บทที่ 50 คุณอาลู่บ้าบออะไร
สถานีตำรวจไม่ได้อยู่ไกลนัก เดินไปตามถนนสองสายก็ถึงแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่พูดว่ามีพวกของตัวเองอยู่ในสถานีตำรวจ สวี่จือจือจึงกังวลว่าเื่นี้จะถูกปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรือเปล่า
แต่ไม่คิดว่าตอนที่กำลังจะเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ จะเห็นรถเก๋งซานตาน่าสีดำคันหนึ่งขับเข้ามาพอดี รถซานตาน่าเบรกจนตัวโก่ง
“จิ่งซาน ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้?” ชายวัยกลางคนในชุดตำรวจลงมาจากรถ มองเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของลู่จิ่งซานอย่างงุนงง “เด็กคนนี้เป็...”
เขาเพิ่งได้ยินเื่ที่ลู่จิ่งซานแต่งงาน แต่ไม่น่าจะเร็วถึงขนาดมีลูกกลับมาแล้วนี่? แถมเด็กคนนี้ดูคุ้นตาเหมือนกัน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ลู่จิ่งซานส่งเด็กให้สวี่จือจือแล้วเดินไปจับมือกับชายคนนั้น พร้อมกับเล่าเื่ที่เกิดขึ้นอย่างย่อๆ
“มีเื่แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ชายวัยกลางคนหน้าดำคล้ำ “มีพวก? ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าเป็ใครกันแน่?”
ต่อมาสวี่จือจือถึงได้รู้ว่าชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือเฝิงจิ้งหย่วน ผู้กำกับการสถานีตำรวจ
เมื่อรู้แบบนี้เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
แต่ปัญหาก็ตามมาอีก สวี่จือจือกับลู่จิ่งซานทำบันทึกประจำวันเสร็จก็รีบไปโรงพยาบาล แต่เด็กชายกลับจับเสื้อเธอไม่ปล่อย พอถามเื่ที่บ้าน เด็กคนนี้ก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ตำรวจหญิงเอาลูกอมมาให้ก็ทำหน้าเหมือนไม่สนใจ “ผมไม่กินลูกอม กินลูกอมไม่ดีต่อฟัน”
สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก สวี่จือจือจึงต้องพาเขามาที่โรงพยาบาลด้วย
“ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้?” พออยู่บนถนน สวี่จือจือก็มีเวลาคุยกับลู่จิ่งซาน “วันนี้ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ลู่จิ่งซานถอนหายใจ “แล้วคุณกล้าไปต่อปากต่อคำกับพวกนั้นได้ยังไง?”
ดีที่เขามาทัน ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ไม่อยากจะคิด
“ฉันก็แค่โชคดี” สวี่จือจือหัวเราะพลางพูด “แล้วที่ตรงนั้นก็ใกล้ปากซอย ไม่น่าจะมีอะไร”
“สวี่จือจือ” ลู่จิ่งซานมองเธออย่างจริงจัง “คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก”
“หา?” สวี่จือจือมองเขาอย่างงุนงง
ลู่จิ่งซานรู้สึกอยากจะเอามือไปปิดดวงตาใสแจ๋วที่มีชีวิตชีวาของเธอ แต่ก็ยั้งมือไว้แล้วพูดเสียงต่ำ “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก”
“ครั้งนี้โชคดี” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “แล้วครั้งหน้าล่ะ?”
ถ้าวันนี้เขาไม่ได้คิดว่าจะรีบไปเร็วๆ แถมยังใช้ทางลัดมาอีก เธอจะเป็ยังไง? ลู่จิ่งซานไม่อยากจะคิด
“นั่น...ก็ฉันจะปล่อยให้เด็กถูกลักพาตัวไปได้ยังไงล่ะ” สวี่จือจือถูกเขาดุก็รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ดวงตาเปียกชื้นมองเขา “ต่อไปเขาอาจจะไม่ได้เจอกับครอบครัวตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ”
เหมือนกับชาติที่แล้วของเธอ แต่เธอโชคดีได้เจอพ่อแม่อุปถัมภ์ ถึงจะยากจนไปหน่อย แต่ก็ส่งเสียให้เธอได้เรียนหนังสือ
“ผมไม่ได้ว่าคุณ” ลู่จิ่งซานพูดอย่างอ่อนโยน “แค่ต่อไปตอนที่คุณจะช่วยคนอื่น ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อน เข้าใจไหม?”
เสียงของชายหนุ่มนุ่มทุ้มเหมือนเสียงของเชลโล่ มีท่วงทำนองและมีเสน่ห์ ใบหน้าของเขามีความอดทนและอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
เขายกมือขึ้น สุดท้ายก็ทำได้เพียงลูบผมของเธออย่างแ่เบา “อย่าร้องไห้เลย”
สวี่จือจือปรายตามองเขาด้วยดวงตาแดงเรื่อ “ฉันไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย”
ใครจะร้องไห้กัน? สวี่จือจือคนนี้ไม่มีทางร้องไห้หรอก!
ลู่จิ่งซานส่ายหน้าอย่างจนใจ มองฝ่ามือใหญ่ของตัวเอง เหมือนว่าในมือยังคงมีอุณหภูมิและความรู้สึกของเธออยู่
ที่แท้ผมของเด็กสาวก็ตัวนุ่มนิ่มแบบนี้นี่เอง
“พี่สาวขี้แย” เด็กชายยกมือขึ้นลูบใบหน้าเล็กของตัวเอง “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”
สวี่จือจือหัวเราะออกมา “นายต่างหากที่ขี้แย” แล้วก็ลูบใบหน้าเล็กๆ ของเขาเบาๆ
พอถึงโรงพยาบาล คุณปู่สวี่ก็ตื่นแล้ว พยาบาลเห็นพวกเขากลับมาก็รีบพูด “พวกเธอกลับมาสักที คุณปู่ของพวกเธอวุ่นวายจะออกไปจากโรงพยาบาลแล้ว”
ชายชรารอหลานสาวไม่กลับมานานก็เป็ห่วง เลยอยากจะออกไปตามหา
“พวกหลานไปทำอะไรมา?” คุณปู่สวี่เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา แล้วเห็นสวี่จือจือจูงมือเด็กชายมาด้วยก็รู้สึกสงสัย
“จ้วงจ้วง?” ส่วนหัวหน้าพยาบาลที่เห็นหน้าเด็กชายก็ใ “หนู...มาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงเนี่ย?”
“หัวหน้าพยาบาลรู้จักเด็กคนนี้เหรอคะ?” สวี่จือจือถาม
“เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกชายของหมอโจวแผนกสูตินรีเวชเหรอ?” หัวหน้าพยาบาลพูดถึงตรงนี้ก็เรียกคนอื่นมาดูเพื่อยืนยัน
คนรักของหมอโจวหงเหมยแผนกสูตินรีเวช คือชิวซูิหัวหน้าสำนักงานประจำอำเภอ ลูกชายคนเล็กคนนี้เป็ลูกที่เธอตั้งครรภ์ตอนอายุสามสิบสี่ปี ปกติไม่ค่อยได้มาโรงพยาบาล แต่ในอำเภกเล็กๆ แห่งนี้ก็มักจะเจอกันอยู่เสมอ
พอได้รับการยืนยันแล้ว สวี่จือจือก็ให้หัวหน้าพยาบาลรีบติดต่อหมอโจวคนนั้น
ส่วนทางบ้านของหมอโจว โจวหงเหมยกับสามีก็ไปทำงาน ส่วนลูกสาวคนโตแต่งงานไปอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนลูกสาวคนรองเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายในเมือง ปกติจ้วงจ้วงก็อยู่กับคุณย่า
่กลางวันจ้วงจ้วงบอกว่าอยากจะกินไอติม คุณนายชิวไม่ยอม พอเธอกำลังทำอาหารให้เด็กกิน เด็กที่เคยเล่นอยู่ในลานบ้านก็หายไป
หญิงชราใมาก หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยรีบให้คนไปบอกลูกชายกับลูกสะใภ้
โจวหงเหมยรู้เื่นี้ก็แทบเป็ลม เธอมีลูกสาวสองคนแล้ว กว่าจะมีลูกชายคนนี้ได้มันยากเย็นแค่ไหน ถ้าลูกชายหายไป...โจวหงเหมยไม่อยากจะคิดถึงวันข้างหน้าเลย
ยิ่งเวลาผ่านไปนาน โจวหงเหมยก็ยิ่งใจไม่ดี
สองสามีภรรยามองหน้ากัน ลูกชายอาจจะไม่ได้ซุกซนวิ่งเล่นไปไหน แต่เป็ไปได้ว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขาอาจจะเจอคนค้ามนุษย์เข้า
“พี่ชิว” โจวหงเหมยร้องไห้ “รีบ...แจ้งความเถอะ” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ โทรศัพท์ที่บ้านก็ดังขึ้น
ชิวซูิเงียบไปสักพัก โจวหงเหมยเหมือนจะคิดอะไรออก “พี่ชิว พวกเรามีลูกชายคนเดียวนะ”
ทั้งสองคนกลัวว่าคนที่ลักพาตัวลูกไปอาจจะไม่ใช่คนค้ามนุษย์ธรรมดา ไม่งั้นคงไม่โทรมาเร็วขนาดนี้
“โรงพยาบาล? หมอโจวอยู่ที่นี่” ชิวซูิประหลาดใจเล็กน้อย แล้วส่งโทรศัพท์ให้โจวหงเหมย
“ได้ๆๆ พวกเราจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยๆ” โจวหงเหมยวางสาย แล้วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “พี่ชิว ลูกไม่เป็อะไร เจอตัวลูกแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาล”
ทั้งคู่ไปโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ พอไปถึงตึกผู้ป่วยก็เห็นลูกชายกำลังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเด็กสาวคนหนึ่ง กำลังฟังเขาเล่านิทาน
ไม่รู้เลยว่าที่บ้านวุ่นวายขนาดไหนเพื่อที่จะตามหาเขา
“จ้วงจ้วง” หมอโจวเรียกชื่อลูกชาย
“คุณแม่” พอจ้วงจ้วงเห็นโจวหงเหมยก็รีบะโลงจากเก้าอี้ แล้ววิ่งเข้าไปหาเธอ “ผมเจอคุณแม่แล้ว”
“ลูกทำแม่ใแทบตาย” โจวหงเหมยร้องไห้พลางจูบหน้าผากของลูกชาย “แม่ใมาก”
เธอคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอลูกชายอีกแล้ว
“พี่สาวจือจือกับคุณอาลู่ไล่คนไม่ดีไป” จ้วงจ้วงพูด
ลู่จิ่งซาน “...” คุณอาลู่บ้าบออะไร? เขาแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณอา?
สวี่จือจือเห็นท่าทางอึดอัดของลู่จิ่งซานก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
แน่นอนว่าสองสามีภรรยารู้สึกขอบคุณพวกเขาสองคนอย่างมาก โดยเฉพาะลู่จิ่งซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนธรรมดา
พอโจวหงเหมยพูดเื่อยากจะตอบแทน สวี่จือจือกับลู่จิ่งซานก็ปฏิเสธไป พวกเขาแค่ช่วยไปเท่านั้นเอง
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้