“ตรวจซ้ำหรือ” หลี่ซานคิดว่าฟังผิดไป ั้แ่บุตรีสุดที่รักเดินบนเส้นทางการแพทย์ก็ไม่เคยไปตรวจซ้ำให้ผู้ป่วย นี่นับเป็ครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นคราวที่แล้วตอนที่เจียงชิงอวิ๋นและคนจวนเจียงกลับไปแล้ว บุตรีสุดที่รักก็ไม่เคยพูดถึงเื่การตรวจซ้ำเลย
“ตรวจซ้ำเป็เื่จริงเ้าค่ะ” แววตาของหลี่หรูอี้ทอประกายเ้าเล่ห์ “แล้วข้าจะถือโอกาสนี้ให้พวกพี่ชายขอเรียนรู้กับเจียงจวี่เหรินด้วย”
นางส่งคนไปสืบรอบๆ จวนเจียงมาแล้ว ชาวบ้านบริเวณนั้นต่างก็รู้ว่าเจียงชิงอวิ๋นเป็จวี่เหริน ทั้งยังรู้ด้วยว่านายอำเภอห่าวและขุนนางคนอื่นๆ มักจะส่งของมาที่จวนเจียงบ่อยๆ กระทั่งคนของจวนเยี่ยนอ๋องก็ยังมาเยี่ยมเจียงชิงอวิ๋นที่จวนอยู่เสมอ ส่วนเื่ความรู้ของเจียงชิงอวิ๋น ได้ยินว่า เขามีความจำเป็เลิศ มีความสามารถอ่านผ่านตาโดยไม่ลืมเลือน ทั้งยังพูดจาคล่องแคล่วและมีคารมคมคาย มีความสามารถทางด้านอักษรและการวาดภาพที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย นับเป็อัจฉริยะที่หาได้ยากคนหนึ่ง
เื้ัของเจียงชิงอวิ๋นมีอำนาจยิ่งใหญ่ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใช้อำนาจเ่าั้รังแกผู้อื่น ผู้ใต้บังคับบัญชาในจวนก็ไม่เคยรังแกชาวบ้าน ทั้งยังสร้างถนนด้วยเงินของตนเองอีกด้วย
สรุปแล้วในหมู่คนพื้นที่ จวนเจียงมีชื่อเสียงที่ดีมาก เจียงชิงอวิ๋นก็มีชื่อเสียงดีงามมากเช่นกัน
คนเช่นเจียงชิงอวิ๋นมาอยู่นอกอำเภอฉางผิงเช่นนี้ ทั้งยังรู้จักบ้านหลี่อีกด้วย นี่นับว่าเป็เกียรติและวาสนาของบ้านหลี่แล้ว
หลี่หรูอี้อยากจะคว้าโอกาสนี้ไว้ และช่วยให้พวกพี่ชายเป็ศิษย์สายตรงของเจียงชิงอวิ๋นให้ได้
จ้าวซื่อดีใจยิ่งนัก นางมองไปทางบุตรีสุดที่รักแล้วกล่าวชมเชยว่า “ลูกสาวข้าช่างฉลาดจริงๆ”
ก่อนออกจากบ้านหลี่ซานตั้งใจเปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านและสวมหมวกขนกระต่ายสีดำ ห้าพี่น้องก็สวมชุดใหม่ทุกคน ส่วนหลี่หรูอี้ก็นำขนมแป้งย่างรสหวานโรยงาและกลีบดอกเหมยกุ้ย(กุหลาบ) ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ และยังร้อนๆ อยู่ไปด้วย
พวกเขานั่งเกวียนลาไปยังอำเภอฉางผิง เมื่อใกล้ถึงตัวอำเภอก็คอยถามหาจวนเจียงกับคนแถวนั้น จากนั้นจึงออกจากถนนสายหลัก สัญจรไปตามถนนหินกว้างสองจั้งที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน มองเห็นป่าไม้ที่มีเพียงลำต้นตั้งตระหง่าน แต่กลับไร้ใบอยู่ผืนหนึ่ง จวนเจียงซ่อนอยู่หลังป่าแห่งนั้นนั่นเอง
ประตูจวนไม่ได้ดูโอ่อ่านัก เบื้องหน้ามีสิงโตหินตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่สองตัว ประตูไม้หงมู่สีแดงมีรั้วไม่สูงมาก เบื้องหน้ามีองครักษ์สวมหมวกสีดำและชุดสีดำค่อนข้างหนายืนหน้านิ่งเฝ้าอยู่สองคน
หลี่ซานลงจากเกวียน เดินไปประสานมือทักทายองครักษ์สองคนนั้นแล้วกล่าวว่า “สวัสดีขอรับท่านทั้งสอง พวกเราคือครอบครัวหลี่จากหมู่บ้านหลี่ มาตรวจซ้ำให้นายท่านเจียงและลุงโจวที่จวนขอรับ”
พี่ชายองครักษ์เบื้องหน้าดวงตาเปล่งประกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นและเลื่อมใส “ไม่ทราบว่าเป็หมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่ใช่หรือไม่”
หลี่ซานตอบ “ขอรับ”
พี่ชายองครักษ์ปรายตามองเกวียนลาสองคัน ในใจคิดว่าหมอเทวดาน้อยมหัศจรรย์นั่งอยู่ด้านในกระมัง จึงมีสีหน้ายินดียิ่งนักและกล่าวขึ้นว่า “หมอเทวดาน้อยโปรดรอที่นี่สักครู่ ข้าจะรีบเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็หมุนตัวรีบวิ่งเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็วดุจสายลม
องครักษ์อีกคนหนึ่งยิ้มเต็มใบหน้าดูเป็มิตรยิ่งนัก ท่าทางแตกต่างจากตอนที่ยืนเฝ้าประตูเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง “วิชาแพทย์ของหมอเทวดาน้อยมหัศจรรย์จริงๆ พวกเราเห็นกับตาว่าในสิ่งนั้นของลุงโจวมีก้อนหินออกมากองหนึ่งด้วย”
หลี่ซานเอ่ยถามขึ้นว่า “ตอนนี้ลุงโจวอาการเป็อย่างไรบ้างขอรับ”
องครักษ์หน้าดำผู้นั้นหัวเราะ ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงเป็ระเบียบ ดูแล้วเป็คนที่มีอัธยาศัยดี กล่าวตอบว่า “ดีแล้ว ไม่ปวดแล้ว ตอนเช้าก็กินข้าวเช้าด้วย ไม่กล้าไม่กินแล้ว กลัวว่าจะมีก้อนหินอยู่ในถุงน้ำดีอีก”
หลี่เจี้ยนอันะโลงมาจากเกวียนลาอีกคันหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายเหนือประตูจวนที่เขียนด้วยผงสีทองว่า จวนเจียง ตัวอักษรสองตัวนี้ดูทรงพลังมาก เพียงมองก็ทำให้รู้สึกเคารพแล้ว นี่คือความแตกต่างจากประตูบ้านอื่นๆ ในใจของหลี่เจี้ยนอันเกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก
องครักษ์หน้าดำเห็นหลี่เจี้ยนอันมองไปที่ป้ายจวนจนอย่างไม่วางตา ก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร
เดิมทีป้ายนี้เยี่ยนอ๋องโจวปิงเป็ผู้เขียน โจวปิงเป็แม่ทัพผู้นำทัพหลายแสนคน ในกายเต็มไปด้วยเืนักสู้และกลิ่นอายของความกล้าหาญ ตัวอักษรจึงเขียนออกมาได้อย่างทรงพลัง ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นป้ายนี้ล้วนเกิดความเคารพเลื่อมใสในใจทั้งสิ้น
ดวงตาของหลี่เจี้ยนอันทอประกาย ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราต้องเข้าประตูทางด้านข้างหรือไม่”
องครักษ์หน้าดำอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นายท่านของพวกเราไม่ได้มีตำแหน่งขุนนาง แขกผู้มาเยือนไม่จำเป็ต้องเข้าประตูข้าง”
“วันนี้นายท่านและเหล่าโจวอยู่ที่จวนพอดี หมอเทวดาน้อย รีบเข้าไปด้านในเถิด” ผู้ที่ออกมาต้อนรับคนครอบครัวหลี่ก็คือ ลุงฝู สามารถทำให้เขาออกมาต้อนรับด้วยตนเองได้เช่นนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าหลี่หรูอี้มีความสำคัญต่อเจียงชิงอวิ๋นเพียงใด
หลี่หรูอี้และพี่ชายอีกสามคนพากันลงมาจากเกวียนลา
เมื่อครู่ลุงฝูได้ยินองครักษ์กล่าวว่า มีเกวียนลามาสองคัน ตอนนี้เห็นคนบ้านหลี่มาด้วยกันหกคน ในใจพลันเกิดความสงสัย เหตุใดมาตรวจซ้ำจึงต้องพาคนมามากเพียงนี้ด้วย?
หลี่หรูอี้เงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่ป้ายจวนเจียงและชะงักไปครู่หนึ่ง นางนึกไปถึงในโลกเดิม กองทัพที่นางอยู่มีนายพลที่เขียนอักษรได้ทรงพลังคล้ายกับตัวอักษรบนป้ายนี้ ดูแล้วตัวอักษรเช่นนี้คงมาจากฝีมือของผู้เป็แม่ทัพกระมัง
ครอบครัวหลี่ล่ามลาไว้แถวป่าหน้าประตู จากนั้นก็เดินตามหลังลุงฝูเข้าไป
เจียงชิงอวิ๋นและสองสามีภรรยาลุงโจวรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว เมื่อเห็นครอบครัวหลี่เข้ามาก็เผยรอยยิ้มซาบซึ้งใจออกมาพร้อมกัน
ใบหน้าของลุงโจวดูมีเืฝาด ดูดีกว่าครั้งที่แล้วที่ไปมอบของขวัญให้บ้านหลี่มากทีเดียว
ส่วนความเปลี่ยนแปลงของเจียงชิงอวิ๋นยังไม่ปรากฏชัด เพียงแต่สายตาที่มองไปทางหลี่หรูอี้เจือไปด้วยความเลื่อมใสและเป็มิตรมากขึ้น
นางหลิวรู้สึกประทับใจในตัวหลี่หรูอี้มาก นางมองสำรวจหลี่หรูอี้อยู่ครู่หนึ่ง สองครั้งก่อนอีกฝ่ายสวมชุดสีสดใส ทว่าวันนี้กลับสวมชุดสีเทา รองเท้าสีดำ เพราะทราบว่านายท่านของจวนเจียงกำลังอยู่ใน่ไว้ทุกข์จึงสวมชุดไว้ทุกข์ บนศีรษะปักปิ่นรูปดอกเหมยสีขาว เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญและความเคารพเป็อย่างสูง ช่างเป็เด็กหญิงที่เข้าใจมารยาทจริงๆ นางหลิวยิ้มจนตาหยี “หมอเทวดาน้อย ไม่พบกันหลายวัน ดูเหมือนเ้าจะตัวสูงขึ้นอีกแล้ว”
สิ่งที่หลี่หรูอี้กังวลที่สุดก็คือ ส่วนสูงนั่นเอง ร่างกายนี้ดูเหมือนจะเตี้ยเกินไป เพราะเมื่อก่อนไม่ได้รับสารอาหารดีๆ ตอนนี้กินดีดื่มดีแล้ว ทั้งยังฝึกมวยทหารเพื่อออกกำลังกายมาหลายเดือนจึงทำให้สูงขึ้นบ้าง ทว่าก็ยังนับว่าเตี้ยอยู่ นางยิ้มและตอบว่า “ท่านก็คล้ายจะผอมลงนะเ้าคะ”
ใบหน้าอวบอิ่มของนางหลิวปรากฏรอยยิ้มดุจบุปผาบาน แสดงท่าทีสนิทสนมชัดเจน กล่าวว่า “ยายแก่เช่นข้าชอบฟังคำเช่นนี้ที่สุดแล้ว”
หลี่หรูอี้ตรวจให้ลุงโจวก่อน นางจับชีพจรให้เขา ตรวจลิ้นและตรวจตา ถามคำถามอีกสิบกว่าคำถาม สุดท้ายก็กล่าวว่า “ก้อนหินในถุงน้ำดีของท่านถูกระบายออกเกือบหมดแล้วเ้าค่ะ แต่ในถุงน้ำดียังมีอาการอักเสบอยู่ ในสามเดือนนี้ท่านต้องกินอาหารมันและอาหารเผ็ดให้น้อยนะเ้าคะ”
“ได้ ข้าจะฟังเ้าทั้งหมด” ในใจของลุงโจวรู้สึกยินดียิ่งนัก ในที่สุดก้อนหินพวกนั้นก็ถูกระบายออกมาแล้ว ่สองวันที่เขาถ่ายก้อนหินออกมายังเก็บไปฝันร้ายในยามดึกด้วยซ้ำ
เมื่อหลี่หรูอี้ตรวจให้ลุงโจวเสร็จแล้ว ก็มิได้ตรวจให้เจียงชิงอวิ๋นในทันที นางดึงผ้าที่ใช้คลุมตะกร้าเพื่อเก็บอุณหภูมิอาหารให้อบอุ่นออกมา เผยให้เห็นขนมแป้งย่างรสหวานขนาดเท่าฝ่ามือเด็กที่ดูประณีตอยู่ด้านใน “ข้านำขนมแป้งย่างรสหวานมาด้วยเ้าค่ะ ยังร้อนอยู่เลย พวกท่านลองชิมดูเถิด”
กลิ่นหอมของน้ำตาล กลีบดอกเหมยกุ้ย และงาอบอวลไปทั่วทั้งห้องโถง กลิ่นหอมนี้แตกต่างจากขนมหวานทั่วไปตรงที่ไม่ทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกเลี่ยน
ลุงฝูและสองสามีภรรยาลุงโจวนึกไม่ถึงว่าหลี่หรูอี้มาตรวจอาการให้แล้วยังนำอาหารมาให้ด้วย เมื่อเห็นเจียงชิงอวิ๋น พยักหน้า จึงกล่าวขอบคุณแล้วหยิบแป้งย่างรสหวานขึ้นมาชิม
เจียงชิงอวิ๋นไม่ชอบกินของหวาน ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานก่อนหน้านี้เขาชอบที่รสชาติน้ำมันงาและรสชาติของมันก็ไม่หวานเกินไป
หลังจากสังเกตท่าทีของคนทั้งสามแล้ว จึงค่อยหยิบแป้งย่างรสหวานขึ้นมาใส่ปากชิ้นหนึ่ง
แป้งย่างเป็สีเหลืองทองทั้งสองฝั่ง แผ่นแป้งบาง ไส้มีกลิ่นหอมหวาน มีกลิ่นของดอกเหมยกุ้ยอบอวลออกมาจากปาก ทั้งๆ ที่เป็ฤดูหนาว แต่ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในสวนดอกเหมยกุ้ย
ั้แ่เล็กจนโตเขาเคยกินแป้งย่างรสหวานและขนมหวานมามากมาย มีทั้งทำจากจวี๋ฮวา (ดอกเบญจมาศ) เหมยกุ้ย (กุหลาบ) กุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) ถั่วสน ถั่วเหอเถา ลำไย และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าไส้อะไรล้วนมีทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีแป้งย่างที่อร่อยเท่าชิ้นที่อยู่ในปากเลย
หลี่ฝูคังกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องสาวของข้าทำด้วยตนเอง อร่อยหรือไม่ขอรับ”
นางหลิวพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร “อร่อย” นางมีหน้าที่ดูแลงานครัว หลายปีมานี้นางกินแป้งย่างมามากมายและทำเป็ด้วย แต่ขนมแป้งย่างรสหวานของหลี่หรูอี้อร่อยเหลือเกิน จำเป็ต้องยอมรับจริงๆ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้