บทที่ 7 ณ ค่ายพยัคฆ์อุดร
คำว่าอัปมงคล มันคือตราประทับที่หนักหน่วงยิ่งกว่าไส้ศึก
เชือกป่านหยาบๆ บาดข้อมือที่ผอมบางของหลิวซือซือจนแสบแดง มีนาถูกกระชากให้เดินตามหลังกองทหารม้า การเดินเท้าเปล่าบนเส้นทางูเาที่หยาบกร้านคือความทรมานอย่างแสนสาหัส หินคมๆ บาดฝ่าเท้าจนเืซิบ แต่ความเ็ปทางกาย เทียบไม่ได้กับความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านในใจ
"พี่จ๋า! แย่แล้ว!"
เสียงเ้าหนูกุมารทองดังขึ้นในหัว มันเลิกนั่งตบยุงบนหัวเธอ แต่เปลี่ยนมาลอยวนไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย "หนูไม่ชอบคำนี้เลย! 'ไส้ศึก' ยังฟังดูมีราคาแต่'อัปมงคล' นี่มัน มันคือของที่เขาต้องเอาไปโยนทิ้งนะ! พ่อจ๋าบอกว่าพวกทหารมันถือเคล็ด!"
‘ [หุบปาก ฉันกำลังคิด] ’
มีนาสวนกลับในใจ เธอกำลังประมวลผลสถานการณ์ใหม่ทั้งหมดอีกครั้งตรรกะของเธอกำลังบอกว่า แม่ทัพฉีเจิ้นไม่ได้โง่ เขาเชื่อการวิเคราะห์ของเธอเื่การทำลายเสบียง แต่เขากลับเลือกใช้คำตัดสินที่ไร้ตรรกะที่สุดทำไม?ความเป็ไปได้มีอยู่ 2 ประการ
1. เขาเชื่อเื่โชคลางจริงๆ อัตราความเป็ไปได้: 30%] ’
2. เขากำลังใช้ข้ออ้างนี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ อัตราความเป็ไปได้: 70%] ’
เขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็ไส้ศึก แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเธอเป็อิสระการตราหน้าเธอว่าอัปมงคลคือการกักบริเวณเธอไว้ โดยที่ทหารทั้งค่ายจะไม่ตั้งคำถาม ฉลาดแต่ก็โเี้ นี่คือข้อสรุปแรกที่เธอมีต่อบุรุษผู้มีดวงตาว่างเปล่าคนนั้น การเดินทางกินเวลาเกือบครึ่งวัน เมื่อพระอาทิตย์คล้อยบ่าย ค่ายอุดรก็ปรากฏแก่สายตา และมันคือภาพที่ทำลายทุกจินตนาการของคำว่ากองทัพที่เธอคิดเอาไว้อย่างย่อยยับ
นี่ไม่ใช่กองทัพพยัคฆ์ นี่มันคือกองทัพแมวป่วย!!
สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่กำแพงค่ายที่แข็งแกร่ง แต่เป็รั้วไม้ซุงที่ผุพังโยกเยก หลายจุดพังทลายลงจนต้องใช้ไม้ไผ่มาปักเสริมไว้ลวกๆ ธงรบที่ปักอยู่หน้าค่าย ธงสีดำลายพยัคฆ์ มันขาดวิ่นจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ปลิวไสวอย่างอิดโรยราวกับผ้าขี้ริ้ว ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตู ผอมโซ ดวงตาของพวกเขาจมลึกอยู่ในเบ้า ชุดเกราะหนังที่สวมใส่เก่าคร่ำคร่า บางคนถึงกับไม่มีเกราะ มีเพียงผ้าป่านหยาบๆ พันกาย เมื่อกองลาดตระเวนของนายกองจางเหยียนกลับมา พวกเขาไม่ได้โห่ร้องดีใจ แต่กลับมองมาด้วยสายตาที่เฉยชา และสิ้นหวัง สมองวิศวกรโลจิสติกส์ของมีนากรีดร้อง นี่ไม่ใช่แค่ความยากจน นี่คือความ อดอยากข้นแค้นและน่าเวทนาที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา แล้วแบบนี้พวกเขาจะเอาแรงที่ไหนมาปกป้องแผ่นดินกันเล่า เธอมองไปที่เหล่าทหารที่ผอมบาง ใบหน้าเหลืองซีดเซียวที่บอกได้คำเดียวว่า ขาดสารอาหาร100% แบบนี้ไม่ต้องให้ศัตรูบุกเข้ามาหรอก ทิ้งเอาไว้ไม่เกิน 2เดือนทหารเหล่านี้ได้ตายเรียบแน่..
การที่คาราวานเสบียง ถูกทำลาย ไม่ใช่แค่ข่าวร้าย มันคือ ตะปูตัวสุดท้าย ตอกฝาโลงของค่ายแห่งนี้อย่างแท้จริง มิน่าเหล่าพวกเขาถึงได้เดินกันช้านักที่แท้ไม่มีแรงนี่เอง
ข่าวลือเดินทางเร็วกว่าฝีเท้า ขณะที่เธอถูกลากผ่านลานฝึก ทหารที่าเ็ซึ่งมีมากกว่าทหารที่แข็งแรง มองมาที่เธอเสียงกระซิบดังขึ้น
"นั่น ผู้หญิงคนนั้น"
"นางคือคนที่มาจากคาราวานเสบียงคนเดียวที่รอด"
"ตัวซวย! นางจะนำความตายมาหรือเปล่า!" สายตาที่เคยสิ้นหวัง บัดนี้เต็มไปด้วยความรังเกียจและหวาดกลัว พวกเขามองเธอราวกับกาฬโรคที่เดินได้ เธออยากจะะโตอบเหลือเกินว่า'ฉันไม่ต้องมาอีกไม่นานพวกแกก็อดตายเองแล้ว!!'
"พี่จ๋า" เ้าหนูเริ่มเสียงอ่อยตอนนี้มันปีนไปนั่งบนหัวเธออีกครั้ง
"หนูไม่ชอบสายตาพวกนี้เลย มันเหม็นกว่าพวกหน้ากากกระดูกอีก มันเหม็นกลิ่นความกลัว"
เธอถูกลากมาจนถึงกระโจมที่ใหญ่ที่สุดใจกลางค่าย แม้จะใหญ่ที่สุด แต่มันก็เก่าจนแทบเปื่อย
"เข้าไป!"
นายกองจางเหยียนผลักเธออย่างแรงจนล้มคะมำเข้าไปด้านใน ก่อนที่ม่านกระโจมจะถูกปิดลง ทิ้งเธอไว้ในความมืดสลัว
[กระโจมบัญชาการ]
กลิ่น มันคือสิ่งแรกที่ปะทะจมูก ไม่ใช่กลิ่นหรูหราของไม้จันทน์ แต่เป็กลิ่นอับชื้นของผ้าใบเก่าๆ กลิ่นน้ำมันตะเกียงราคาถูก กลิ่นหมึกจีน และ กลิ่นยาสมุนไพรรสขม มีนาหรือหลิวซือซือค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น สายตาปรับเข้ากับความมืดนี่ไม่ใช่ห้องทำงานของแม่ทัพ นี่มันเหมือนห้องเก็บของมากกว่า แผนที่ยุทธศาสตร์เก่าๆ ถูกปักไว้บนฉากกั้น กองม้วนสารไม้ไผ่สุมอยู่บนพื้น และที่โต๊ะทำงานกลางกระโจม
เขานั่งอยู่ที่นั่น แม่ทัพใหญ่ฉีเจิ้น
เขาถอดเกราะที่หนักอึ้งออกแล้ว เหลือเพียงอาภรณ์สีดำเรียบๆ ที่รัดกุม ร่างสูงใหญ่นั้นนั่งอยู่หลังโต๊ะ ไม่ได้อ่านสาร แต่กำลังใช้นิ้วบีบนวดขมับของตัวเอง แสงตะเกียงวูบไหว ส่องให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวยิ่งกว่าตอนเช้า ใต้ดวงตาที่ว่างเปล่า บัดนี้ฉายแววเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ
เขาคือบุรุษที่แบกรับกองทัพที่กำลังจะตายนี้ไว้ และเธอคือฟางเส้นล่าสุดที่หล่นลงมาทับถมเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอความเงียบหนักอึ้งบีบคั้น
"โชคช่วยงั้นหรือ?" ในที่สุด เขาก็เอ่ยขึ้น เสียงนั้นแหบพร่า ไร้ซึ่งอารมณ์
"ในสมรภูมิของข้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคช่วย"
มีนาเม้มปากเืที่มุมปากยังคงมีรสฝาดเฝื่อน ‘ [ฉันก็ไม่เชื่อเื่โชคช่วย] ’ เธอคิดในใจ ‘ [สิ่งที่ช่วยฉันคืออาคมของพ่อฉันต่างหาก] ’ เธอลืมไปว่าหากพวกทหารลาดตระเวนมาช้าอีกสักหน่อยเธอคงจะถูกเ้าหน้ากากหัวกะโหลกจับตัวไปแล้ว
ฉีเจิ้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาของเธอ
"ข้าไม่สนว่าเ้าคืออะไร" เขากล่าวต่อ
"ปีศาจ อัปมงคล หรือแค่เด็กสาวที่ดวงแข็ง" เขายันตัวไปข้างหน้า
"ข้าสนแค่ข้อมูล" เขาจ้องเธอเขม็ง ความกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างนั้น
“นายกองจางบอกว่าเ้ารู้ว่าพวกมันร่วมมือกัน เ้ารู้ได้อย่างไร สักเกตุจากอะไร? เล่ามาให้หมด”
นี่คือการสอบสวน ไม่ใช่การสนทนา
มีนาพยายามรวบรวมสติ
"ข้าอยู่ในเกวียน ได้ยินเสียง พวกโจรป่าพูดถึง 'พวกหน้ากากกระดูก' ได้ยินว่าพวกมันรอเวลา พวกมันรู้ว่าคาราวานจะมาถึง"
"พวกหน้ากากกระดูก" แม่ทัพฉีเจิ้นขมวดคิ้ว
"เ้าเห็นหน้าพวกมันหรือไม่? ผู้นำ? สัญลักษณ์? พวกมันเอาอะไรไปบ้าง?"
นี่คือคำถามสำคัญ และนี่คือจุดที่ตรรกะของเธอต้องพ่ายแพ้ต่อความจริงอันน่าสมเพชของร่างกายนี้ มีนาหลับตาลง ความอัปยศแล่นริ้ว ในฐานะวิศวกร การไม่รู้ข้อมูลคือความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุด แต่เธอคือมีนาที่ติดอยู่ในร่างของหลิวซือซือ เด็กสาวที่แตกสลายเพราะความกลัว
"ข้า" เธอเค้นเสียง
"ข้าไม่เห็น"
ดวงตาของแม่ทัพฉีเจิ้นหรี่ลง
"มันมืดและ" เธอเกลียดคำพูดต่อไปนี้
"ข้า ข้าหมดสติไป" เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงยันต์พยัคฆ์ของเธอที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ความเงียบความเงียบที่เยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม ความผิดหวัง ฉายชัดในดวงตาที่เคยว่างเปล่าของแม่ทัพฉีเจิ้นเขามองเธอราวกับมองขยะที่ไร้ค่า
“ไร้ประโยชน์”
คำพูดนั้นเฉือนลึกยิ่งกว่าดาบ มันไม่ใช่การดูถูกรูปลักษณ์ มันคือการดูถูกสมองของเธอ
"พี่จ๋า มันด่าพี่จ๋าว่าไร้ประโยชน์!"
เ้าหนูที่เหมือนรอจังหวะซ้ำก็มาทันที และมันก็ทำท่าว่าโกรธแทนเธอด้วย
"ต่อยมันเลย! ต่อยมัน! พ่อจ๋าบอกว่าพี่จ๋าเก่งที่สุด!"
มีนาถอนแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอไม่รู้ว่าเ้าหนูตัวอ้วนนี้จะมีประโยชน์หรือช่วยเหลือเธอได้หรือไม่ เพราะว่าั้แ่เ้าหนูตนนี้ปรากฎตัว เธอยังไม่ได้เห็นเขามีประโยชน์หรือช่วยเหลือเธอได้เลย มีแต่คอยซ้ำเวลามีใครด่าเธอ หรือแม้แต่ตัวมันเองก็ร่วมด่าเธอด้วย ตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะเก็บเ้านี้เอาไว้ดีหรือไม่!!!
กุมารทองตัวน้อยเห็นพี่จ๋าของมันไม่ตอบโต้ มันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงได้ค่อยลอยลงมามองตาพี่จ๋าของมันว่าเป็อะไรไปหรือเปล่า
แม่ทัพฉีเจิ้นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความเหนื่อยล้ากลับมาฉายชัด
"เ้าวิเคราะห์ถูกว่ามันคือการทำลายเสบียง นั่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้หัวของเ้ายังอยู่บนบ่า"
เขาโบกมืออย่างอ่อนล้า
"แต่ข้อมูลนั้นทหารเลวของข้าก็มองออกข้า้าสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น"
เขามองมาที่นางสตรีที่ผอมบางมอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เหลือสภาพ กำลังสั่นเทา และบัดนี้ ไร้ซึ่งข้อมูลตอนนี้นางไม่มีค่าอะไรเลย
"จางเหยียน!" เขาะโเรียกทหารด้านนอก
ม่านกระโจมเปิดออกนางกองจางเหยียนก้าวเข้ามา
"ท่านแม่ทัพ!"
"เอาตัวไปขังไว้" แม่ทัพฉีเจิ้นหันกลับไปมองกองเอกสาร ไม่มองเธออีกต่อไป
"ข้าไม่เลี้ยงคนที่ไร้ประโยชน์"
เขาหยุดไปอึดใจก่อนจะเอ่ยประโยคที่ปิดผนึกชะตากรรมของนาง
"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้ศึกที่ไร้ค่า พอๆ กับตัวอัปมงคล"
เขาไม่เชื่อว่านางเป็แค่ตัวซวย เขาเชื่อว่านางคือไส้ศึก ที่โง่และไร้ประโยชน์จนทำงานพลาด! นี่คือความอัปยศซ้ำสอง!
"เดี๋ยวก่อน!"
มีนาะโออกมา! เธอจะไม่ยอมจบแบบนี้! เธอไม่ใช่อีหนูหลิวซือซือ! เธอคือมีนา! วิศวกรอัจฉริยะ!
นายกองจางที่กำลังจะมาลากตัวเธอชะงัก แม่ทัพฉีเจิ้น ค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาของเขาฉายแววรำคาญอย่างที่สุด
"เ้ามีอะไรจะพูด ก่อนที่จะไปเน่าตายในคุก?"
มีนาสูดหายใจลึก เธอยืนหยัด แม้ว่าขาจะสั่น เธอบังคับร่างกายนี้ด้วยพลังจิตทั้งหมด
"ท่าน"
เธอพูด เสียงยังสั่นแต่แววตาเ็า
"ท่านกำลังถามคำถามผิด"
ความเงียบ
"ว่ามา" แม่ทัพฉีเจิ้นหรี่ตา
"ท่านถามว่าพวกมันเอาอะไรไปบ้างหรือพวกมันหน้าตาเป็อย่างไรนั่นคือคำถามของทหาร ไม่ใช่คำถามของแม่ทัพ"
นางกองจางเบิกตากว้าง
"นังนี่! เ้ากล้าิ่ท่านแม่ทัพใหญ่เชียวรึ อยากตายตอนนี้เลยใช่หรือไม่!"
แม่ทัพฉีเจิ้นยกมือขึ้น ห้ามจางเหยียนไว้ แววตาว่างเปล่าของเขา มีประกายบางอย่างประกายของความสนใจที่ถูกกระตุ้น
"คำถามที่ถูกต้องคืออะไร 'ตัวอัปมงคล'?" เขาเย้ยหยัน
มีนาไม่สนใจคำดูถูก
"คำถามที่ถูกต้องคือพวกมันรู้ได้อย่างไรว่าคาราวานจะมาถึงเมื่อไหร่?"
ประกายไฟในตะเกียง สั่นไหว อุณหภูมิในกระโจมราวกับลดลงฮวบ!
นายกองจางหน้าซีด เขาคิดไม่ถึง! มีนาพูดต่อเสียงของเธอหนักแน่นขึ้นนี่คือสมรภูมิของเธอ สมรภูมิแห่งตรรกะ
"นี่คือการซุ่มโจตีที่แม่นยำที่ช่องเขา พวกมันรู้เส้นทาง พวกมันรู้เวลา และพวกมันรู้ว่าทหารคุ้มกันมีจำนวนเท่าใด" เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแม่ทัพฉีเจิ้น
"และคำถามที่สองที่ท่านพลาดไปพวกมันไม่ได้เผาเสบียงทั้งหมด"
"เ้าพูดบ้าอะไร!" จางเหยียนเถียง
"ข้าเห็นกับตา! มันไหม้เป็เถ้าถ่าน!"
"เปล่า" มีนาสวนกลับทันควัน "พวกมันเผา ข้าวสาร แป้งและธัญพืชแต่พวกมันเอาเกลือไป"
โลกทั้งใบหยุดหมุน ไอ้หนูที่ลอยอยู่หยุดกะพริบตา นายกองจางเหยียนอ้าปากค้าง
แม่ทัพฉีเจิ้นบุรุษผู้มีดวงตาว่างเปล่า เขาลุกขึ้นยืน! ฝ่ามือของเขากำแน่นบนโต๊ะ จนเส้นเืปูดโปน ข้าวสารหนัก เทอะทะเผาง่ายเกลือเบามีค่าดุจทองคำและจำเป็ต่อการดำรงอยู่ของกองทัพ
"ท่านแม่ทัพ" มีนากล่าวปิดท้าย ด้วยเสียงที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
"ปัญหาของท่าน ไม่ใช่แค่โจรป่าและโจรหน้ากากดำปัญหาของท่านคือหนอนบ่อนไส้ที่อยู่ในค่ายของท่านและกองทัพพยัคฆ์อุดรของท่าน" เธอหยุดจ้องมองเขานิ่งก่อนจะเอ่ยความจริงที่ไม่มีผู้ใดอยากได้ยินว่า
"กำลังจะขาดเกลือ"
****สรุปเ้าอ้วนน้อยมาเพื่อช่วยหรือซ้ำกันแน่****
