เล่มที่ 4 บทที่ 102
“ตาเฒ่า มาดูนี่ เมื่อสองสามวันก่อน ดูเหมือนเขาจะถูกควบคุมโดยบางสิ่ง ตาเฒ่าสามารถมองหาสาเหตุได้หรือไม่?” หลังจากหันขยิบตาให้มู่หรงฉิงด้วยท่าทีอวดเก่ง จ้าวจื่อซินจึงหันไปหาหมอเทวดาและกล่าวว่า “เื่ที่เขาคลุ้มคลั่ง ข้าไม่สนแล้ว เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็เช่นนั้นเหมือนทุกครั้ง แต่เื่ที่เขาถูกคนอื่นควบคุมนั้น เ้าจะต้องตรวจสอบให้ดีๆ ล่ะ”
“ที่เ้าเรียกข้าออกมาในเวลาดึกมากเช่นนี้ ก็เพื่อใช้ข้าทำงานให้หรือ?” หลังจากเรอ หมอเทวดาก็เหลือบมองไปที่จ้าวจื่อซิน “ไม่ใช่ผู้ชายของเ้าเสียหน่อย เ้าจะวิตกกังวลไปทำไม?”
ด้วยคำพูดของหมอเทวดา มู่หรงฉิงนึกถึงถ้อยคำที่จ้าวจื่อซินได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ทันทีว่า 'การที่ขุดเส้นทางลับนี้ก็เพื่อเฉินเทียนหยู ไม่ใช่เพื่อใครอื่น' ทันใดนั้นหัวใจของนางก็รู้สึกซับซ้อนเป็อย่างมากชั่วครู่หนึ่ง
นางเผลอคิดอย่างไม่ได้ว่า ถ้าจ้าวจื่อซินมีความรักต่อเฉินเทียนหยู นางควรจะทำอย่างไร? หรือนางจำเป็จะต้องดูจ้าวจื่อซินทำทุกอย่างที่เขา้ากับเฉินเทียนหยูทุกวันหรือไม่?
ครั้นตระหนักได้ว่าตนเองกำลังคิดอย่างไร้สาระ มู่หรงฉิงก็รีบหยุดความคิดเลอะเทอะเ่าั้ทันที และหันไปมองที่ชิงยวี่ โดยแค่หวังว่าชิงยวี่จะพยายามมากขึ้นเล็กน้อย คอยจับตาดูนายของเขาให้ดี อย่าให้มาทำร้ายผู้เป็สามีของนาง
ในระหว่างที่มู่หรงฉิงกำลังเหม่อลอยคิดเพ้อเจ้อ หมอเทวดาได้เช็ดริมฝีปากของตนเอง ก่อนที่จะเดินโซเซไปหาเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งไม่เคลื่อนไหวเลย หลังจากตรวจดูอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาขยี้ดวงตาและตรวจดูอีกหน มู่หรงฉิงรู้สึกประหม่าอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูกจนหยาดเหงื่อซึมเปียกฝ่ามือของนาง หลังจากดูเป็เวลานานหมอเทวดาถึงได้กล่าวว่า “ถ้าเดาถูกต้อง เขาถูกควบคุมเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น มันน่าจะเป็การใช้คาถา เขาถูกควบคุมจิติญญา ในขณะที่ไม่ทันได้ระวัง แต่การควบคุมจิติญญาประเภทนี้จะสามารถควบคุมได้ไม่นาน และการใช้ในแต่ละครั้งจะสิ้นเปลืองพลังงานของผู้ที่ใช้คาถาเป็อย่างมาก ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีใครอยากจะทำสิ่งนี้เนื่องจากมันเปลืองพลังงานของผู้ใช้คาถามากเกินไป”
หมอเทวดารับรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ได้มีผลร้ายตามมาในภายหลังจากการที่เฉินเทียนหยูถูกควบคุมคราวก่อน มู่หรงฉิงถึงกับโล่งใจ เหตุผลที่นาง้าให้หมอเทวดามาที่นี่ในคืนนี้เนื่องจากนางวิตกกังวลว่าเฉินเทียนหยูจะเหมือนกับแม่นมทั้งสองคนที่ถูกยวี้เอ๋อร์ควบคุม หลังจากรับรองว่านั่นเป็เพียงการควบคุมชั่วคราวเท่านั้น ความตึงเครียดก็หายไปในทันใด
ทันทีที่นึกถึงแม่นมทั้งสองคน มู่หรงฉิงก็ได้อธิบายถึงสถานการณ์ให้หมอเทวดาฟัง หลังจากได้ฟังเื่ราวทั้งหมด หมอเทวดากลับส่ายศีรษะไปที่จ้าวจื่อซิน “เ้าดูสิ ดู ข้าบอกเ้ากี่หนแล้ว? ให้เ้าติดตามข้า เรียนอย่างตั้งใจ อย่าได้ก่อเื่ตบตีต่อยกันทั้งวันด้านนอก ทำให้พ่อของเ้าต้องวิตกกังวล เื่ง่ายๆ เช่นนี้ เ้าจะรู้ได้ว่าถูกคนใช้ ‘คาถาพิศวาส’ ได้อย่างไรหรือ?”
หมอเทวดาสบถด่าจ้าวจื่อซิน บอกเขาว่าไม่เรียนหนังสือสักพักหนึ่งก่อนต่อด้วยการตำหนิที่เขาทำให้พ่อของเขาต้องอับอายคน จากนั้นกล่าวว่าจ้าวจื่อซินเป็คนไม่เอาถ่าน อย่างไรก็ดี อะไรที่สามารถก่นด่าได้ เขาก็พ่นพูดมาหมดแล้ว และอะไรสบถด่าไม่ได้ เขาก็สบถด่าด้วยแล้วเช่นกัน มู่หรงฉิงได้ฟังถึงประโยคสุดท้าย นางได้เพียงข้อสรุปเดียว หมอเทวดากำลังสอนเกี่ยวกับอุดมการณ์อีกหน และ้าให้จ้าวจื่อซินเป็ศิษย์ของเขาอย่างเชื่อฟัง
เดิมทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่นมทั้งสองคนเป็สิ่งที่น่าวิตกกังวลเป็อย่างมาก แต่เมื่อเห็นหมอเทวดาพูดมากและพร่ำด่าคนไม่รู้จบ มู่หรงฉิงกลับรู้สึกว่ามันน่าขบขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคลี่ยิ้ม มิหนำซ้ำรอยยิ้มยังสะท้อนกับเปลวเพลิงซึ่งดูเหมือนจะพร่างพรายมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
จ้าวจื่อซินรู้สึกรำคาญกับหมอเทวดา จึงคิดจะเตะเขาแต่จังหวะนั้นกลับเห็นรอยยิ้มของมู่หรงฉิงเสียก่อน เขาถึงได้หายโกรธเป็ปลิดทิ้ง และเมื่อเห็นหมอเทวดายังพูดไม่หยุด เขาจึงพูดอย่างเ็าว่า “ในเวลากลางคืน ดาบของข้าชอบสิ่งที่เป็เืมากที่สุด”
ทันทีที่หมอเทวดาได้ยินคำนั้น เขาก็หยุดพูดอย่างกะทันหัน แต่เคราที่ตวัดโค้งของเขานั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังโมโห
เห็นว่าหมอเทวดาหยุดวิพากษ์วิจารณ์ มู่หรงฉิงจึงถามต่อ “ฟังจากที่ท่านอาจารย์พูด หมายความว่าแม่นมทั้งสองคนถูกกระทำด้วยวิธีอื่นกระนั้นหรือ?”
แม้จ้าวจื่อซินจะไม่ชอบเขา ถึงกระนั้นเขาก็มีศิษย์ที่ดีที่พยายามจะเรียนรู้ อารมณ์ของหมอเทวดาถึงได้สงบลงเล็กน้อย เขาพยักหน้าและพูดกับมู่หรงฉิงว่า “ 'คาถาพิศวาส' ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำกันได้ ข้าใช้ชีวิตมามากกว่าครึ่งชีวิตก็เห็นว่ามีเพียงคนเดียวที่รู้วิธี แต่ในที่สุดคนคนนั้นก็ถูกวิชานี้แว้งกัด เนื่องจากใช้มันหลายหนเกินไป เขาจึงตายอย่างอนาถมาก”
หมอเทวดาดูเหมือนกำลังหวนนึกถึงภาพอันน่าสยดสยองนั้น และเขาก็ปลงอนิจจัง ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะสามารถปลงได้ในที่สุด เขาพูดต่อไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะมีศิษย์หรือไม่ แต่หลังจากคนคนนั้นเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ข้าก็ไม่เคยเห็นใครสามารถใช้วิธีนี้อีกเลย ถ้าแม่นมทั้งสองคนของเ้าเป็เช่นที่เ้าพูดจริงๆ ก็เป็ไปได้มากว่าพวกนางจะต้องพิษกู่ และพิษกู่นี้จะซุ่มซ่อนอยู่ในร่างกายของพวกนางเป็เวลานาน สาเหตุที่คนวางกู่คนนั้นไม่ได้กระตุ้นพิษกู่ เนื่องจากเวลาไม่พอหรือไม่ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อพิษกู่ถูกกระตุ้น คนที่ได้รับพิษกู่จะรับใช้คนที่วางพิษกู่อย่างสุดชีวิต ส่วนความทรงจำที่ถูกเปลี่ยนนั้น นั่นเป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้เลย พูดได้อย่างเดียวว่า ความจำหายไปแล้ว และคนที่วางพิษกู่คนนั้นสร้างความทรงจำใหม่ให้พวกนาง”
“สร้างความทรงจำหรือ?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลอยู่หลายส่วน มู่หรงฉิงจึงสงสัยว่าเป็เพราะหมอเทวดาดื่มสุรามากเกินไปหรือไม่? เขาถึงพูดพล่อยๆ?
“มันก็เป็เช่นนั้นแล มีลัทธิบางอย่างในโลกแห่งยุทธภพ เพื่อที่จะควบคุมผู้คนให้อยู่ใต้บัญชา จึงวางพิษกู่ให้คนที่อยู่ใต้บัญชาพวกเขา จากนั้นจึงกำหนดสถานะของพวกเขาและสร้างความทรงจำให้กับพวกเขา ด้วยวิธีนั้นก็จะสะดวกในการควบคุมเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าข้าวางพิษกู่ให้กับเ้า แล้วสร้างความทรงจำให้กับเ้า ทำให้เ้าคิดว่าจ้าวจื่อซินเป็สามีของเ้า แม้เฉินเทียนหยูจะร้องไห้อย่างหนักต่อหน้าเ้า เ้าก็จะคิดว่าเขาเป็คนสติวิปลาส”
การเปรียบเทียบดังกล่าวถือได้ว่าแข็งแกร่งและมีเหตุผล แต่มู่หรงฉิงได้ฟังแล้วเป็ต้องก่นด่าในใจ โดยติติงหมอเทวดาว่าสิ่งที่ดีๆ กลับไม่อุปมา แต่ไปอุปมาอะไรที่ไร้ขอบเขตเ่าั้
เมื่อเทียบกับความไม่สบอารมณ์ของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินดูเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว จี้จุดเซวียของเฉินเทียนหยูส่งเขาไปยังดินแดนในฝัน ก่อนที่จะหันไปพูดกับชิงยวี่ว่า “ส่งไปโรงเตี๊ยมที่ได้จองไว้”
ชิงยวี่ตอบรับและหามเฉินเทียนหยูออกไป หลังจากคล้อยหลังชิงยวี่ มู่หรงฉิงก็ขวางทางหมอเทวดาที่หมายจะจากไปเช่นเดียวกัน “ท่านอาจารย์ ถ้าพวกนางถูกวางพิษกู่จริงๆ จะสามารถช่วยชีวิตของพวกนางได้หรือไม่?”
“ช่วยชีวิตหรือ? นั่นไม่ใช่การช่วยชีวิต แต่เป็การพลีชีวิตของพวกนางต่างหาก” หมอเทวดาพูดด้วยน้ำเสียงเวทนา “ศิษย์ที่ดี ผู้หญิงสองคนนั้นใช้ไม่ได้แล้ว ยิ่งพิษกู่ถูกเลี้ยงไว้ในร่างกายเป็เวลานาน มันก็จะเข้าสู่สมอง เ้าคิดว่าเ้าจะสามารถเอาพิษกู่ออกจากสมองของพวกนางได้อย่างไร? แม้ว่าเ้าจะเอามันออก ถึงกระนั้นพวกนางทั้งสองคนก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกนางกับหนอนพิษกู่ต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน หากพวกนางเสียชีวิต หนอนพิษกู่จะตายด้วย แต่ถ้าหนอนพิษกู่ตาย พวกนางก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน”
หลังจากพูดจบหมอเทวดาจึงตบไหล่ของมู่หรงฉิง หมุนตัวหันหลังและก้าวเท้าจะเดินออกไป แต่หลังจากก้าวเท้าสองก้าว เขาก็แผดเสียงะโไปยังคนที่อยู่ในป่า “เ้ายังทำอะไรชักช้าอยู่ตรงนั้น? ยังไม่เดินมาอีก?”
สิ้นสุดเสียงะโ เป้ยหนิงก็เดินออกมาด้วยความโกรธเคือง จากนั้นกวาดสายตามองไปที่จ้าวจื่อซินอย่างดุเดือด ก่อนที่จะเดินไปหาหมอเทวดาอย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์เห็นว่าข้าถูกบุคคลภายนอกรังแก แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ช่วยข้าระบายความโกรธเลย”
“ช่วยเ้าระบายความโกรธหรือ? ถ้าข้าระบายความโกรธให้เ้า ดาบของเ้าสารเลวนั่นจะปาดที่คอของข้า” เปล่งเสียงฮึและหมอเทวดาก็ชี้นิ้วมือไปที่มู่หรงฉิง “ถ้าเขาไม่ใช่คนใต้บัญชาศิษย์น้องของเ้า ให้ศิษย์น้องของเ้าระบายความโกรธของเ้า ต้องดูว่าเ้า้าให้เขาะโลงไปในแม่น้ำ? หรือจะให้แขวนคอตัวเองต่อหน้าเ้า?”
เป้ยหนิงกัดริมฝีปาก มองไปที่มู่หรงฉิงด้วยสายตากึ่งเศร้าโศกกึ่งอ้อนวอน ฉายชัดว่าถ้ามู่หรงฉิงไม่จัดการกับจ้าวจื่อซินในวันนี้ ความโกรธของนางก็ไม่สามารถระบายออกไปได้
เป้ยหนิงมองมาทางนาง จ้าวจื่อซินก็มองนางเช่นเดียวกัน ถูกคนทั้งสองมองเช่นนี้ มู่หรงฉิงเพียงรู้สึกว่าศีรษะของนางใหญ่ขึ้น คืนนี้ทุกคนทำงานเพื่อนางเป็หลัก และทั้งคู่ก็ทำงานเพื่อนาง ถ้าเกิดความขุ่นเคืองด้วยสาเหตุนี้นางก็พลอยเสียรังวัดไปด้วย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง มู่หรงฉิงจึงสอบถามทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิงว่า “ศิษย์พี่หญิงช่างน่าเวทนาจริงๆ เอาอย่างนี้ก็ได้ ศิษย์พี่หญิงวางยาพิษธรรมดาให้จ้าวจื่อซิน จากนั้นก็บอกวิธีปรุงยาแก้พิษ รอให้ข้าปรุงยาแก้พิษได้แล้วให้เขากิน ด้วยวิธีนี้ศิษย์พี่หญิงก็จะสามารถระบายความโกรธได้ ส่วนจ้าวจื่อซินก็เป็คนที่ทำให้ข้าได้ฝึกฝนวิชา เป็อย่างไรบ้าง?”
มู่หรงฉิงพูดจบ เป้ยหนิงและจ้าวจื่อซินก็มองนางด้วยสายตา 'เ้ามีพร์มาก' ในเวลาเดียวกัน
จากมุมมองความคิดของเป้ยหนิง การกระทำของมู่หรงฉิงเป็การเข้าข้างนาง เพียงแต่ความช่วยเหลือของมู่หรงฉิงนั้นชัดเจนเกินไป ซึ่งทำให้นางรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
เป้ยหนิงคิดในใจว่า ถ้าอยากจะช่วยข้า เ้าไม่ต้องพูดตรงๆ ก็ได้กระมัง? มันจะทำให้ผู้คนพูดว่าเ้าลำเอียงเข้าข้างศิษย์พี่หญิงเอาได้ซึ่งมันก็ไม่ยุติธรรม เ้าไม่เคยแม้กระทั่งปรุงยาพิษมาก่อน แต่เ้าจะปรุงยาแก้พิษกระนั้นหรือ? หลังจากเ้าปรุงยาแก้พิษได้แล้ว เ้าสารเลวจ้าวจื่อซินคนนั้นก็เหลือเวลาเพียงครึ่งลมหายใจแล้ว
แต่ครั้นนึกถึงความชั่วร้ายของจ้าวจื่อซิน เป้ยหนิงกลับรู้สึกว่าการที่มู่หรงฉิงช่วยนาง เป็สิ่งที่สมควรทำแล้ว เมื่อนึกถึงจ้าวจื่อซินที่ร้องโหยหวนด้วยความเ็ปดุจหมาป่า เป้ยหนิงพลอยรู้สึกโล่งใจเป็อย่างมาก นางระงับความตื่นเต้น และพยักหน้าเห็นด้วยท่าทางที่ไม่เต็มใจ
เป้ยหนิงพยักหน้า สายตาที่มองมู่หรงฉิงนั้นเป็ประกาย นางพบว่าศิษย์น้องคนนี้น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ นางชอบศิษย์น้องคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
หากเทียบกับความสุขของเป้ยหนิง ทางด้านจ้าวจื่อซินนั้นรู้สึกว่า มู่หรงฉิงปฏิบัติต่อเขาในฐานะที่ไม่ใช่คนนอกมากเกินไป แต่ใช้เขาในการฝึกฝนวิชา? ต้องขอบคุณที่นางพูดออกมา ถ้านางไม่ควบคุมปริมาณยา แล้วทำให้เขาทรมานจนตาย เขาจะต้องหาใครมาชดใช้ค่าชีวิตของเขา?
ทว่าหลังจากฉุกนึกขึ้นได้ว่า สมองของผู้หญิงคนนี้ฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดา กอปรกับนางต้องปรุงยา นางจะต้องอยู่กับเขาทั้งคืนเป็แน่ อีกอย่างนางกล่าวแล้วว่า เป้ยหนิงจะต้องวางยาพิษอย่างง่ายๆ เท่านั้น หมายความว่าเขาจะได้เฝ้ามองดูนางยุ่งเพื่อเขาทั้งคืน นั่นนับได้ว่าเป็ฉากที่ดีไม่น้อย
ทั้งสองคนต่างมีความคิดเป็ของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข ข้อเสนอของมู่หรงฉิงผ่านความยินยอมโดยไม่มีใครเกิดคำถาม เมื่อเป้ยหนิงบอกสูตรยาแก้พิษให้มู่หรงฉิง นางก็โรยยาผงสองห่อใส่จ้าวจื่อซินอย่างปราศจากความปรานี จากนั้นก็หันกลับไปและเดินตามหมอเทวดาอย่างมีความสุข
จวบจนกระทั่งเป้ยหนิงและหมอเทวดาจากไปไม่เห็นเงาแล้ว มู่หรงฉิงจึงหันกลับไปมองที่จ้าวจื่อซิน แต่เห็นเขายืนอยู่ในที่เดิมโดยใบหน้าไม่แปรเปลี่ยนราวกับว่าเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
ฉงนใจว่า ยาที่เป้ยหนิงโรยใส่จ้าวจื่อซินนั้น เป็ยาพิษชนิดใดกัน?
ในคืนมืดมิดอันเงียบสงบ แสงไฟของแต่ละบ้านเรือนได้ดับลงแล้ว และปล่อยให้ดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบดวงตาอย่างซุกซน เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่สะท้อนบนบานหน้าต่างในคืนอันเงียบสงบ
ผู้คนในห้องเดินไปมา และพูดกระซิบกันเป็ครั้งคราว จากนั้นตามด้วยความเงียบอันยาวนาน และในความเงียบนั้น ก็ได้ยินเสียงกระทบกันของหม้อยาตามด้วยเสียงคร่ำครวญเป็ครั้งคราว
“มู่หรงฉิง ยังปรุงไม่เสร็จอีกหรือ?” จ้าวจื่อซินคันตามร่างกายถึงกับจะคลุ้มคลั่งแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็อดทนอดกลั้นไม่ะเิออกมา เมื่อเห็นมู่หรงฉิงจดจ่ออยู่กับสมุนไพรราวกับกลัวว่าเสียงจะดังเกินไปและเป็การรบกวนความเงียบที่หาได้ยาก เขาจึงลดเสียงถามให้เบาลง
จากการเร่งเร้าของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามด้วยความรีบร้อนว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เ้ารู้สึกทรมานมากใช่หรือไม่?”
หลังจากนั้นนางจึงบอกเป็นัยให้จ้าวจื่อซินวางมือลงบนโต๊ะ วางสี่นิ้วลงบนจุดตรวจชีพจร คราวนี้ นางดูเหมือนหมออยู่หลายส่วน
“เวลานี้เ้าใช้กำลังภายในควบคุมฤทธิ์ของยาพิษใช่หรือไม่? ตามตำราแพทย์การใช้กำลังภายในเพื่อควบคุมฤทธิ์ของยาพิษเป็วิธีที่โง่เง่าที่สุด วิธีนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถคลายยาพิษได้ แต่ยังกินกำลังภายในจำนวนมากด้วย” ครั้นพูดถึงตรงนี้ มู่หรงฉิงนึกอยากเอามือของตนเองออกอย่างอับอายอยู่หลายส่วน นางพูดด้วยท่าทางเก้อเขินว่า “ข้าศึกษามาเป็เวลานานแล้ว และข้าก็ลองใช้ยาแก้พิษอยู่หลายหน แต่ทำไมยาพิษชนิดนี้ถึงยังไม่ได้รับการแก้ไข? ทำไมมันถึงได้แย่ลงมากกว่าเดิม?“
เป็เื่ยากที่จะได้เห็นมู่หรงฉิงเขินอาย หัวใจของจ้าวจื่อซินโอนอ่อนลง เขาจึงไม่ได้ใช้กำลังภายในควบคุมฤทธิ์ยาและทันใดนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือตบโต๊ะตามสัญชาตญาณ
มู่หรงฉิงตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น นางรีบไปยกยาแก้พิษที่เพิ่งปรุงออกมา “อย่าวิตกกังวลเลย อย่าวิตกกังวล บางทียานี้อาจใช้ได้ผล แต่ว่ายานี้เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆ และยังร้อนอยู่”
หลังจากนั้น นางก็คนยาในชามด้วยช้อนเพื่อทำให้ยาเย็นลงเล็กน้อย ความวิตกกังวลของมู่หรงฉิงทำให้ดวงตาของจ้าวจื่อซินละลายกลายเป็น้ำโดยไม่รู้ตัว เขาพูดอย่างเอาแต่ใจตัวเองว่า “เวลานี้ร่างกายของข้าอ่อนแอแล้ว เ้ารีบป้อนยาแก้พิษให้ข้าที เป้ยหนิง ผู้หญิงคนนั้นคอยดูสิว่าพรุ่งนี้ข้าจะจัดการกับนางอย่างไร”
ยิ่งได้ยินจ้าวจื่อซินบอกว่าเขา้าจัดการเป้ยหนิง มู่หรงฉิงถึงกับสวดมนต์อมิตตพุทธในใจของนางอย่างเงียบๆ และความตั้งใจเดิมของนางคือการบรรเทาความคับข้องใจระหว่างคนทั้งสอง แต่ทำไมจึงดูเหมือนว่าเจตนาดีของนางกลายเป็การทำให้เื่เลวร้ายแล้วล่ะ?