ห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนเปิดทำการมาได้ครึ่งปีแล้ว และนับวันก็ยิ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่แผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าที่อยู่ข้างๆ แทบจะไม่มีที่ยืน ต่างก็กำลังปรึกษากันเื่การถอนตัว แต่เมื่อถอนตัวออกไปในพื้นที่กว้างขนาดนั้นแล้ว จะนำไปทำอะไรดี? เกือบจะครึ่งชั้นเลยทีเดียว ทั้งห้างและสำนักงานพาณิชย์ต่างก็กลุ้มใจ
สิ่งที่สำนักงานพาณิชย์และผู้นำระดับเมืองคาดไม่ถึงก็คือ ห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนที่ตอนแรกเปิดทำการด้วยความยากลำบาก กลับสามารถรุ่งเรืองได้ถึงเพียงนี้ภายในครึ่งปี แต่ในใจพวกเขาก็รู้ดีว่า ห้องเสื้อหลันเยว่ของหมี่หลันเยว่เป็ผู้แบกรับภาระหนักอึ้งของห้างไว้ถึงครึ่งค่อน
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ได้ขายดีแค่เพียงตัวเองเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นยอดขายทางฝั่งซ้ายอีกด้วย ถ้าไม่มีเสื้อผ้าจากห้องเสื้อหลันเยว่ บรรดาผู้ประกอบการทางฝั่งซ้ายของห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน คงจะเดินตามรอยแผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไปแล้ว การปิดกิจการคงอยู่แค่เอื้อม
"นี่มันเป็ปัญหาที่จัดการยากจริงๆ เราแก้ไขปัญหาของบริษัทเสื้อผ้าเดิมไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีปัญหาของห้างสรรพสินค้าโผล่ขึ้นมาอีก ทำให้ปวดหัวจริงๆ แต่เราก็ไม่มีทางออกที่ดีในตอนนี้ จะให้ห้างสรรพสินค้าเจ๊งไปก็ไม่ได้ แล้วชาวเมืองซวงเฉิงจะไปซื้อสินค้าพวกนี้ได้จากที่ไหนกัน"
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ จะให้ทนฝืนต่อไปก็ไม่ได้ พื้นที่ครึ่งชั้นใหญ่ขนาดนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ปีหนึ่งจะขาดทุนเท่าไหร่กัน? หลังจากบริษัทเสื้อผ้าเดิมล้มละลายไป สองชั้นบนก็ว่างเปล่า ทำให้เมืองและสำนักงานพาณิชย์ปวดใจไปนาน เพราะรู้ดีว่าเงินค่าเช่าพื้นที่ด้านล่าง สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายของสองชั้นบนได้
เมื่อคิดถึงปัญหามากมายเหล่านี้ ผู้นำก็ปวดหัวอย่างหนัก ทำได้เพียงกดดันสำนักงานพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง สำนักงานพาณิชย์เองก็ระดมพนักงานทุกคนให้คิดหาทางออก พร้อมทั้งตั้งรางวัลจำนวนมาก ถ้าใครสามารถช่วยเมืองและสำนักงานพาณิชย์แก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากนี้ได้จะจ่ายเงินรางวัลให้ทันที
แต่ไม่ว่าจะให้รางวัลสูงแค่ไหน ก็ต้องมีความสามารถถึงจะคว้ามันมาได้ ไม่อย่างนั้น รางวัลนั้นก็เป็แค่ของประดับ เมื่อทุกคนต่างจนปัญญา หวังเ้าชิ่งกลับนึกถึงหมี่หลันเยว่อีกครั้ง บางทีการได้พูดคุยกับเด็กสาวคนนี้ อาจจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตนเองก็ได้ การแบ่งเช่าพื้นที่ของบริษัทเสื้อผ้าในตอนนั้น ก็เป็เด็กสาวคนนี้ที่ช่วยแก้ไขไม่ใช่เหรอ
คิดได้ดังนั้น หวังเ้าชิ่งจึงไปที่ห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนในเวลาที่หมี่หลันเยว่เลิกเรียน บรรดาผู้ประกอบการในห้างเมื่อเห็นหัวหน้าหวัง ก็รีบเข้ามาทักทาย หวังเ้าชิ่งเนื่องจากมีเื่กังวลอยู่ในใจ จึงเพียงแค่ทักทายผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว แล้วตรงไปยังหน้าร้านของหมี่หลันเยว่
ถึงแม้ผู้ประกอบการจะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่า ถ้าไม่มีห้องเสื้อหลันเยว่ของหมี่หลันเยว่ช่วยกระตุ้น ยอดขายเสื้อผ้าของตนเองคงจะยากลำบากกว่านี้มาก ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายของคนอื่นก็สูงกว่าพวกเขามาก หัวหน้ามาพบหมี่หลันเยว่ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่มองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ เท่านั้น
"ลุงหวัง มายังไงคะ? วันนี้งานไม่ยุ่งเหรอคะ?"
หมี่หลันเยว่ที่เพิ่งมาถึงห้าง เห็นหวังเ้าชิ่งมาหาเธอ ก็รีบออกไปต้อนรับ เธอรู้ดีว่าหัวหน้าหวังคนนี้ ไม่มีธุระคงไม่มา
"ฉันแค่นึกถึงเธอ เลยแวะมาเยี่ยม"
เมื่อมองหวังเ้าชิ่งที่ยิ้มราวกับพระ หมี่หลันเยว่กลับไม่เชื่อ เธอรู้ดีว่าชั้นสองและชั้นสามของห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนแห่งนี้ สำนักงานพาณิชย์เปิดเช่ามาได้ครึ่งปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครเช่าออกไป ไม่ว่าจะเป็การทำเป็ห้างสรรพสินค้า หรือสำนักงาน ก็ไม่มีใครสนใจ
"ลุงหวัง นี่ไม่เหมือนลุงเลยนะคะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะค่ะ ระหว่างพวกเราไม่ต้องพิธีรีตองหรอก"
หมี่หลันเยว่เข้าเื่ทันที เธอมีธุระต้องไปทำอีก เดี๋ยวจะต้องเสียเวลากับลุงหวังนานเกินไป โรงงานกำลังรอลายเสื้อผ้าใหม่ของเธออยู่ เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงรอบแรกกำลังจะออกแล้ว
"เธอนี่มันฉลาดจริงๆ เอาล่ะ ฉันจะพูดตามตรง ชั้นสองและชั้นสามของห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนของเรายังไม่มีใครเช่าออกไปเลย แล้วแผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าทางนั้นก็กำลังจะถอนตัวอีก ตอนนี้กลุ้มใจมาก ฉันรู้ว่าหลันเยว่ของเราฉลาดที่สุด ช่วยฉันคิดหน่อยได้ไหม?"
นี่มันเป็เื่ของส่วนรวม หมี่หลันเยว่ไม่อยากหาเื่ใส่ตัว ตอนที่ออกความคิดเห็นตอนเปิดห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน ก็เพราะตัวเองมีแผนการส่วนตัว ตอนนี้ไม่มีชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ แถมยังอาจต้องรับผิดชอบ หมี่หลันเยว่จะไม่ทำเด็ดขาด
"ลุงหวัง เื่นี้ฉันช่วยไม่ได้จริงๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ แล้วก็ไม่มีสิทธิ์ดึงคนเข้าร้าน ลุงว่าฉันจะช่วยอะไรได้ล่ะ เื่นี้ลุงต้องหาทางออกเอง พวกคนนอกช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ"
รู้ทั้งรู้ว่าหมี่หลันเยว่พูดถูก เธอไม่ใช่เ้าหน้าที่รัฐบาล หรือพนักงานของสำนักงานพาณิชย์ ต่อให้คิดหาวิธีอะไรออก ก็ใช่ว่าจะนำไปทำได้ ต้องขออนุมัติและแจ้งให้ทราบกันภายในองค์กร มันยุ่งยากมาก ถ้าหวังเ้าชิ่งอยู่ในตำแหน่งของหมี่หลันเยว่ เขาก็จะวางตัวเป็กลางเหมือนหมี่หลันเยว่
แต่เื่มันยุ่งยากเกินไป หวังเ้าชิ่งจึงยังไม่ยอมแพ้ หวังว่าจะได้ยินอะไรบางอย่างจากปากของหมี่หลันเยว่
"หลันเยว่ ไม่ต้องให้เธอลงมือทำเองหรอก แค่ช่วยฉันคิดหาแนวทาง ให้ฉันมีทิศทางในการตัดสินใจ ที่เหลือฉันจัดการเอง"
หวังเ้าชิ่งพูดออกมาอย่างจริงใจขนาดนี้ ถ้าหมี่หลันเยว่ยังทำเฉยอยู่ ก็คงจะเกินไปแล้ว ยังไงซะ ลุงหวังก็เคยช่วยเหลือเธออย่างมาก ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่สามารถพัฒนามาได้ดีขนาดนี้ การได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็ต้องหาทางตอบแทน
"อย่างนั้นก็ได้ค่ะ ลุงหวัง ฉันจะให้คำแนะนำ แต่จะใช้ได้จริงหรือไม่ ลุงต้องตัดสินใจเองนะคะ เพราะฉันไม่ใช่คนลงมือทำโดยตรง ตัดสินใจแทนรัฐบาล แทนลุง แทนผู้ประกอบการไม่ได้ ประโยชน์ของคำแนะนำ ลุงต้องพิจารณาเองนะคะ"
ขอแค่เด็กสาวยินดีที่จะพูดออกมา หวังเ้าชิ่งก็รีบพยักหน้า
"แน่นอนๆ เธอแค่บอกความคิดของฉันให้ฉันฟัง ที่เหลือฉันจัดการเอง"
สรุปคือ ถ้าเื่เป็ไปตามคำแนะนำของหมี่หลันเยว่ แล้วทำไม่สำเร็จ ก็จะตำหนิเด็กสาวไม่ได้
ท้ายที่สุด เด็กสาวก็แค่เสนอความคิดเห็น ไม่ได้ลงมือทำเอง พูดจริงๆ ในใจของหวังเ้าชิ่งก็รู้สึกว่า ความคิดของเด็กสาวคงจะไม่ผิดพลาด ถ้าเธอลงมือทำเอง โอกาสที่จะสำเร็จคงจะเพิ่มขึ้นเป็สองเท่า เพียงแต่เด็กสาวไม่อยากรับผิดชอบ ส่วนสำนักงานพาณิชย์ ก็คงไม่ให้เธอมีอำนาจมากขนาดนั้น
"ลุงหวัง ทางฝั่งห้างสรรพสินค้า ฉันจะรวบรวมสินค้าทั้งหมด ยกเว้นเสื้อผ้า ไปไว้ที่สองชั้นล่าง แล้วชั้นบนสุด ฉันจะให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เช่า ไม่ใช่ให้เช่ากระจายเหมือนทางห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนของเรา"
ชาติที่แล้ว หมี่หลันเยว่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ตอนนี้ในเมืองซวงเฉิง ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าเฟอร์นิเจอร์โดยเฉพาะ ทุกคนใช้เฟอร์นิเจอร์ ส่วนใหญ่จะขอให้ช่างไม้มาทำให้ มันไม่ค่อยสวยงาม แถมงานฝีมือก็หยาบ ถึงแม้ว่าใน่สองปีนี้ จะมีตลาดเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็รูปเป็ร่าง
ดังนั้น ตอนที่หวังเ้าชิ่งพูดถึงพื้นที่ว่างในห้างสรรพสินค้า เธอจึงคิดถึงการสร้างห้างสรรพสินค้าเฟอร์นิเจอร์เป็อันดับแรก ชาติที่แล้ว เมืองที่เธอย้ายไปห้างสรรพสินค้าเฟอร์นิเจอร์แห่งแรกก็ก่อตั้งขึ้นบนชั้นบนของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น
"ผู้ประกอบการรายใหญ่แบบไหน ประมาณว่าทำธุรกิจด้านไหน?"
หวังเ้าชิ่งถามอย่างไม่ถือตัว เมื่อเปิดปากแล้ว ก็ถามให้ละเอียด เพราะถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข อำนาจในมือของตนเอง ก็อาจจะถูกยึดคืน ใครจะให้ถืออำนาจไว้แล้วไม่ทำงาน
"อืม เช่น ทำเครื่องนอน เช่น ทำตกแต่งบ้าน เช่น ทำที่แสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์"
หมี่หลันเยว่ไม่ได้ให้แค่คำแนะนำเดียว ยังไงซะ ความคิดของเธอก็เป็ของเธอ คนอื่นอาจจะไม่คิดเหมือนเธอ การให้คำแนะนำหลายๆ อย่าง ก็ทำให้ลุงหวังมีทางเลือกมากขึ้น
นี่ไม่ใช่คำแนะนำที่หมี่หลันเยว่ให้แบบสุ่มๆ ชาติที่แล้ว ทั้งสามอุตสาหกรรมนี้ ล้วนพัฒนาตามรูปแบบนี้ เพียงแต่ สุดท้ายมีแค่อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่ยืนหยัดอยู่ได้ แต่อุตสาหกรรมสองอย่างแรก ก็รุ่งเรืองใน่สองสามปี ดังนั้น หมี่หลันเยว่จึงคิดว่า ไม่ว่าลุงหวังจะเลือกอะไร ก็สามารถทำได้ใน่ไม่กี่ปีนี้
"อ๋อ หมายถึงผู้ประกอบการแบบนี้เอง ตกลง ฉันจะพิจารณาดู แต่ว่าหลันเยว่สนใจที่จะเข้าร่วมด้วยไหม?"
เมื่อคิดว่าเด็กสาวให้คำแนะนำได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ก็เป็ไปได้ว่า เด็กสาวมีความคิดแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ? เมื่อคิดถึงการเข้าร่วมของเด็กสาว ดวงตาของหวังเ้าชิ่งก็เป็ประกาย
"ตอนนี้ฉันยังไม่มีความคิดแบบนั้นค่ะ ลุงหวัง"
จริงๆ แล้ว หมี่หลันเยว่มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่า่เวลาในตอนนี้ยังไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น หมี่หลันเยว่ไม่ได้อยากเป็ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ เธออยากเป็ผู้ดำเนินการ
เธอคุ้นเคยกับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์มากเกินไป ดังนั้น ในใจของเธอจึงมีแบรนด์ดีๆ อยู่สองสามแบรนด์ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอเพียงแค่ต้องได้สิทธิ์เป็ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์เ่าั้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอทำธุรกิจได้แล้ว ไม่จำเป็ต้องสร้างแบรนด์ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เธอถนัดการขายเฟอร์นิเจอร์มากกว่า
"อย่างนั้นเหรอ น่าเสียดายจริงๆ ฉันยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าฉันมีความคิดที่จะทำธุรกิจนี้ ฉันจะต้องดูแลเธอก่อนเป็อันดับแรก"
ถึงแม้ว่า้าจะใช้พลังของหมี่หลันเยว่ แต่หวังเ้าชิ่งก็อยากจะร่วมมือกับเธออย่างจริงใจ การดูแลเธอในครั้งนี้ ก็มาจากใจจริง
หมี่หลันเยว่ที่กำลังจะปฏิเสธความหวังดีของหวังเ้าชิ่ง จู่ๆ ก็นึกถึงเื่ที่วางแผนไว้มานาน เดิมทีอยากจะดำเนินการหลังจากที่ตัวเองขึ้นมัธยมปลายแล้ว เมื่อพูดถึงเื่นี้แล้ว การดำเนินการก่อนกำหนดก็ไม่ใช่เื่เสียหาย ยังไงซะ ตอนนี้ตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมาย การทำให้เื่นี้เป็จริงโดยเร็ว ก็เป็เื่ที่ดี
"ขอบคุณลุงหวังมากค่ะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีใจที่จะทำเครื่องเรือน หรือเครื่องนอน อีกไม่นานก็จะขึ้นมัธยมปลายแล้ว ฉันไม่มีเวลาที่จะขยายธุรกิจอีกแล้ว เพียงแต่ว่า ตอนนี้ลุงมีเจอเื่ลำบาก ฉันจะต้องช่วยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ลุงหวังยังจะให้ราคาพิเศษกับฉันอีกด้วย"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหมี่หลันเยว่ หวังเ้าชิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ ตั้งใจที่จะช่วยตนเองจริงๆ ไม่อย่างนั้น เธอคงจะไม่พูดในตอนแรกว่าไม่มีทางช่วยได้ ดังนั้น จึงกล่าวขอบคุณหมี่หลันเยว่อย่างมาก
"หลันเยว่ เธออยากจะทำอะไร ก็บอกมาได้เลย ไม่ว่าจะยังไง ฉันจะต้องดูแลเธอก่อนเป็อันดับแรก"
"ลุงหวัง ทางฝั่งห้างสรรพสินค้า ฉันทำได้แค่ให้คำแนะนำ ส่วนการแบ่งใจไปทำอย่างอื่นอีก ฉันคงจะดูแลไม่ไหว แต่ทางฝั่งห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนแห่งนี้ ลุงให้ฉันเช่าทั้งชั้นเลยดีไหมคะ ชั้นสองเช่าได้ง่ายกว่าชั้นสาม ฉันเก็บไว้ให้เช่า ส่วนชั้นสามให้ฉันเช่าในราคาถูกหน่อย ฉันจะย้ายโรงงานมาค่ะ"
"ตกลงๆ ฉันจะให้ราคาพิเศษกับเธอแน่นอน"
เมื่อได้ยินว่าหมี่หลันเยว่อยากจะเช่าทั้งชั้น หวังเ้าชิ่งก็ดีใจทันที เื่นี้ต้องสำเร็จแน่นอน ช่วยเขาได้มาก แถมเด็กสาวยังใจกว้าง เปิดชั้นสองให้เขาเก็บไว้ด้วย เพราะรู้ดีว่าถ้าหมี่หลันเยว่อยากจะเช่าชั้นสอง เขาก็จะยอมให้เธอ แต่ถ้าเป็ชั้นสาม คงจะกลายเป็ที่ตายไปแล้ว
