริงๆ เช่นนั้นจวินเหยียนก็จักต้องเรียกตนว่าพี่ใหญ่เช่นกันใช่หรือไม่?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จี้หยวนก็ตอบตกลงทันที “ในเมื่อเรียกว่าพี่ใหญ่แล้วเช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องเรียกจี้อะไรแล้ว เรียกว่าพี่ใหญ่เพียงอย่างเดียวดีกว่าจะได้ดูสนิทสนมกันมากขึ้น”
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเขาตอบตกลงก็ให้รู้สึกราวกับเื่นี้ไม่ชอบมาพากลเมื่อครู่ยังดูเหมือนว่าเขาจะลังเลอยู่นิดหน่อย แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ตอบตกลงเสียอย่างนั้นทั้งยังจะให้เรียกว่าพี่ใหญ่เฉยๆ อีก?
“แน่นอน หากท่านไม่ยินดี ตัวข้าก็จะไม่บังคับ” จี้หยวนพูดเรียบๆ เพราะการบังคับฝืนใจผู้อื่นไม่ใช่วิถีของเขา
อวิ๋นซีส่ายหน้า “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านจะยินยอมตกลงก็เท่านั้น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้