เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็ระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบ
ด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญานั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพะเืฟ้าะเืดิน
ต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังิญญาน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณััของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังิญญาของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เเท้จริงไม่อาจวัดได้จากเื่พวกนี้ได้อย่างแน่นอน
ปราการมหาอัคคีอหังการ!
ตู้ม!
หนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันของตนขึ้นมาเพื่อตั้งรับการโจมตีอีกครั้ง เเต่ครานี้เขานั้นได้เพิ่มความเข้มข้นของปราณธาตุไฟประสานเข้ากับปราการป้องกันนี้ขึ้นเพื่อตั้งรับบทเวทย์โจมตีระดับสูงทั้งคู่นี้อย่างทันท่วงที
แต่เดิมเวทย์ป้องกันปราการมหาอัคคีอหังการจัดได้ว่าอยู่ในบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำเสียด้วยซ้ำที่หนิงอ้ายได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามในตอนที่ยังอยู่แคว้นหงส์แดงเมื่อเกือบสองปีก่อนหลังจากที่เขานั้นพึ่งปลุกพลังวิญาณสำเร็จตอนใหม่ ๆ
ต่อมาในภายหลังเวทย์บทนี้ได้ถูกหนิงอ้ายนั้นแก้ไขจัดวางตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมจึงทำให้มีอานุภาพเทียบเท่าไม่ต่างไปจากบทเวทย์ระดับเทวะบทหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หนิงอ้ายได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับอักขระเวทย์โบราณที่ได้รับมาจากท่านตาหวังจิ่งหลงแล้วเด็กหนุ่มได้ทำการแก้ไขบทเวทย์ที่มีอยู่คิดค้นบทเวทย์ใหม่ขึ้นมาอยู่เสมอ
ทุกบทเวทย์ของเขาต่างมีโครงสร้างของบทเวทย์และตำแหน่งที่ประกอบไปด้วยด้วยอักขระเวทย์โบราณที่ส่งเสริมกันอย่างสมดุล บทเวทย์ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่ในตอนนี้ทั้งหมดนับได้ว่ามีอานุภาพเทียบเท่าได้กับบทเวทย์ระดับเทวะเเล้วนั่นเอง
ด้านหน้าของหนิงอ้ายได้ปรากฎเป็ม่านอัคคีสีแดงประกายส้มขนาดใหญ่ที่มีความเเข็งแกร่งอีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายความล้ำลึกอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็เวทย์ป้องกันที่ถูกร่ายขึ้นมาด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขั้นสูงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
เวทย์โจมตีระดับสูงจากผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นต้นทั้งสองคนได้พุ่งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็วเป็อย่างมาก เมื่อล่วงล้ำเข้ามาในขอบเขตของปราการป้องกันของเด็กหนุ่ม เสียงปะทะระหว่างของบทเวทย์อหังการทั้งสามบทนี้ได้ดังก้องขึ้นสะท้อนไปทั่วพร้อมกับมีคลื่นของเวทย์กระแทกไปทั่วทั้งบริเวณโดยรอบก่อนที่จะสลายหายไปราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ตู้ม! ตู้ม!
สิ่งที่เกิดตรงหน้านี้นได้เรียกความสนใจของศิษย์ทุกคนที่เดินเที่ยวเล่นอยู่ในตลาดแห่งนี้เป็อย่างมาก สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องมายังกลุ่มศิษย์ใหม่ทั้งเจ็ดคนโดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้าย ที่ตอนนี้พวกเราต่างรับรู้กันว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็ถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หลายคนนั้นถึงกับตกตะลึงในความรุนแรงของเวทย์โจมตีจากปราณธาตุดินและปราณธาตุน้ำที่ถูกร่ายขึ้นพร้อมกันจึงได้มีอานุภาพที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้
เเต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงประหลาดใจที่เห็นว่ากลุ่มของศิษย์ใหม่ที่ถูกหาเื่นั้นสามารถตั้งรับเวทย์โจมตีระดับสูงจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นต้นได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก
ถึงแม้ว่าจะเกิดความโกลาหลและสับสนที่เกิดขึ้นแต่หนิงอ้ายยังคงสงบนิ่งและมีสมาธิอีกทั้งยังแผ่ซ่านญาณััไปโดยรอบเพิ่มขึ้นอย่างระแวดระวัง เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะใช้โอกาสจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายเขาและสหายที่อยู่ด้านหลังของตนได้
สหายของหนิงอ้ายที่เหลือนั้นล้วนตั้งท่าเตรียมต่อสู้อย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่าในเมื่อพวกเขานั้นเป็สหายกันเเล้วย่อมควรที่จะช่วยเหลือกันเป็การดีที่สุดและไม่มีวันทอดทิ้งสหายของตนให้เผชิญปัญหาโดยลำพังอย่างแน่นอน แม้พวกเขานั้นจะมั่นใจว่าหนิงอ้ายยังคงสามารถ่ชิงความได้เปรียบจากเหตุการณ์ปะทะของบทเวทย์เมื่อครู่
เเต่ถึงอย่างไรนั้นพวกศิษย์พี่เหล่านี้ต่างเป็ศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีพลังิญญาอยู่ในระดับเทวะิญญาแล้วฝีมือของอีกฝ่ายนั้นย่อมไม่ธรรมสามัญ
อาจจะดูเสียเปรียบไปบ้างด้วยความแตกต่างของพลังิญญาของพวกเขาหากต้องรับมือจริงๆ นับว่าคงตึงมืออยู่ไม่น้อยเเต่ถึงอย่างไรนั้นหากอีกฝ่ายส่งการโจมตีมาอีกครั้งพวกเขาก็จะลงมือในทันทีเช่นกัน
ทางฝั่งของบรรดาเหล่าศิษย์ชายหญิงที่อยู่โดยรอบนั้นแม้จะเป็ผู้ฝึกตน เป็ศิษย์ร่วมสำนักศึกษาเดียวกันก็จริง เเต่ถึงอย่างไรนั้นเื่ราวที่เกิดขึ้นนี้พวกเขาล้วนต่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น เพื่อความปลอดภัยของตนเองเหล่าศิษย์ที่มุงอยู่พวกนี้จึงขยับถอยห่างออกไปในระยะที่เหมาะสมด้วยเพราะไม่อยากโดนลูกหลงจากการปะทะของทั้งสองกลุ่มนี้นั่นเอง ซึ่งในขณะที่สถานการณ์นั้นเริ่มตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะมีฝ่ายใดที่ได้ร่ายเวทย์โจมตีออกมานั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้นท่ามกลาวความเงียบสงบเหล่านี้
"โอ้! ข้าพึ่งรู้ว่าตลาดแห่งนี้เป็สนามประลองอีกแห่งของสำนักศึกษาของเรามีเื่ราวที่น่าสนุกเช่นนี้เหตุใดชักชวนข้าด้วยเล่า?" เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นโดยที่ยังไม่ปรากฎตัวคนเสียซ้ำ
"สร้างความวุ่นวายในพื้นที่ตลาดแห่งนี้ ไม่รู้อย่างนั้นหรือว่าที่นี่มีกฎเกณฑ์เช่นไร!" เสียงของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินฝ่าวงล้อมเข้ามาตรงด้านหลังของนางนั้นยังมีชายหนุ่มอีกสามคนที่เร่งฝีเท้าเข้ามาเมื่อมาถึงเเล้วนั้นจึงมองไปทางฝั่งของหนิงอ้ายและเฉินหลานด้วยสายตาตำหนิอย่างชัดเจน
"เฉินหลานเ้าเป็ศิษย์พี่ที่เข้าศึกษาอยู่ในสำนักศึกษามาหลายปี กฎเกณฑ์เหล่านี้เ้าคงคุ้นชินอยู่ไม่น้อยเเต่เหตุใดวันนี้พวกเ้าจึงหาเื่เหล่าบรรดาศิษย์น้องพวกเล่า?" เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่มีรูปร่างผอมบางได้เอ่ยเสริมขึ้น ทำเอาเ้าของชื่ออย่างเฉินหลานนั้นถึงกับขบฟันด้วยความโกรธและอับอายที่ถูกต่อว่าราวกับเขานั้นไม่สนใจเมินเฉยกับข้อห้ามเหล่านี้
"ส่วนเ้าคงเป็ศิษย์ใหม่ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานามว่าหนิงอ้ายกระมัง พวกเ้าอาจจะพึ่งเข้าศึกษาในสำนักแห่งนี้จึงไม่รู้ว่าพื้นที่ตลาดนั้นห้ามไม่ให้ผู้ใดก่อความวุ่นวายได้อย่างเด็ดขาด หาก้าประลองนั้นสามารถแจ้งผู้าุโฉู่เหิงเพื่อขอใช้สนามประลองดังกล่าวนั้นได้ทุกเมื่อ เข้าใจเเล้วหรือไม่?" เสียงของชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหนิงอ้ายอย่างถี่ถ้วน
เพราะเมื่อวานนี้ตนได้มีโอกาสเห็นศิษย์น้องผู้นี้เเต่เพียงไกล ๆ เท่านั้นซึ่งเมื่อได้มาเห็นอีกฝ่ายในระยะที่ใกล้เช่นนี้จึงทำให้ได้รู้ว่าตัวคนนั้นรูปร่างบอบบางยิ่งนัก ตรงกันข้ามกับความสามารถของอีกฝ่ายที่ตนได้เห็นในเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
"คำนับศิษย์พี่ขอรับ..." กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งเจ็ดคนได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับกลุ่มศิษย์พี่ที่มาใหม่ซึ่งด้วยกลิ่นอายที่เเข็งแกร่งเช่นนี้ในใจของพวกเขานั้นย่อมสามารถคาดเดาได้ว่าเป็สุดยอดระดับหัวกะทิของทางสำนักอย่างแน่นอน
"เ้ากล่าวเกินไปแล้วจางลี่ ข้าเพียงทักทายศิษย์น้องใหม่เเต่เพียงเท่านั้น เมื่อครู่ก็เป็เพียงการทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เื่ราวกระชับมิตรของบุรุษนั่นหากพูดไปแล้วเ้าคงไม่เข้าใจเป็แน่..."
เฉินหลานตอบกลับไปพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโลมเลีย ด้วยเพราะสตรีที่มีนามว่าจางลี่นั้นมีรูปโฉมที่งดงามเป็อันดับต้น ๆ ของสำนักไปไม่ต่างจากไป๋เหลียนฮวาจากตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา
"ส่วนเ้าตงหยางอย่าคิดว่าการที่เ้าได้เป็ศิษย์สายตรงของท่านเ้าสำนักเจียงเฉิงแล้วจะทำให้เ้านั้นอยู่เหนือไปกว่าข้า จำเอาไว้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเ้าต่อให้มีตำแหน่งที่สูงส่งเเค่ไหนก็เป็เพียงคนไร้ค่าในสายตาของข้าก็เพียงเท่านั้น!!" เฉินหลานเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องไปทางชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีนามว่าตงหยางด้วยอารมณ์โมโหอย่างถึงขีดสุด
ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่มองมายังตนที่ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างนั้นหาได้เป็เื่ที่ต้องสนใจอันใดสักเท่าไหร่นัก ในใจยิ่งนึกเกลียดคนผู้นี้ไปอีกมากมายหลายเท่า
"พวกข้าเสียเวลามากแล้วคงไม่ขออยู่เสวนากับพวกเ้าต่อเเล้วกัน ส่วนเ้าหนิงอ้ายหลังจากนี้ข้าย่อมได้เจอเ้าอีกเป็แน่ ระวังตัวไว้ให้ดี!!" เฉินหลานเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเขาตั้งใจที่จะหันหน้าไปคุยกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยถ้อยคำที่มีความหมายโดยนัย แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ได้รับแววตาที่นิ่งเฉยของอีกฝ่ายที่มองกลับมาก็เพียงเท่านั้น
"กลับ!!!" สิ้นเสียงของเฉินหลานชายหนุ่มนั้นได้หันหลังกลับเดินตรงไปด้วยท่าทางข่มขวัญจนเหล่าศิษย์ที่มุงอยู่ในบริเวณนั้นต้องหลีกทางให้อีกฝ่าย จากนั้นบรรดาชายหนุ่มอีกสี่ห้าคนที่เป็ดั่งผู้ติดตามจึงรีบได้เดินตามหลังของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วครู่ก็ไม่เห็นพวกเขานั้นอยู่ในตลาดแห่งนี้เเล้ว
"นึกว่าจะแน่!!!" อี้หลินบ่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
"เ้านี่นะอี้หลิน ไม่เกิดเื่ก็ดีเเล้วไม่ใช่งั้นรึ??" หนิงอ้ายเมื่อได้ยินสหายของตนเอ่ยพึมพำขึ้นเเบบนั้นจึงอดที่จะหัวเราออกมาไม่ได้
"เเต่ข้าเห็นด้วยกับศิษย์น้องนะ หากว่าจางลี่และตงหยางไม่เอ่ยห้ามขึ้นข้าอาจจะได้เห็นฝีมือของศิษย์น้องหนิงอ้ายมากกว่านี้ก็เป็ไปได้..." ชายหนุ่มที่ตัวเล็กท่าทางเต็มไปด้วยความอารมณ์ดีนั้นเอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เสียดายเป็อย่างมาก
"โม่โฉวข้าเบื่อที่จะพูดกับเ้าเเล้ว อย่าลืมว่าอย่างไรกฎก็ต้องเป็กฎพื้นที่ตรงนี้เป็ตลาดหาใช่สนามประลองไม่??" จางลี่เอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างตน
"สตรีเช่นเ้าไม่รู้จักความสนุกสนานเสียจริงช่างเหมาะสมกับเ้าตงหยางนี้ยิ่ง!!!" ศิษย์พี่ที่มีนามว่าโม่โฉวบ่นขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน
"ใครจะติดเล่นเช่นเ้าเล่าโม่โฉวจำได้หรือไม่ที่ก่อนหน้านี้..." สตรีที่มีนามว่าจางลี่โต้กลับไปแต่ก่อนที่เื่ราวจะเกินเลยไปมากกว่านี้ก็ได้มีเสียงดังจากกลุ่มเด็กหนุ่มตรงหน้าตนเสียก่อน
"ศิษย์พี่ขอรับพวกท่าน..." เสียงของจินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างแ่เบาเมื่อเห็นว่าเหล่าศิษย์พี่ตรงหน้าตนนั้นคล้ายกับว่าจะทะเลาะกันเสียเเล้ว เเต่ถึงอย่างไรนั้นด้วยความที่พวกเขาในที่นี้ต่างเป็ผู้ฝึกตนระดับสูงจึงได้ยินถ้อยคำที่แ่เบานี้ได้อย่างชัดเจน
"ศิษย์พี่ลืมแนะนำตัวไปข้ามีนามว่า จางลี่ เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตราวุทธ ส่วนเ้านี่มีนามว่าโม่โฉว เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล บุรุษผู้นี้เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ ซุนหราน ส่วนคนสุดท้ายมีนามว่า ตงหยาง เป็ศิษย์ของท่านเ้าสำนักเจียงเฉิง"
"อาจจะไม่เคยเห็นหน้าหรือคุ้นหน้าพวกข้ามาก่อนเพราะก่อนหน้านี้พวกเราทั้งสี่คนได้ออกไปทำภารกิจลับของสำนักและได้เดินทางกลับมาถึงเมื่อวานนี้ และทันเห็นการทดสอบของพวกเ้าทุกคนพอดี พวกเ้าทุกคนเป็ศิษย์ใหม่ที่มีความสามารถเป็อย่างยิ่งถือได้ว่าสำนักศึกษาของพวกเราโชคดีที่ได้พวกเ้าเข้ามาอยู่ในสำนักเดียวกัน..." จางลี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาชื่นชมไปยังศิษย์น้องที่อยู่ตรงหน้าของตนทุกคนก่อนที่สายตานั้นจะหยุดไปที่เด็กหนุ่มร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหน้า
"โดยเฉพาะเ้าศิษย์น้องหนิงอ้าย ศิษย์พี่ขอต้อนรับเ้าในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งศาสตร์แห่งการรักษาหากมีสิ่งใดที่้าความช่วยเหลือเ้าสามารถบอกกล่าวกับพวกศิษย์พี่ทุกคนตรงนี้ได้ทุกเมื่อรวมไปถึงพวกเ้าเช่นกันนะ..." จางลี่เอ่ยกับหนิงอ้ายโดยตรงก่อนที่ประโยคท้ายนั่นจะเผื่อเเผ่ไปถึงกลุ่มสหายของศิษย์น้องเพราะนางนั้นรู้สึกถูกชะตากับศิษย์น้องพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก
"ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นจะมีผู้สืบทอดเป็เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี้เช่นนี้ ตัวข้าในตอนที่อายุเท่ากับเ้านั้นไม่รู้ว่ามัวแต่ทำสิ่งใดกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!!!" โม่โฉวเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม ด้วยตัวของเขานั้นที่เป็ศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลคนหนึ่งย่อมััพลังปราณที่แกร่งกล้าของศิษย์น้องคนนี้
"ส่วนเ้าทั้งสองคนข้าขอต้อนรับในฐานะศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลแม้ข้านั้นอาจจะทำตัวราวกับว่างงานเช่นนี้เเต่หากพวกเ้าทั้งสองมีข้อสงสัยในสิ่งที่เรียนพวกเ้าสามารถสอบถามข้าได้ทุกเมื่อ" จากนั้นโม่โฉวได้หันหน้าไปคุยกับเด็กหนุ่มทั่งสองคนนั่นคือลู่ซีกับอู๋ฮั่นซึ่งทั้งสองคนนั้นได้ชื่อว่าเป็ศิษย์น้องร่วมตำหนักของตนเเล้วนั่นเอง
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเ้าเหมาะสมเเล้วกับตำแหน่งนี้ ที่สำคัญข้าดีใจมากเช่นกันที่ได้เป็ศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเ้าทั้งสี่คน..." ซุนหรานเอ่ยชื่นชมหนิงอ้ายด้วยความจริงใจก่อนที่จะหันไปคุยกับอี้หลิน จินหั่ว หลี่ซวงและจ้าวหลานซึ่งทั้งสี่คนนั้นมีศักดิ์เป็ศิษย์น้องร่วมตำหนักของตนซึ่งเขาต่างััได้ว่าเหล่าศิษย์น้องเหล่านี้มากไปด้วยพร์อย่างเเท้จริง
"ตงหยางเเล้วเ้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับศิษย์น้องเหล่านี้อย่างนั้นรึเ้านี่ช่างเ็าพูดน้อยเสียจริงศิษย์น้องอย่าได้คิดมากเล่าเ้าตงหยางก็เป็เช่นนี้เเหละ" โม่โฉวที่เห็นสหายของตนไม่เอ่ยคำใดออกมานั้นเขาจึงตำหนิอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังสักเท่าไหร่นักก่อนที่จะหันได้บอกกับศิษย์น้องตรงหน้าพร้อมกับบ่นบางสิ่งออกมา
"ข้าในฐานะศิษย์พี่ของพวกเ้า ยินดีที่ได้รู้จักหากว่าหลังจากนี้มีสิ่งใดขาดเหลือสามารถบอกกล่าวกับข้าได้ทุกเมื่อ..." ตงหยางเอ่ยขึ้นอย่างหนักเเน่นพร้อมกับมองไปยังศิษย์น้องที่อยู่ตรงหน้าของก่อนก่อนที่จะหยุดสายตาชั่วครู่ที่หนิงอ้ายก่อนที่จะถอนสายตาออกมาด้วยความรวดเร็วที่ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเด็กหนุ่มได้
"ข้าหนิงอ้ายขอเป็ตัวเเทนเอ่ยขอบคุณพวกท่านที่ยื่นมือมาช่วยเหลือขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับศิษย์พี่ทั้งสี่คนตรงหน้าของตนอีกครั้ง ก่อนที่ข้อมูลของเนตรเเห่ง์ที่ปรากฎขึ้นให้เขาได้รับรู้จะทำให้เขานั้นรู้สึกใมากเลยทีเดียว...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้