วูบ...
เืไหลทะลักออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อนเหมือนกับในตำราที่เขียนไว้ว่า ‘เืร้อนดั่งถูกหลอม ิญญาดุจถูกกลั่น’ ไม่มีผิดเพราะแค่เืเพียงอย่างเดียว ก็ถือเป็ยาเพิ่มพลังลมปราณที่หาได้ยากแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยแตะต้องของดิบสักครั้งฉะนั้นถ้าจะให้มาดื่มเืสดๆ แบบนี้ขอผ่านดีกว่า
ข้าควักหัวใจเสือออกมาทั้งที่ยังเต้นอยู่ผิวััมันแวววาวราวกับอัญมณีสีแดงสด ข้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะลังเลที่จะกินมันเข้าไป
“ถ้าไม่กินภายในสามวินาที สรรพคุณจะลดลงนะ” ปู้เสวียนยินเอ่ยเตือน
“อื้ม”
ข้าพยักหน้ารับฝืนกัดเข้าไปคำหนึ่ง รสชาติเผ็ดร้อนไหลผ่านลำคอลงไปข้าไม่อยากคิดมากจึงกลืนหัวใจเสือลงไปรวดเดียว โดยไม่ไม่ทันได้รับรู้รสชาติเพียงครู่เดียวกล้ามเนื้อก็เริ่มสูบฉีดไปด้วยของเหลวข้น จึงพยายามมองข้ามรสชาติและกลิ่นคาวนั้นไป
ไม่นานพลังจากหัวใจเสือลายไฟก็แทรกซึมและหลอมรวมเข้ากับลมปราณเพื่อเพิ่มพลังในส่วนที่หายไป
อีกอย่างเสื้อของข้าตรงหน้าอกก็เปื้อนไปด้วยเืของเสือจนน่าใ
“อย่ามัวเสียเวลา”
ปู้เสวียนยินที่ยืนอยู่ข้างๆพูดเสียงเข้ม “เริ่มฝึกพลังลมหายใจัตอนนี้เลย ข้าจะคอยคุ้มกันให้”
“อื้ม”
ที่นางพูดมาก็มีเหตุผลเพราะเมื่อกินหัวใจของสัตว์ิญญาแล้ว ลมปราณภายในจะพลุ่งพล่านถึงจุดอิ่มตัวหากไม่เริ่มฝึก ร่างกายอาจะเิจากพลังที่มีมากเกินไปได้
พลังลมหายใจัไหลเวียนครบสามรอบถือว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เมื่อใช้ตาทิพย์เพ่งลึกลงไปภาพของัในบ่อน้ำพุก็เริ่มชัดขึ้นกระทั่งเห็นเกล็ดเลื่อมแวววาวและเปลือกตาที่ขยับได้ราวกับมีชีวิต
ฟู่...
ข้าถอนหายใจออกยาวแต่กลับถูกความร้อนของลมหายใจสะท้อนกลับจนเสียหลักไปก้าวหนึ่งนี่ไม่ใช่การถอนหายใจแต่คือการพ่นไฟมากกว่า
ปู้เสวียนยินหัวเราะดวงตาหรี่ลง “ไม่เลวนี่ สามารถหลอมพลังถึงระดับกลางของขั้นที่หกไม่นึกเลยว่าเ้าจะฝึกฝนได้เร็วเกือบจะเท่าข้าแล้ว”
ข้าถูจมูกแล้วโต้กลับ“มันแน่อยู่แล้ว ข้าจะทำให้ท่านต้องอับอายได้อย่างไรแต่รสชาติของหัวใจเสือลายไฟนี่ดีจริงๆ เหมือนได้กินเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบยังไงอย่างนั้น
“ต่อไปจะดีกว่านี้อีก!”
นางสะบัดผมไปมาแล้วพูดย้ำ“ไปกันเถอะ ใกล้จะมืดแล้ว พวกเราต้องไปให้ถึงชั้นที่สี่โดยเร็วที่สุดจากนั้นค่อยหาที่ปลอดภัยพักสักคืนไม่อย่างนั้นถ้าเจอสัตว์ิญญาระดับสูงเป็กลุ่มตอนกลางคืนคงจะไม่สนุกแน่”
“อืม”
ข้ามองเสือลายไฟตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น“กระดูกกับหนังของเสือตัวนี้เป็ของล้ำค่าอยู่เหมือนกัน จะเก็บเอาไว้ไหม?”
“ไม่มีเวลาแล้ว เ้าลองดูที่สมองสิว่ามีจินตานอยู่หรือเปล่า?”
“ได้”
จินตานเป็ของล้ำค่าชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายของสัตว์ิญญาจะต้องผูกสัมพันธ์กับสิ่งนี้ หลังจากนั้นพลังของสัตว์ิญญาจะเพิ่มขึ้นจนสามารถบรรลุขั้นต่อไปได้อีกอย่างหากผู้ฝึกฝนิญญาได้กลืนกินจินตานเข้าไปแล้วจะสามารถเพิ่มพลังิญญาและโอกาสในการบรรลุขั้นต่างๆ ได้ด้วย
แต่จินตานนั้นเดิมทีก็หาได้ยากอยู่แล้วโดยปกติสัตว์ิญญาที่ผูกสัมพันธ์กับจินตานจะมีไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงจินตานระดับสูงพวกนั้นเลย
เมื่อข้าเปิดหัวของมันออกภายในยังคงความร้อนและน่าสะอิดสะเอียน และยังไม่มีจินตานตามที่คาดไว้“ไม่มีเลย...” ข้าตอบน้ำเสียงผิดหวัง
“ไม่มีก็ไปต่อจะรอให้มันผุดขึ้นมาอีกหรือไง?” นางหรี่ตาแล้วพูดต่อ“เ้าเด็กน้อย จำไว้ว่ามีได้ย่อมมีเสีย รู้ไหม?”
“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ!”
พลังลมหายใจัพัฒนาขึ้นหนึ่งขั้นจนสามารถไล่ตามพี่เสวียนยินได้อย่างรวดเร็ว!
...
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงจึงข้ามผ่านเทือกเขาที่ทอดตัวยาวลูกนี้ไปได้ดวงอาทิตย์ลาลับแนวเขา เหลือเพียงแสงสีส้มทอแสงสะท้อนจากขอบฟ้าทุกหย่อมหญ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงดั่งเืสัตว์ิญญาส่งเสียงร้องคำรามดังมาแต่ไกล พลังจากตาทิพย์บอกได้ถึงอันตรายรอบกายราวกับกำลังปกป้องอาณาเขตจากผู้บุกรุก
เป็อะไรกลัวเหรอ?”พี่เสวียนยินยิ้มพลางถาม
“ไม่ได้กลัวสักหน่อย...”
ข้าพูดสะเปะสะปะ“เพียงแค่สถานการณ์มันน่าวังเวง เลยไม่อยากแสดงอำนาจให้ศัตรูรู้ตัวต่างหาก”
“ข้าเคยได้ยินแต่ถ้าทำตัวแข็งแกร่งยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพ”
ปู้เสวียนยินเว้น่แล้วพูดต่อ“ไปเถอะอยู่ใกล้ข้าไว้แล้วกันเพราะที่นี่เต็มไปด้วยสัตว์ิญญาั้แ่ระดับห้าจนถึงระดับเจ็ดข้าไม่อยากเห็นเ้าถูกพวกมันเล่นงานตอนที่ข้าไม่ทันระวังตัวหรอกนะ”
ข้าได้ยินแล้วจึงรีบไปอยู่ใกล้ๆนาง
นางหันกลับมายิ้มท่าทางทะเล้น“อยากจะให้ข้าอุ้มไปไหม แบบนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า” ข้าหน้าแดงขึ้นทันที“ไม่ดีหรอกมั้ง ท่านยังคิดว่าข้าเป็เด็กน้อยอยู่หรือไง? ตอนนี้ข้า...โตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้ ท่านแค่นำทางไปก็พอ”
“อืมอย่างนั้นก็ดี!”
นางหันกลับไปผ้าคลุมสีแดงบนไหล่ปลิวไสวสวยงาม
...
จากเนินเข้ามายังยอดเขาชั้นที่สี่ทั่วทุกอณูเต็มไปด้วยหญ้าสมุนไพรสภาพโดยรอบบอกให้รู้ว่าที่นี่ไร้ผู้บุกรุกมาเนิ่นนานพอสมควร
“ท่ามกลางความมืดแบบนี้เ้าเห็นชัดไหม?” ปู้เสวียนยินถามเสียงเบา
“ชัด”
ข้าพยักหน้ารับแล้วรวบรวมพลังไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เพียงอึดใจพลังก็ล้นทะลักทั่วั์ตาตามบันทึกกล่าวว่าเป็หนึ่งในวิชาปราบิญญาอย่างพลังั์ตาเวทใช้เพื่อค้นหาชนเผ่าลับที่หายสาบสูญ ทว่าสามารถมองผ่านความมืดได้ดีเช่นกันเมื่อพลังและสมาธิเริ่มเข้าที่ ภาพตรงหน้าก็เริ่มสว่างชัดเหมือนอย่างกลางวัน
“ช้าก่อนท่านพี่...”
ข้าร้องเรียกต้นไม้ต้นนี้มีแสงสว่างเรืองรอง กลีบดอกไม้เล็กแหลมเป็สามแฉกใบหนาเล่นไฟคล้ายไข่มุกประดับประดาบนกิ่งไม้ ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายดอกกุหลาบ
นี่คือดอกกุหลาบหลันเป็ยาสมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ฟอกเืและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็สมุนไพรที่ช่วยในการฝึกซ้อมที่สำคัญชนิดหนึ่งยาชนิดนี้มีอายุการใช้งานสั้น เพราะถ้านำออกจากต้นจะต้องใช้ทันทีมิฉะนั้นจะหมดประสิทธิภาพแล้วค่อยๆ แห้งเหี่ยวตายไป
“ดอกกุหลาบหลันหรอกเหรอ...”
ปู้เสวียนยินพูดพลางยิ้ม“เ้านี่โชคดีจริงๆ การบรรลุพลังลมหายใจัระดับหกจะต้องผ่านพลังของ‘เทพัออกธารา’ ก่อน สำหรับคนอื่นๆต่อให้ฝึกอีกสิบปีคงไม่สามารถผ่านขั้นนี้ไปได้แต่ดอกกุหลาบหลันจะช่วยประคองสติของผู้ฝึกฝนให้บรรลุขั้นหกได้อย่างราบรื่น...ไม่เลวทีเดียวเดิมทีข้าคิดไว้ว่าต้องรออีกหน่อยเ้าถึงจะบรรลุขั้นหก แต่ดูเหมือนคืนนี้คงสำเร็จแล้ว!
ข้าแสดงออกอย่างดีใจ“คืนนี้ข้าจะบรรลุขั้นที่หกได้แล้วจริงๆ เหรอ?”
“เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
พี่เสวียนยินยิ้มพราวเสน่ห์“เอาล่ะ เก็บกุหลาบหลันใส่ถุงคาดเอวเอาไว้ดีๆ พวกเราต้องเดินทางไปตามหาส่วนผสมอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เ้าบรรลุขั้นที่หกอย่างสมบูรณ์แบบ!”
“อืม”
ในใจข้าเต็มไปด้วยความรู้สึกปลื้มใจสองมือค่อยๆ เก็บกุหลาบหลันอย่างทะนุถนอมแค่เพียงได้ััก็กลายเป็แผ่นน้ำแข็งเย็นเยือก ถึงจะเป็แค่ต้นเล็กๆแต่มูลค่ามหาศาล มีผู้ฝึกฝนมากมายต้องใช้เวลาเป็ร้อยปีถึงจะหาพบ และจะบรรลุพลังลมหายใจัขั้นหกได้แต่สำหรับข้าโอกาสแบบนี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
...
พวกเราออกเดินทางต่ออีกครั้งระหว่างนั้นเสียงสวบสาบดังแว่วจากในป่า ข้ารู้สึกได้ถึงภยันตรายที่ใกล้เข้ามาพลังตาทิพย์ััได้ถึงความดุเดือดของกลุ่มพลังที่หมายจะบดขยี้ให้แตกละเอียดพลังภายในยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก จึงไม่เหมาะจะมาในที่แบบนี้ดีที่ยังมีพี่เสวียนยินอยู่ใกล้ๆไม่อย่างนั้นที่นี่คงกลายเป็หลุมฝังศพของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกมันมาแล้ว”
ปู้เสวียนยินเอี้ยวตัวมาจับมือข้าไว้แน่น“ไม่ว่าจะเห็นอะไรเ้าต้องไม่กลัว ห้ามเดินไปไหนส่งเดช และอย่าห่างจากข้าเป็อันขาด”
ข้าพยักหน้ารับ“ท่านพี่ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะอ่อนแอมาก แต่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสิ่งไม่ดีหรอกนะท่านยังคิดว่าข้าอายุสิบขวบอยู่เหรอ?”
“ฮ่าๆ เอาล่ะเอาล่ะ ที่เ้าพูดก็ถูก!”
ท่ามกลางความมืดเสียงสั่นไหวจากต้นไม้ใบหญ้าก็เริ่มคลืบคลานเข้ามาใกล้ทันใดนั้นงูเหลือมั์ยาวกว่าสิบเมตรก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดไม้ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมาทำให้เกล็ดสีเขียวบนตัวส่องแสงมันวาวเผยให้เห็นเขี้ยวยาวและดวงตาสีแดง เต็มไปด้วยความกระหาย
“นั่นงูเหลือมไพรเขียวโตเต็มวัยสัตว์ิญญาระดับเจ็ด ท่านว่าใช่หรือเปล่า?” ข้าพูดโพล่งด้วยความใ
“เ้าคิดว่ามันมีตัวเดียวเหรอ?”
ปู้เสวียนยินยิ้มมีเลศนัย“เ้าดูถูกที่นี่เกินไปแล้วหุบเขาหลิงหยุนชั้นที่สามเปรียบได้กับสุสานของเทพศาสตราวุธั้แ่อดีตจวบจนวันนี้มีเทพศาสตราวุธไม่น้อยต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”
และก็เป็อย่างที่พี่เสวียนยินพูดมาเมื่องูจำนวนมหาศาลปรากฏกายออกจากที่ซ่อน และห้อมล้อมพวกเราไว้ทุกทิศทางซึ่งตัวที่แข็งแกร่งที่สุดคงเป็งูเหลือมไพรเขียวระดับเจ็ดตัวนั้นตามด้วยระดับสี่ลดหลั่นลงไป บรรยากาศตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับรังงูดีๆ นี่เอง