" เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ? " ฉือหางมองฉือเย่ด้วยความวิตกกังวล วางมือบนหน้าผากของฉือเย่เบาๆ จากนั้นแตะบนหน้าผากของตัวเอง
ดูเหมือนว่าจะไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
"ถ้าเ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน เ้าบอกข้า ข้าจะได้บอกกู๋หยู่" ฉือหางมองไปที่ฉือเย่ที่กำลังจ้องมองเขา
ในความฝัน ทั้งที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าหลินกู๋หยู่และฉือหางเป็สามีภรรยากัน แต่เขาก็ยังคงแย่งพี่สะใภ้สามไปจากพี่ชายของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยสาเหตุที่เขารู้มานานแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและพี่สะใภ้สามของเขาไม่ใช่ความสัมพันธ์เช่นนั้น
"ข้าสบายดีแล้ว" ฉือเย่ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของฉือหาง เขาพูดอย่างลังเลว่า "พี่สาม ข้าสบายดีจริงๆ พี่กลับไปเถอะ!"
ฉือหางมองฉือเย่อย่างลังเล หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยถามอย่างเป็ห่วงเป็ใยว่า "ถ้าเ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน เ้าก็บอกข้ามาตรงๆ"
ฉือเย่มองไปที่การแสดงออกของฉือหาง แล้วค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ ว่า "ข้าหิวน้ำเล็กน้อย"
ในขณะที่ฉือหางกำลังจะหมุนตัวหันกลับไปรินน้ำใส่ถ้วย จู่ๆ เขาก็เห็นโจวซื่อวิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยความตื่นตระหนก
โจวซื่อเข้ามาผลักฉือหางไปทางด้านข้างแล้วเดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นนั่งบนเตียงของฉือเย่ "ลูกชาย ตอนนี้เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่?"
"ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไรแล้ว” ฉือเย่พูดอย่างอ่อนแรง
ฉือหางนำถ้วยชาสมุนไพรอุณหภูมิห้องมาตรงหน้าฉือเย่ ในขณะที่เขากำลังจะป้อนน้ำให้ฉือเย่ ทันใดนั้นโจวซื่อก็คว้าถ้วยไปจากมือ
เมื่อคืนฉือหางไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับเดินออกไปข้างนอก
เมื่อฉือหางกลับถึงบ้าน เขาก็เห็นหลินกู๋หยู่กำลังจุดไฟอยู่ข้างเตา
"กู๋หยู่ ข้าขอตัวนอนก่อน" ฉือหางเดินไปที่ด้านข้างของหลินกู๋หยู่ "ข้ารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย"
เมื่อได้ยินคำพูดของฉือหาง นางก็ลุกขึ้นยืนอย่างวิตกกังวล เช็ดมือที่เสื้อผ้าส่วนหัวเข่าแล้วรีบเดินไปหาฉือหางอย่างรวดเร็ว
หลินกู๋หยู่ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของฉือหาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ดูเหมือนไม่ได้มีไข้"
มือเล็กๆ นุ่มๆ บนหน้าผากของเขาดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากที่จะให้มือของนางไปจากตรงนี้
"เ้าไปล้างหน้าและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ข้าจะไปทำอาหาร หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเ้าค่อยนอน" ระหว่างนั้นนางค่อยๆ ดึงมือออก แล้วผลักฉือหางออกไป
ฉือหางรู้สึกเพียงว่าการก้าวเท้าของเขาเบาหวิวเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก
หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน เขาเข้ามาในห้องอีกครั้ง เห็นหลินกู๋หยู่เทบะหมี่ลงในหม้อแล้ว
ร่างกายของเขาดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง เมื่อก่อนที่เขาออกล่าบนูเา บางครั้งเขาเคยไม่หลับไม่นอนทั้งคืน แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดทรมานเช่นนี้มาก่อน
ฉือหางนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของหลินกู๋หยู่ เมื่อเห็นว่านางกำลังยุ่งอยู่กับงานในมือ หัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกทรมาน
ดวงตาของเขาแสบอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก ถ้าเป็ไปได้เขาอยากจะอยู่กับนางจริงๆ
เขาชอบวันเวลาที่นางอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาได้รับการเติมเต็มไปด้วย
ฉือหางเท้าคางของเขาไว้ในฝ่ามือข้างหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ
บะหมี่สุกค่อนข้างเร็ว เมื่อหลินกู๋หยู่ยกชามบะหมี่มาให้ ไอความร้อนจากบะหมี่ฟุ้งกระจายเข้าตาทำให้เขารู้สึกระคายเคือง
"กินบะหมี่กันเถอะ" ในขณะที่หลินกู๋หยู่พูด นางหันหลังกลับและนำชามบะหมี่มาอีกชาม
ในชามบะหมี่ใส่ผักใบเขียวลงไป และยังวางไข่ดาวไว้้าบะหมี่อีกด้วย
ฉือหางจ้องมองที่ชามบะหมี่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่แม้กระทั่งจะขยับตะเกียบ
หลินกู๋หยู่เดินมาพร้อมกับชามบะหมี่ของตน หยิบตะเกียบในมือ นางมองไปที่ฉือหางอย่างกังขา "ทำไมเ้าไม่กินละ?"
ฉือหางถึงได้หยิบตะเกียบแล้วก้มลง
หลินกู๋หยู่หิวเล็กน้อย นางหยิบตะเกียบคีบบะหมี่เข้าใกล้ริมฝีปาก เป่าเบาๆ แล้วเอาเข้าปาก
ฉือหางก้มศีรษะลงไม่มองนาง เขาได้ยินเสียงของตัวเองสั่นเครือ "เ้าไม่ไปไม่ได้หรือ?"
เขาใช้ความกล้าหาญทั้งหมดที่มีเพื่อเอ่ยถามอีกครั้ง เขารู้สึกว่าวันข้างหน้าเขาอาจจะไม่มีความกล้าที่จะถามคำถามนี้อีก
หลินกู๋หยู่หยุดกิน หันมามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ และพูดอย่างระมัดระวังว่า "กินบะหมี่กันเถอะ"
นางไม่ตอบคำถามของเขา ฉือหางกัดฟันอย่างน่าสังเวช เสียงท้องของเขาที่ร้องดังทำให้ยิ่งรู้สึกอึดอัด
เขากินไปหนึ่งคำ ทว่าคล้ายตนเองกำลังเคี้ยวขี้ผึ้ง ฉือหางวางตะเกียบลงบนโต๊ะ หันหลังกลับเดินไปที่เตียง
หลินกู๋หยู่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเขา เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางเห็นเพียงด้านหลังของฉือหาง
หลินกู๋หยู่ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนฉือหางนอนอยู่บนเตียงแล้ว
นางเอื้อมมือไปแตะ แต่กระนั้นก็ถูกปัดป้อง
คนบนเตียงดูเหมือนจะงอนอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้นางแตะต้องตัวเขา
“เ้าไปได้ หนังสือปลงใจหย่าอยู่บนกล่องไม้” เสียงของฉือหางทุ้มต่ำและอ่อนแอปราศจากเรี่ยวแรง ความกล้าหาญทั้งหมดที่เขามีถูกใช้ไปกับประโยคดังกล่าว
หลินกู๋หยู่มองเขาด้วยใบหน้าเหยเก เมื่อวานเขาไม่ได้นอนทั้งคืนและไม่ได้กินข้าว นางเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของฉือหางเพื่อลองเชิง
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ฉือหางไม่ได้ขยับตัวอีกต่อไป เขานอนเงียบๆ
“เ้าหันกลับมา ข้าจะตรวจดูอาการให้เ้า” หลินกู๋หยู่เอ่ยอย่างระมัดระวัง
ฉือหางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมานอนหงาย หลับตาและไม่สนใจนาง
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของฉือหาง ด้วยเหตุผลบางอย่างนางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ดูเหมือนจะร้อนเล็กน้อย เป็ไปได้ไหมว่าความร้อนนี้มาจากการถือชามบะหมี่เมื่อครู่?
เมื่อคิดไตร่ตรองเช่นนี้ หลินกู๋หยู่ก็ย่อตัวลงช้าๆ กดหน้าผากของตนเองเข้ากับหน้าผากของฉือหาง
ปรากฏว่าเขามีไข้ หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้น ฉือหางก็ลืมตาขึ้น เมื่อทั้งสองสบตากัน หลินกู๋หยู่ก็ตื่นตระหนกและอยากจะลุกขึ้น
"เ้า..." หลินกู๋หยู่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ด้านหลังศีรษะ ศีรษะของนางถูกกดลง
ริมฝีปากของนางถูกปิดกั้นด้วยบางสิ่งที่ร้อนจัดอย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่าร่างกายของนางถูกต้มจนสุกแล้ว หัวใจของนางก็หดลงอย่างกะทันหัน
มองไปที่ฉือหางอย่างไร้แรงต้าน นางเอื้อมมือออกไปเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไป แต่กระนั้นนางก็กลัวว่าเขาจะาเ็เพราะนาง
ฉือหางเพียงปิดริมฝีปากของนาง เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น
เมื่อเห็นขนตาที่สั่นไหวของฉือหาง หลินกู๋หยู่ที่หน้าแดงก่ำผลักฉือหางออกไปอย่างเร็วพลัน
เด็กสาวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง ใบหน้าแดงก่ำราวกับว่านางถูกต้มจนสุกทั้งตัว
หลินกู๋หยู่หันหลังกลับและเดินไปที่โต๊ะ ทานบะหมี่อย่างเงียบๆ
ในความเป็จริง เมื่อเขาจูบหลินกู๋หยู่ เขาก็ใเช่นเดียวกัน
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองจะกลายเป็คนบังคับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบังคับผู้หญิงที่เขาปรารถนามาโดยตลอด
หลังจากให้หลินกู๋หยู่ทานบะหมี่อย่างงุนงงเสร็จแล้ว จู่ๆ นางก็เปล่งเสียงพูดราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ "เ้าเป็ไข้แล้ว"
“เ้า” เสียงของฉือหางแหบแห้งเล็กน้อย แต่ในน้ำเสียงของเขาเจือด้วยความยินดี “เ้าเป็ห่วงข้าหรือ?”
หลินกู๋หยู่ถอนหายใจ ลุกขึ้นหยิบชามของฉือหางแล้วเดินไปที่เตียง
“กินเถอะ” ใบหน้าของหลินกู๋หยู่ซีดลงเล็กน้อย
ถ้าเป็เมื่อก่อนนางย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ฉือหางหมายความถึง ทว่าตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้ว
ความรักระหว่างชายหญิงเป็เื่ที่ละเอียดอ่อนมาก
หลินกู๋หยู่ไม่เคยเชื่อในเื่ความรักระหว่างชายหญิงมาก่อน
ในยุคปัจจุบัน พ่อของนางแต่งงานสายฟ้าแลบกับแม่เลี้ยงของนาง หลังจากแม่ของนางเสียชีวิตได้เพียงเวลาสองเดือน
แค่การถูกจูบชั่วครู่เดียวมันไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วการจูบของฉือหางทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น
“อะ นี่” หลินกู๋หยู่ยื่นชามให้ฉือหาง “อีกสักพักข้าจะต้องไปดูคนไข้”
ฉือหางหายใจอย่างอ่อนแรงคล้ายกำลังจะตาย ร่างกายของเขาก็ไม่สบายตัวสุดจะทน หลังจากทำอะไรไปเมื่อครู่ก่อน ผิวหน้าของเขาก็พลอยบางลงไปด้วยแล้ว "เ้าจะไปดูอาการคนเ่าั้ทุกวันงั้นหรือ?"
“พวกเขาทุกคนล้วนเป็คนไข้” หลินกู๋หยู่อธิบายด้วยเสียงเบา “แน่นอนว่าข้าจะต้องไปตรวจเยี่ยมพวกเขา”
ฉือหางนิ่งงัน
หลินกู๋หยู่รู้สึกเมื่อยกับการถือชามเล็กน้อย ถ้าเขาไม่กินบะหมี่ชามนี้ มันก็จะเย็นลง นางจึงโกรธเล็กน้อย "เ้ารีบกินเถอะ เ้ากินบะหมี่เสร็จแล้ว ข้าก็จะออกไป"
ฉือหางพรวดลุกขึ้นนั่งทันที ดวงตาที่เศร้าโศกของเขาจับจ้องไปที่เด็กสาว
ในขณะที่หลินกู๋หยู่กำลังจะอารมณ์เสีย จู่ๆ ก็ได้ยินเขาพูดอย่างระมัดระวังว่า "เ้าจะกลับมาอีกหรือไม่?"
“ข้ายังไม่ไปตอนนี้หรอก” หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง “วันหลังเ้าอย่าทำเช่นนั้นกับข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจเ้าแล้ว!”
ฉือหางเม้มริมฝีปากแน่นจนแปรเปลี่ยนเป็สีซีด สีหน้าของเขาก็แสดงอาการอึดอัดทรมานในเวลาเดียวกัน เนื่องจากอาการไข้ ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ หยาดเหงื่อไหลซึมออกมาจากหน้าผากของเขาเป็จำนวนมาก
หลินกู๋หยู่ยัดชามใส่มือของฉือหาง ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป ฉือหางลดศีรษะลงโดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปียกชื้น
ผ่านไปหลายอึดใจ เขาก็หยิบตะเกียบและคีบบะหมี่เข้าปากอย่างเงียบๆ หว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน สภาพของเขาช่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารอยู่หลายส่วน
น้ำตาหยดหนึ่งตกลงไปในชามโดยปราศจากเสียง จากนั้นดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดแล้ว
หลินกู๋หยู่เดินไปตามบ้านเพื่อตรวจดูผู้ป่วยเ่าั้ตามปกติ
อาจเป็เพราะใช้ฝีดาษกันหมดแล้ว คนป่วยส่วนใหญ่ก็อาการดีขึ้นมาก มีผู้สูงอายุที่อายุเจ็บสิบปีขึ้นไปสามคนเท่านั้นที่ดูเหมือนจะทนฝีดาษไม่ไหว สีหน้าของพวกเขาดูไม่สดใสนัก
ทั้งสามครอบครัวนั้นไม่ได้ว่าอะไร พวกเขาเพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคนชราเจ็บป่วยขึ้นมา แปดส่วนในสิบส่วนล้วนไม่อาจต้านทานต่อโรคได้
หลังจากตรวจเยี่ยมผู้ป่วยรอบหมู่บ้านใน่เช้า หลินกู๋หยู่ก็กลับไปที่บ้านสกุลฉือ
ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไป นางก็นึกถึงใบหน้าที่โดดเดี่ยวอ้างว้างของฉือหาง จากนั้นจึงหันกลับไปทางลานบ้านของฉือเย่
ฉือเย่ดูดีขึ้นมาก เขานั่งพิงหัวเตียง สวมเสื้อผ้าสีเทา ถือหนังสือหนึ่งเล่มอยู่ในมือ
"วันนี้เ้าเป็อย่างไรบ้าง?" หลินกู๋หยู่สังเกตมองที่ใบหน้าของฉือเย่ และเดินช้าๆ ไปที่ข้างเตียงของเขา
เมื่อฉือเย่ได้ยินเสียงของหลินกู๋หยู่ มือที่ถือหนังสือก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาแสร้งทำเป็สงบนิ่งและเงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่
"ข้าไม่เป็ไรแล้ว"
เขาไม่ได้เรียกหลินกู๋หยู่ว่าพี่สะใภ้สาม โดยจิตใต้สำนึกของเขา ฉือเย่รู้สึกว่าถ้าหลินกู๋หยู่ทิ้งพี่สามของเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็อาจจะมีโอกาสเล็กน้อย
หลินกู๋หยู่นั่งข้างเตียงและััชีพจรของฉือเย่ จากนั้นนางรู้สึกว่าชีพจรของฉือเย่ดีขึ้นมาก
“ถ้าเ้าพักผ่อนให้เต็มที่อีกสองสามวัน เ้าก็จะหายดีแล้ว” หลินกู๋หยู่พูดและค่อยๆ ดึงมือตัวเองออก
"ไม่ทราบว่า... เ้ารักษาคนให้หายดีได้อย่างไรหรือ?" ฉือเย่ไม่รู้ว่าจะใช้คำสรรพนามเรียกแทนหลินกู๋หยู่ว่าอย่างไร แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเรียกแทนหลินกู๋หยู่ว่ากู๋หยู่เช่นพี่ชายสามได้ หากเรียกเช่นนั้น ผู้อื่นมาได้ยินเข้าจะเหมาะสมได้อย่างไร
“ข้า” หลินกู๋หยู่ลังเลครู่หนึ่ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าก็รู้วิธีจากการอ่านหนังสือเมื่อตอนที่ข้าอยู่บ้าน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด ฉือเย่ก็ยื่นหนังสือในมือให้ "หนังสือบันทึกการท่องเที่ยวเล่มนี้ เ้าชอบหรือไม่?"
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือเย่ที่ยื่นหนังสือให้ระหว่างพูด นางรับหนังสือจากมือของฉือเย่อย่างละล้าละลัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้