หลิวซานกุ้ยไม่ตอบ เพียงแต่พูดว่า “ท่านแม่ ตอนนี้ก็มืดแล้ว หากจะขอให้เหล่าหวังออกรถ เงินแค่นี้คงไม่เพียงพอ”
“เหตุใดจึงไม่พอ? ปกติเหล่าหวังก็เก็บเพียงแค่คนละหนึ่งอีแปะไม่ใช่หรือ?” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหลิวฉีซื่อไม่พอใจ อันที่จริงในใจนางรู้ดี แต่กลับหยิบออกมาเพียงสองอีแปะ หมายใจไว้ว่าจะให้หลิวซานกุ้ยออกเงินที่เหลือเพิ่ม นางไม่ลืมว่าเขาได้เงินไปจากนางเมื่อก่อนหน้านั้น
หลิวซานกุ้ยไม่มีเงินติดตัว และไม่อาจเพิ่มเงินที่ขาดของหลิวฉีซื่อได้จึงเอ่ย “ท่านแม่ บ้านเราอย่างน้อยก็เป็บ้านที่ร่ำรวย กลางดึกกลางดื่นคงต้องเหมารถของเขา ถ้าให้น้อยไป คนอื่นเขาคงไม่รับงาน”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าเขาไม่รับเงิน จึงหงุดหงิดในใจ บุตรชายคนที่สามเหตุใดจึงไม่โง่เขลาเช่นแต่ก่อน?
“ถ้าเช่นนั้นเ้าไปบอกกับเขาว่า หากราคาที่ให้เหมาะสมก็ให้เขาออกรถ แต่หากไม่ได้จริงๆ เราก็เดินไป”
ตระกูลหลิวไม่ได้ขาดแคลนเงินซื้อวัว หากแต่หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า วัวหนึ่งตัวใช้ได้แค่ตอนไถนา กับตอนที่ลากของไปในตำบลถึงจะได้ใช้ แต่หากว่าในบ้านเลี้ยงวัวหนึ่งตัว ไม่เพียงแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูมันทุกวัน ทั้งยังต้องเปลืองแรงดูแลมันอีก คิดไปคิดมา นางก็รู้สึกว่าไม่คุ้ม
ยิ่งไปกว่านั้นบ้านที่เลี้ยงวัว มักจะมีกลิ่นมูลวัวเหม็นไกลออกมา ไม่ต้องพูดถึงยุงขนาดเท่าหัวนิ้วก้อยที่กัดคนขึ้นมาเห็นทีคงตายก่อน
ดังนั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงคัดค้าน ตระกูลหลิวจึงไม่เคยเลี้ยงวัว
นางมองผ่านกระจกเห็นว่าหลิวซานกุ้ยยังไม่ออกไป จึงชำเลืองตามองเขาแล้วด่า “ยังไม่รีบไปอีก”
หากเป็แต่ก่อน หลิวซานกุ้ยที่ถูกนางต่อว่าเช่นนี้คงหันหลังเดินออกไป แต่ตัวเขาในวันนี้กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ให้เงิน!” เมื่อพูดจบ สีหน้าของหลิวฉีซื่อก็ดูแย่กว่าเดิม เขาเอามือถูเสื้ออย่างเกรงใจแล้วเอ่ย “บนตัวลูกไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว”
“ก่อนหน้านี้ก็ให้เ้าไปสองตำลึงไม่ใช่หรือ?” หลิวฉีซื่ออยากถลกหนังเขาให้ได้
ก่อนที่หลิวซานกุ้ยจะพูดอะไร หลิวต้าฟู่ก็ลุกขึ้นจากเตียง ชี้ไปที่หลิวฉีซื่อและดุว่า “เ้ายากจนมากนักหรือ? เงินส่วนตัวของซานกุ้ยก็ยังคิดจะเอา ตกลงเ้าให้เขาหรือ้าเอากลับคืนมากันแน่”
หลิวฉีซื่ออยากบอกว่า นางไม่้าให้อยู่แล้ว แต่เพราะหลิวต้าฟู่จึงจำใจให้ไป เพียงแต่ในใจยังไม่ยินยอมเท่าใด
“เ้าบอกว่าต้องรีบไปเรียกเหรินกุ้ยกลับมาไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบเอาเงินให้เขาอีก” ดวงตาคู่นั้นของหลิวต้าฟู่แดงก่ำเพราะดื่มหนักไปหน่อย ขณะนี้เมื่อเบิกตากว้าง กลับดูเหมือนจะปิดลงให้ได้
หลิวฉีซื่อถึงได้หยิบเงินออกมาจากอ้อมอกเป็จำนวนสิบอีแปะแล้วยื่นให้เขาอย่างไม่เต็มใจ
แม้ว่าหลิวซานกุ้ยจะรับเงินมา แต่ยังคงยืนถามอยู่ตรงนั้น “ท่านแม่ จะกลับมาบ้านภายในคืนนี้หรือไม่?”
เพราะสิบอีแปะนั้นเพียงพอสำหรับขาไปเท่านั้น ไม่ได้เหมาขากลับด้วย
หลิวฉีซื่อรู้ว่าหลิวเหรินกุ้ยเคยซื้อบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนขนาดเล็กในตำบลก่อนหน้านั้น “กลับมาคงดึก เกรงว่าเดินทางไม่สะดวก เราไปพักที่ตำบลหนึ่งคืน”
“ข้าเกรงว่าจะต้องเพิ่มอีกสองอีแปะ อย่างน้อยเหล่าหวังก็ต้องตีรถเปล่ากลับมา ราคานี้เห็นทีเขาคงไม่รับปาก” หลิวซานกุ้ยบอกกล่าวเหตุผลอีกหนึ่งรอบ
หัวใจของหลิวฉีซื่อหงุดหงิดอย่างหนัก เพราะกำลังคิดว่าเมื่อเจอหลิวเหรินกุ้ยแล้วจะพูดอย่างไรดี เมื่อได้ยินหลิวซานกุ้ยพูดพล่ามอยู่นั่น จึงหยิบให้เขาอีกสองอีแปะอย่างรำคาญใจ เขาจึงได้ออกไปเสียที
หลิวซานกุ้ยกลับไปที่ห้องปีกตะวันตกอีกครั้ง เห็นว่าจางกุ้ยฮัวกับหลิวชุนเซียงอยู่ในบ้าน จึงเอ่ยถาม “ลูกสาวเราไปไหนกัน?”
จางกุ้ยฮัวเพิ่งกล่อมหลิวชุนเซียงให้หลับ
“อ้อ เห็นว่าหูจื่อเรียกพวกนางไปกินปลาหนีชิว ตงจื่อยังแอบเอาเต้าหู้จากบ้านไปด้วยสองก้อน บ้านช่างเหล็กก็ให้ถั่วแขกเผ็ดเปรี้ยวไปด้วย ส่วนชิวเซียงก็เอาปลาเค็มไปสองตัว”
ตงจื่อที่นางกล่าวถึง คือบ้านที่ทำเต้าหู้ขายในหมู่บ้าน มักจะตื่นมาโม่เต้าหู้ยามดึกแล้วนำไปขายในตำบล
หลิวซานกุ้ยยิ้มและพูดว่า “ในวัยเด็กของเราไม่ได้ผ่านมาเช่นนี้ พูดถึงแล้ว เรายังป่าเถื่อนกว่าเด็กพวกนี้อีก ตอนนั้น ข้ายังพาน้องชายเ้าไป…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดลง แล้วด่าทอตนเองที่ปากไวไปหน่อย
เมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยของภรรยา จึงปลอบโยน “กุ้ยฮัว น้องชายของเราเป็ผู้มีบุญ ข้าว่าเขามีไหวพริบปานนั้น จำต้องมีชีวิตที่ยืนยาวเป็แน่”
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือออกไปเช็ดหางตา ไม่ใช่น้ำตาไหลออกมา เมื่อได้ยินคำพูดปลอบโยนจากเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงตอบ “ข้าเองก็ปลอบใจตนเองอยู่ตลอด บอกว่าเขาต้องไม่เป็อะไร เขายังมีชีวิตอยู่”
หลิวซานกุ้ยนั่งลงข้างๆ นาง เอื้อมมือไปโอบไหล่และเกลี้ยกล่อมว่า “ตอนนั้นเราเคยไปสืบถามไม่ใช่หรือ ว่ากันว่าเขาไปกับขบวนของพ่อค้า ต่อมาขบวนพ่อค้าถูกโจรปล้น แต่เราไหว้วานคนสืบถามข่าวไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ยินว่ามีเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่อยู่ในจำนวนผู้เสียชีวิต”
เป็เพราะเหตุนี้เองที่ทั้งคู่ยังมีความหวังว่าน้องชายของจางกุ้ยฮัวยังมีชีวิตอยู่
จางกุ้ยฮัวอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกและพูดว่า “หากว่าพ่อของข้าไม่จากไปเร็ว ครอบครัวของข้าคงไม่ถึงขั้นไปไม่รอด น้องชายของข้าก็คงไม่ถูกบีบให้ต้องออกไปสู้ชีวิต”
“อย่าร้อง เอาเถิด ไม่แน่ว่าวันใดเขาอาจจะปรากฏตัวกะทันหัน แล้วยังพาหลานชายมาให้เ้าสองคน หากเ้าร้องไห้จนตาเสีย คงน่าเสียสดาย ถึงตอนนั้นจะมองไม่เห็นหลานที่น่ารักของเ้านะ”
คําพูดของหลิวซานกุ้ยได้ผล ทำให้จางกุ้ยฮัวรู้สึกขบขันและไม่อาจร้องไห้ต่อไปได้
เมื่อเห็นว่านางเรียกน้ำตากลับไป หลิวซานกุ้ยจึงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “คืนนี้ข้าต้องไปที่ตำบลกับท่านแม่ เกรงว่าคงไม่ได้กลับมาในคืนนี้”
ถัดจากนั้นก็เล่าเื่ที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้นางฟัง
เมื่อจางกุ้ยฮัวได้ยินก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อต้องกลัวว่าหลิวซุนซื่อจะไปฟ้องหลิวเหรินกุ้ยแน่นอน “ท่านแม่ของเราก็ช่างเหลือเกิน แต่ก่อนตอนที่ดีกับพี่สะใภ้รอง ทั้งสองก็ดีราวกับเป็คนๆ เดียวกัน งานในบ้านก็สมควรแบ่งกันรับภาระ แต่ครอบครัวเรา ไม่ใช่ว่าข้าโอดครวญ เพียงแต่ถูกใช้งานราวกับคนรับใช้ จากที่ข้าดู ในใจท่านแม่มีเพียงลูกชายกับหลานชายไม่กี่คน ส่วนนอกนั้นนับว่าเป็คนนอก”
หลิวซานกุ้ยถอนหายใจและพูดว่า “เอาเถิด ตอนนี้ข้าก็อิงตามเ้าทุกเื่ไม่ใช่หรือ กระทั่งท่านแม่จะให้ข้าออกเงินค่ารถเข็นวัว ข้าก็ไม่ได้ตกลง”
“เดิมทีก็สมควรเป็เช่นนั้น ครอบครัวเรากินอยู่ที่บ้านก็จริง แต่หากแยกบ้านกันจริง อย่างน้อยครอบครัวเราก็สมควรได้รับที่นาบ้าง หากเราเป็เช่นนี้ต่อไป ข้าว่าคงมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ” จางกุ้ยฮัวมีเงินในกระเป๋า การพูดการจาก็หนักแน่นขึ้นไม่น้อย
หลายวันมานี้กำลังกังวลว่าความคืบหน้าไม่ได้มากนัก แล้วยังมีค่าใช้จ่าย แต่พอคำนวณดู ในบ้านก็ยังเหลืออีกห้าถึงหกร้อยอีแปะ
หลิวซานกุ้ยไม่มีทางพูดเื่ราวไม่ดีของหลิวฉีซื่อ อย่างน้อยนางก็คือมารดาของเขา เพียงแต่เกลี้ยกล่อมจางกุ้ยฮัวไม่กี่คำ จากนั้นก็ออกจากบ้านไปหารถเข็นวัวของเหล่าหวัง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงของเขาเรียกชื่อหลิวฉีซื่อ จางกุ้ยฮัวรีบลุกออกจากคั่งและออกจากประตูไป ขณะกำลังก้าวออกจากขอบประตูห้องปีกทิศตะวันตก ก็ได้ยินหลิวฉีซื่อกำชับให้นางดูแลบ้านให้ดี
จางกุ้ยฮัวรับปาก แล้วก็บอกให้หลิวซานกุ้ยเดินทางระมัดระวังตัวด้วย จากนั้นยืนมองพวกเขาเคลื่อนที่ออกไกลแล้วถึงกลับเข้าบ้าน
สองพี่น้องมัวแต่เที่ยวเล่นสนุกสนาน มีเด็กชายอีกสองคนที่พวกนางไม่สนิทเท่าใดได้แอบเอาสุราข้าวออกมาจากในบ้าน ทุกคนจึงกินจนอิ่มหนำสำราญ เด็กสาวทั้งสามคนกินจนใบหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่ที่เหลือล้วนอยู่ในวัยที่ยังไม่โตมาก จึงพะวงแต่เื่กิน หาได้เข้าใจเื่การชื่นชมสาวงามใต้แสงจันทร์อะไรเทือกนั้น
หลังจากรอจนกว่าดวงจันทร์คล้อยไปทางด้านตะวันตก ทั้งหมดก็หิ้วหม้อกับชุดตะเกียบและถ้วยที่ล้างเสร็จเรียบร้อยกลับบ้าน
เมื่อสองพี่น้องกลับไปถึงบ้าน จึงถูกจางกุ้ยฮัวบ่นเล็กน้อยเพราะความเป็ห่วง ต่อมาก็พบว่าบิดาของตนเองไม่อยู่ จึงเอ่ยถามนางว่าเขาไปไหน
จางกุ้ยฮัวเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วเร่งให้ทั้งสองรีบล้างเนื้อล้างตัวแล้วเตรียมเข้านอน
หลิวเต้าเซียงกังวลเื่ที่หลิวซานกุ้ยไม่กลับมาคืนนี้ ก่อนนอนจึงบอกกับมารดาว่า วันรุ่งขึ้นนางต้องไปในตำบลเพื่อบอกแก่อาจารย์กัว แล้วนำปลาที่ได้มาไปขาย
จางกุ้ยฮัวรับรู้และบอกเพียงว่าวันรุ่งขึ้น นางจะไปช่วยหลิวเต้าเซียงล้วงปลาขึ้นมา แล้วกำชับให้หลิวชิวเซียงพรุ่งนี้ตื่นมาไวหน่อย จากนั้นทั้งหมดก็เข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิวเต้าเซียงแบะข้องปลาแต่เช้าเพื่อไปหาแม่เฒ่าจาง เนื่องจากกลัวว่าจะเจอหลิวฉีซื่อ นางจึงจงใจออกไปั้แ่ฟ้ายังไม่สาง ปรากฏว่าแม่เฒ่าจางไม่อยู่ มีเพียงพ่อครัวจางกับลูกสะใภ้ของเขาอยู่บ้าน จึงขายปลาได้เงินมาสามสิบกว่าอีแปะ
เป็เพราะว่าหลิวซานกุ้ยไม่อยู่จึงไม่มีคนจับปลาเฉา ทำให้ได้เงินน้อยลงไปเยอะมาก
นอกจากนี้นางเอาไข่ไก่ในห้วงมิติออกมาขายไปกว่าร้อยใบ และได้เงินมา
หลังจากรับเงินแล้ว นางก็ร่ำลาและไปยังบ้านกัวซิวฝาน บอกว่าที่บ้านเกิดเื่เล็กน้อย จึงมาขอลาหยุดหนึ่งวันแทนผู้เป็พ่อ กัวซิวฝานเพียงแค่ถามว่าเื่ราวหนักหนาหรือไม่ ้าความช่วยเหลือไหม หลิวเต้าเซียงโบกมือ ยิ้มแล้วกล่าวว่าไม่หนักหนา
เดิมทีนางยังวางแผนที่จะไปซื้อของ แต่นางกลัวว่าจะถูกหลิวฉีซื่อเห็นเข้า ต่อจากนี้จะไม่ได้อยู่อย่างเป็สุขอีก จึงเดินไปร้านเนื้อตุ๋นเพื่อซื้อเนื้อติดมันตุ๋นสองกิโลกรัมครึ่ง จ่ายไปทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบอีแปะ
หลิวเต้าเซียงยังไปซื้อพุทราจีนอีกครึ่งกิโลกรัม จ่ายไปสี่สิบอีแปะ พุทราจีนคือของกินหลักของครอบครัวนางในตอนนี้ ยามว่างมักจะเอามาขบเคี้ยวเล่น ทั้งยังสามารถบำรุงเืและมีรสอร่อย
นางเดินทางกลับพร้อมของที่แบกบนหลัง เมื่อถึงบ้านก็จัดการเอาอาหารเก็บเข้าที่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวตรงหน้าประตูบ้าน
นางจึงอุ้มหลิวชุนเซียงที่กำลังเล่นน้ำลายออกจากประตูห้องปีกทิศตะวันตก ตอนนี้หลิวชุนเซียงมีอายุสองเดือนกว่าแล้ว คงเพราะเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ดูแล้วเนื้อตัวขาวจ้ำม่ำ ราวกับเด็กผู้หญิงในภาพวาดสมัยก่อน
“เอ๋ เซียงเซียงของเราอ้วนขึ้นอีกแล้ว ขืนยังกินต่อเช่นนี้ พี่รองคงอุ้มเ้าไม่ไหวแล้ว”
เมื่อได้กลิ่นน้ำนมหอมบนตัวของน้องเล็ก หลิวเต้าเซียงก็ยิ่งอารมณ์เบิกบาน
ใน่สองเดือนที่ผ่านมา นางได้ยินมาว่าหมู่บ้านใกล้เคียงสองแห่ง มีเด็กทารกเพศหญิงที่เพิ่งจะสามเดือนต้องอดตาย แล้วถูกโยนไปด้านหลังเชิงเขาสามถึงสี่คน เพราะว่าที่บ้านนั้นยากจนเกินไป ไม่สามารถซื้อเสบียงได้เพียงพอ
ไม่ว่าในกรณีใด หลิวเต้าเซียงก็ดีใจมากที่ตนเองข้ามมิติมา และได้ปกป้องเด็กทารกที่น่ารักน่าชังในอ้อมกอดนี้ไว้ได้
“เต้าเซียง แม่เ้าล่ะ?” หลิวซานกุ้ยพยุงหลิวฉีซื่อเข้าบ้าน ก็เห็นบุตรสาวคนรองของตนเองกำลังอุ้มและเย้าแหย่บุตรสาวคนเล็ก
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้น ยิ้มและตอบว่า “ท่านแม่ไปถอนผาจื่อแล้ว” ผาจื่อคือภาษาถิ่นที่นี่ คือวัชพืชนั่นเอง
เมื่อต้นกล้าหญ้าโตขึ้น บนนาก็จะมีหญ้าวัชพืชขึ้นมากมาย หากไม่ถอนให้เรียบร้อย รอจนถึงฤดูกาลคงเท่ากับผายลม ไม่ได้อะไร
นางพูดจบและทักทายผู้เป็ย่า เมื่อเห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นของหลิวฉีซื่อและขอบตาดำคล้ำ ดูแล้วเหมือนไม่ได้นอนหลับดีๆ
“เต้าเซียง นี่คงเป็ชุนเซียงสินะ ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน ก็ตัวโตขึ้นมากนัก พวกเ้าเอาอะไรป้อนนางกัน ถึงได้โตแล้วดูดีกว่าเด็กทารกในตำบลเสียอีก”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นเลี้ยงลูกของเขา จะให้กินอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาไม่ทราบ? อีกอย่าง บอกว่าดูดีกว่าเด็กทารกในตำบล นี่เท่ากับว่ากำลังสะกิดต่อมของหลิวฉีซื่อไม่ใช่หรือ?
-----
