ทันใดนั้นหลิวเต้าเซียงก็นึกขึ้นได้ว่า เื่ที่นานั้นมีความคืบหน้าแล้ว แต่ที่อยู่อาศัยของท่านยายแท้ๆ ยังไม่ลงตัว จึงเอ่ยถามอีก “ใช่แล้ว ท่านอาจาง ท่านยังมีบ้านที่ปล่อยเช่าขนาดเล็กหรือไม่ ที่อยู่ในตัวตำบล ทางที่ดีขอเป็ทิศตะวันตกซึ่งไม่ไกลจากที่นาตรงนั้น”
“เ้าถามถูกคนแล้ว หากว่าเป็หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ คงยากที่จะเช่าบ้านได้ ตอนนี้บ้านเช่ายังพอมีบ้าง ไม่ทราบว่า้าขนาดอย่างไร?”
คำพูดของนายหน้าจางเป็เื่จริง เพราะว่าอากาศเริ่มอบอุ่น แเื่ที่สัญจรขึ้นเหนือล่องใต้จึงเพิ่มจำนวนขึ้น พ่อค้าและแขกส่วนใหญ่มักจะเช่าบ้านในตำบลไว้เก็บของที่ส่งมา หรือไม่ก็เป็ที่พักชั่วคราว
“เล็กหน่อยไม่สำคัญ ขอเพียงสามารถหุงต้มทำกับข้าวได้ และมีห้องเก็บของขนาดเล็ก ในลานบ้านพอตากข้าวเปลือกได้ก็พอ”
หลิวเต้าเซียงคิดว่า ไม่ว่าจะเป็ไก่ ปลา หรือผัก ก็มีครอบครัวนางคอยส่งให้ท่านยายได้อยู่แล้ว อย่างมากสุดหากว่า้ากินเนื้อหมู ก็ไปซื้อในตลาดนัดก็พอ เช่นนี้ในหนึ่งปี เฉินซื่อคงไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมาย
เฉินซื่อยังเฝ้านึกถึงว่า้าเก็บเงินให้บุตรชายคนเล็ก เพื่อให้เขามีทุนในการสู่ขอสะใภ้
เกรงว่าไม่ถึงสองปีก็คงเป็จริงได้แล้ว
“ช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก มีบ้านหลังเช่นนี้อยู่หนึ่งหลัง แต่ว่าตัวบ้านเล็กมาก มีเพียงห้องก่ออิฐดินสามห้อง หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องรับแขก และมีห้องครัวด้านนอกอีกหนึ่งห้อง โรงเก็บของขนาดใหญ่ หากพวกท่าน้าก็สามารถนัดเวลาไปดูได้”
หลิวซานกุ้ยยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น เขาหันไปมองจางกุ้ยฮัว ท้ายที่สุดแล้วก็คือมารดาของนาง ถึงอย่างไรก็ควรฟังความเห็นของภรรยาก่อน
จางกุ้ยฮัวคิดถึงมารดาที่อยู่ตามลำพัง แม้ว่าน้องชายกลับมาเยี่ยมก็คงอยู่ไม่นาน ถึงตอนนั้นก็ให้เขามาพักด้วยกันที่บ้าน เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงรู้สึกว่าคุ้มค่า
“บ้านไม่ใหญ่นัก แต่ท่านน่าจะรู้ว่า บ้านที่ข้าอยากจะเช่าไปก็คงไม่อาจซื้อของกินทุกอย่าง”
นายหน้าจางยิ้มและตอบว่า “น้องสะใภ้ เ้ากังวลเกินเหตุแล้ว หลังบ้านมีแปลงผักขนาดเล็กอยู่หนึ่งแปลง เพียงแต่ว่าผู้เช่าก่อนหน้านี้ไม่ยินยอมดูแลแปลงผัก ดูแล้วอาจจะยุ่งสักหน่อย แต่ว่าหากจัดการเก็บกวาดดีๆ บ่อน้ำของบ้านหลังนั้นก็อยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวก็จะถึงโรงครัว หากไปที่แปลงผักซึ่งอยู่ด้านนอกพอดี การจะรดน้ำหรือดื่มน้ำก็สะดวกยิ่งนัก”
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็พึงพอใจมากกว่าเดิม “ฟังแล้วน่าจะดี ไม่รู้ว่าราคาบ้านเช่าคิดอย่างไรหรือ? ถึงอย่างไรก็คนกันเอง ท่านบอกกล่าวราคาตามจริงเถิด”
“ค่าเช่านี้ถูกกำหนดโดยเ้าบ้าน แต่ว่าเ้าบ้านไปเป็ขุนนางต่างถิ่นแล้ว ไม่แน่ว่าจะกลับมาอีก เขากำหนดราคาไว้ั้แ่หลายปีก่อน ข้าไม่โกหกน้องสะใภ้ ผู้เช่ารายก่อนจ่ายปีละหนึ่งตำลึงครึ่ง หากว่าบ้านนั้นเข้าตาพวกท่าน ข้าจะอิงตามราคาหนึ่งตำลึงกับสองร้อยอีแปะปล่อยเช่าให้แก่ครอบครัวท่าน ท่านมองว่าอย่างไรบ้าง?”
นายหน้าจางตั้งใจผูกสัมพันธ์กับหลิวซานกุ้ย เมื่อคิดดูแล้วจึงไม่รับเงินรายได้ส่วนต่างจำนวนสามร้อยอีแปะ
จางกุ้ยฮัวไม่มีทางไม่ยินดี หากว่าประหยัดได้ส่วนหนึ่งก็นับว่าดี นางหันไปบอกกับหลิวซานกุ้ยว่า “เช่นนั้นก็หาวันว่างไปดูหน่อยเถิด”
นาง้าให้มารดาย้ายมาอยู่ใกล้ๆ โดยเร็วที่สุด จึง้าจัดการเื่นี้ให้เสร็จ
หลิวเต้าเซียงเองก็รู้สึกว่า หากเหมาะสมก็อาจจะตัดสินใจซื้อไว้
“ท่านพ่อ มองว่าอย่างไรบ้าง?” นางไม่ได้บอกว่าจะซื้อ เพียงแต่หันไปถามความคิดเห็นของบิดา
หลังจากการขัดเกลาหนึ่งปี หลิวซานกุ้ยนั้นเปลี่ยนเป็คนใหม่อย่างสมบูรณ์
“ทุกอย่างในบ้านก็จัดการเรียบร้อย หรือไม่ วันรุ่งขึ้นข้าจะไปดูที่นากับบ้านหลังนั้นสักหน่อย ดูสิว่าจะถูกใจหรือไม่”
หลิวซานกุ้ยเป็คนชอบไตร่ตรองก่อนจึงจะตัดสินใจ หากว่าที่นานั้นเหมือนดังที่นายหน้าจางกล่าว เขารู้สึกว่าเื่นี้ทำได้
หลังจากที่นายหน้าจางกลับไป หลิวเต้าเซียงก็ดึงหลิวซานกุ้ยที่กำลังเตรียมตัวไปด้านหลังบ้าน
ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายแล้วยิ้มอย่างออดอ้อน “ท่านพ่อ รอเดี๋ยวสิ”
หลิวซานกุ้ยหันกลับมา เอื้อมมือไปััศีรษะของนางพร้อมรอยยิ้ม “ด้านหลังยังมีงานมากมายให้พ่อไปดูแล เ้า้าให้พ่อสอบถงเซิงไม่ใช่หรือ พ่อต้องรีบจัดการเื่ในบ้านให้เสร็จ จะได้เล่าเรียนอย่างสงบ”
สมองของหลิวเต้าเซียงดับมืด นี่กำลังบอกนางให้ไปเล่นไกลๆ สินะ!
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าฟังนายหน้าจางกล่าว เหมือนว่าเ้าของนั้นไม่ได้ใส่ใจที่นาผืนเล็กนั้นเท่าใด เกรงว่าเ้าของที่คงร่ำรวยมั่งคั่ง ท่านพ่อ วันรุ่งขึ้นหากว่าท่านชอบที่ดินผืนนั้น ก็ลองปรึกษาพูดคุยกับพ่อบ้านท่านนั้น ถ้าไม่ได้จริงก็ให้เขาลดให้หน่อย แล้วใส่ซองแดงให้เขาสักหนึ่งถึงสองตำลึง ข้าเคยได้ยินอาเล็กพูดว่า ตอนที่ท่านย่าไปเยี่ยมญาติที่จวนตระกูลหวง หากพูดอะไรที่เ้านายจวนตระกูลหวงชอบฟัง เ้านายก็จะให้รางวัลเช่นนี้”
หลิวซานกุ้ยรู้สึกประหลาดใจกับแผนการอันชาญฉลาดของบุตรสาว แล้วก็เขินอายที่มารดาของตนนั้นไร้เหตุผล ในบ้านมีถงเซิงสามคน นางยังไม่ไว้หน้าบุตรชายและหลานชาย แต่รั้นจะเอาใจเ้านายเก่าด้วยสารพัดวิธี
หลิวเต้าเซียงมองไปที่หลิวซานกุ้ยเงียบๆ นอกเหนือจากการเตือนพ่อผู้แสนดีว่าต้องต่อราคากับผู้อื่นแล้ว นางยังจงใจบอกเขาว่า ย่าของตนเองไม่เพียงแค่โเี้ แต่เวลาทำอะไรก็ไม่เคยคิดเผื่อให้ชนรุ่นหลังได้ถอยหลังกลับแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดหลิวซานกุ้ยก็ถอนหายใจ “ลูกรอง เ้าจำไว้ว่า เราแยกครอบครัวกันอยู่แล้ว ย่าของเ้า…สุดท้ายนางก็คือคนที่มาจากจวนตระกูลนั้น คนรอบข้างคงคิดว่านางยังเห็นแก่บุญคุณในอดีต ช่างเถิด เ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจเื่เหล่านี้”
หลิวเต้าเซียงไม่เก็บไปคิด ไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะทำตัวเช่นไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางอยู่แล้ว
“รับทราบ ท่านพ่อ”
เพราะครอบครัวมีชีวิตอยู่ดีขึ้นทุกวัน รอยยิ้มจึงไม่เคยจางหายไปจากใบหน้า
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่หลิวซานกุ้ยทานอาหารเช้าเสร็จ นายหน้าจางก็มาพร้อมกับรถลาของเขา
รถลาเป็รถไม้สองล้อแบบเรียบง่าย บนรถโดยสารมีแท่นไม้ยึดติดกับแผงกั้นทั้งสี่ด้าน มีเสาไม้ตั้งขึ้นมาเพื่อกางไม้ไผ่สานเป็หลังคากันแดด ้ายังวางใบตองสดใหม่ไว้อีกหลายแผ่น ในยุคนี้ลำพังแค่รถลาก็นับว่าใช้ได้ดีทีเดียว
เขาอธิบายกับหลิวซานกุ้ยว่า ทั้งที่วันนี้ท้องฟ้าดูอึมครึมและกลัวว่าฝนจะตกกลางทาง เขาจึงนำเกวียนลาออกมาเพื่อจะได้ประหยัดแรง
หลิวซานกุ้ยเติบใหญ่จนถึงตอนนี้ นี่เป็หนแรกที่เขาได้นั่งเกวียนลา เส้นทางจากหมู่บ้านสามสิบลี้ไปตำบลนั้นไม่ได้ราบเรียบนัก แต่ก็ไม่ได้ขรุขระมาก เขากระชับเสื้อเหมียนอ๋าว เสียงติ๊งๆ จากกระดิ่งของลานั้นดังก้องกังวาน
เพียงแค่เวลาชั่วหนึ่งจิบน้ำชา เกวียนลาก็มาถึงตำบล
ฟ้าฝนไม่เป็ใจจริงๆ ฝนได้โปรยปรายลงมา โชคดีที่หลังคาช่วยบังฝนได้ เขาจึงเดินลงจากเกวียนวัวอย่างสบายใจและพูดคุยหัวเราะกับนายหน้าจาง แล้วมองดูผู้คนที่วิ่งหนีหลบฝนไปทั่วสารทิศ
เขานึกถึงคำพูดของบุตรสาว การซื้อลาสักตัวเป็เื่ที่ดี ทั้งประหยัดแรงและเมื่อมีหลังคานั้นก็ช่วยหลบฝนได้
จากเหตุการณ์นี้ หลิวซานกุ้ยจึงตัดสินใจประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อลากลับมาสักตัว ใช้ในงานไร่นาได้และยังประหยัดแรงอีกด้วย
จากความมั่งคั่งมาสู่การประหยัดเป็เื่ยาก แต่การประหยัดเพื่อไปสู่ความมั่งคั่งนั้นเป็เื่ง่ายดาย
แิบางอย่างของหลิวซานกุ้ยกําลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีมากขึ้น
หลิวเต้าเซียงอยู่ว่างๆ ในบ้านตลอดทั้งบ่าย น้องเล็กนั้นมีพี่ใหญ่ช่วยดูแล งานในบ้านก็มีแม่ผู้แสนดีกับป้าหลี่ช่วยกันดูแลอยู่ ขณะที่นางกำลังว่างจนเริ่มกระวนกระวายใจ สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็ปรากฏกายออกมาอย่างสวยงาม
“เซียงเซียง คุณควรฆ่าเชื้อในห้วงมิติได้แล้วนะครับ ของครั้งที่แล้วนอกจากที่ต้องส่งมอบให้เบื้องบน ที่เหลือผมก็มอบให้ทางบริษัทแล้ว ตอนนี้คุณมีพื้นที่เพาะเลี้ยงเจ็ดไร่ จากจำนวนของไก่ที่เพิ่มขึ้น พื้นที่เพาะเลี้ยงจำต้องทำการฆ่าเชื้อทุกครึ่งเดือนนะครับ”
หลิวเต้าเซียงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เข้าสู่ต้นเดือนมีนาคมแล้ว จึงรีบเอ่ยเสียงหวาน “สัตว์ปีศาจน้อยที่ใครเห็นใครก็รัก ทั้งขยันหมั่นเพียรและสวยงาม…”
“น่าขยะแขยงกว่านี้มีอีกไหมครับ?” ร่างน้อยของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดสั่นเทิ้ม
รอยยิ้มของหลิวเต้าเซียงหุบลงทันใด ใครก็ได้บอกนางที ฐานข้อมูลทั้งหมดที่กลายร่างเป็สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด ไม่ชอบการประจบประแจงอย่างนั้นหรือ?
“ในเมื่อคุณรู้ว่าผมคือฐานข้อมูล คุณคิดว่าลูกไม้ที่เอาเปลือกลูกอมห่อะเิ จะใช้กับผมได้หรือครับ?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดค่อนข้างดูิ่หลิวเต้าเซียง
“เอ่อ ก็ได้ ใช่สิ ฉันมีพื้นที่เพาะเลี้ยงเจ็ดไร่แล้วหรือ?”
หลิวเต้าเซียงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขตเพาะเลี้ยงของตนเองได้เพิ่มมาอีกสองไร่แล้ว
“ครับ ตอนปีใหม่ยังขาดอีกเล็กน้อย หลังจากที่ผมส่งมอบของเก็บสะสมของคุณไปแล้ว จึงได้ปรึกษากับทางบริษัท พวกเขารู้สึกว่าคุณขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่ง ฉะนั้น จึงเต็มใจยกที่ดินเพิ่มให้หนึ่งไร่ ส่วนผลผลิตของเดือนหนึ่งหลังจากหักในส่วนของค่าที่หนึ่งไร่ ก็สามารถมาโปะหนี้ที่ค้างจ่ายไว้ก่อนหน้านั้นได้พอดี เซียงเซียง หากคุณ้ามีไข่ที่มากขึ้นเพื่อมาแลกข้าวร่วน ข้าวโพด รำข้าว เช่นนั้นคุณก็ต้องพยายามให้มากนะครับ”
เป็ไปตามคาด หลิวเต้าเซียงรู้ว่าเมื่อสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเอ่ยคำพูดโน้มน้าวใจเมื่อไร นั่นคือการหลอกตา หลอกให้คนผู้นั้นมองเพียงเงินตราแต่ััไม่ได้ ราวกับหนุ่มสาววัยแรกแย้มที่เพิ่งมีความรัก
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดยิ้มอย่างมีชัย
เมื่อมองไปที่หลิวเต้าเซียงที่กำลังถือกระป๋องสเปรย์ไฟฟ้าฆ่าเชื้อในห้วงมิติ มันรู้สึกขำขันที่สุด
หากพึงปรารถนาให้ม้านั้นวิ่ง ก็ต้องป้อนหญ้าให้ม้าก่อน
คำพูดนี้คือสิ่งที่นางเก็บเกี่ยวมาจากราชวงศ์โจว
ตอนนี้หลิวเต้าเซียงเหมือนถูกฉีดยาเข็มกระตุ้น กำลังพ่นยาฆ่าเชื้อที่เขตเพาะเลี้ยงอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นสักพัก นอกจากเสียงร้องของไก่ในเขตเพาะเลี้ยงก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใด ทว่ามีบางอย่างน่าประหลาดที่บรรยายออกมาไม่ได้ นางจึงหาเื่คุยกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด “สัตว์ปีศาจน้อย ดวงดาวของนายเป็แบบไหนหรือ? คนที่นั่งจะนั่งเรือเหาะจริงหรือเปล่า?”
“ดวงดาวของเราชื่อว่าดาวเซนทอร์ อืม แต่ที่นั่นไม่ได้มีเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกนะครับ เผ่าพันธุ์ของที่นั่น รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับที่นี่ บ้างก็มีเขางอกบนศีรษะ บางเผ่าพันธุ์ก็มีแขนสามข้าง อืม อย่างเช่นประธานบริษัทของผมก็เป็เผ่าตาเดียว”
เผ่าตาเดียว? หลิวเต้าเซียงกะพริบตาปริบๆ นางตกตะลึงอย่างหนัก!
ดังนั้นดาวเซนทอร์ก็คือรังของสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ?
ความคิดนี้ทำให้นางไม่สบายใจ พวกนายไม่ใช่มนุษย์ แล้วทำไมต้องเื่มากกับอาหารด้วย กินหญ้าไปไม่ดีกว่าหรือไง
“นอกจากรูปร่างหน้าตา อาหารก็ปกติ แต่ว่าไก่กับไข่ที่นั่น แต่ก่อนต้องให้สารอาหารทางสายยาง ต่อมาเริ่มมีคนประดิษฐ์คิดค้นเขตเพาะปลูกขึ้นมา ดาวเซนทอร์จึงเริ่มฝึกทำอาหารที่หลากหลาย คุณคงไม่เชื่อ ในเว็บยังมีการชื่นชมกันมากมายอีกด้วย”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกลืนน้ำลาย เสียดายที่มันมองเห็นแต่กินไม่ได้ มิเช่นนั้นร่างสัตว์ปีศาจของมันจะสวยงามกว่านี้
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถพูดคุยได้อย่างมีความสุขอีกต่อไป นางจึงรีบฆ่าเชื้อในเล้าไก่ราวกับมีิญญาวิ่งไล่ตามอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ทิ้งของไว้และหนีออกมา
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดรู้สึกประหลาดใจ
ดูเหมือนมันก็ไม่ได้พูดอะไรที่น่ากลัวนี่นา?
ทำไมโฮสต์ของตนเองถึงดูเหมือนกำลังหนีตายอย่างนั้น
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่านางมีบุญยิ่งนักที่ข้ามมิติมายังโลกโบราณ หากว่าข้ามไปยังดาวเซนทอร์ที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเล่าให้ฟัง ชีวิตนางคงไร้ความหมายน่าดู!
-----
