เล่มที่ 10 บทที่ 299 จะออกมาหรือไม่
เมื่อนกเฮยจิงอูถูกลำแสงเขียวสาดส่องเข้าไป จากนั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังจมลงไปในบึงโคลน มันกระพือปีกช้าลงกว่าเดิมหลายเท่า เปลวไฟสีดำที่ลุกท่วมทั้งตัวก็อ่อนแรงลง
นกเฮยจิงอูหวีดร้องออกมาเสียงดัง พริบตาถัดมามันก็อ้าปากพ่นเปลวไฟต้ารื่อใส่เข้าไปยังโคมเขียวทันที…
ทว่าเมื่อเปลวไฟสีดำอันร้อนแรงนี้ เคลื่อนตัวมาเผชิญหน้ากับลำแสงสีเขียว มันก็ดูอ่อนแรงลงไปมากทีเดียว สุดท้ายก็สลายกระทั่งกลายเป็ดวงไฟสีดำดวงน้อยลอยเข้าไปในโคม ในตอนนั้นเองดวงไฟภายในโคมก็เกิดสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเปลวไฟต้ารื่อแสนร้อนแรงก็สลายหายไปจนหมด…
นกเฮยจิงอูหวีดร้องเสียงหลง ก่อนจะสำแดงร่างกลายเป็ดวงตะวันสีดำขลับลอยขึ้นไปช้าๆพร้อมกับสาดกระแสความร้อนออกมา ยิ่งดวงตะวันลอยสูงขึ้นเท่าไร คลื่นพลังรุนแรงก็พวยพุ่งออกมามากเท่านั้น
บัดนี้ เมื่อพืชพันธุ์นานาชนิดที่อยู่บนยอดเขาถูกสาดส่องด้วยลำแสงจากดวงตะวันสีดำ ไม่นานก็เหมือนกับว่าห้วงเวลาย้อนกลับ ดอกไม้ที่เบ่งบานก็พลันหุบและลดขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนต้นไม้ใหญ่เองก็พลันเตี้ยลงด้วยเช่นกัน…
เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่อึดใจเท่านั้น เหล่าพืชพันธุ์ล้วนหดเล็กลง กระทั่งล้มหายตายจากไปจนหมด จากเดิมยังมีต้นไม้ที่สูงใหญ่คอยให้ร่มเงาเขียวขจี ทว่าบัดนี้กลับหดเล็กจนกลายเป็ต้นกล้าแคระแกร็น ไม่นานก็ไม่หลงเหลือแม้แต่เงาของพวกมันราวกับไม่เคยมีอยู่…
โคมเขียวที่มีพลังกดข่มสรรพสิ่งยังคงลอยสงบนิ่งอยู่กลางอากาศ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตะวันสีดำ นอกจากลำแสงของมันจะยังคงส่องแสงเช่นเดิมแล้ว มิหนำซ้ำยังสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิมอีกด้วย อีกทั้งเหล่าอักขระภายในโคมก็เริ่มรวมตัวกันแล้ว
ขณะที่เหล่าอักขระจำนวนมากกำลังกระทบใส่กัน ก็ได้ยินเสียงดังออกมา บ้างก็เป็เสียงก้องกังวาน บ้างก็เป็เสียงทุ้มต่ำ และเมื่อผสานเข้าด้วยกันจึงราวกับถูกขับขานด้วยท่วงทำนองแห่งฟ้าดิน นับว่าเป็บทเพลงแห่งสรวง์อย่างแท้จริง
ภายใต้ลำแสงที่เจิดจ้า ดวงตะวันสีดำก็ค่อยๆเคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายก็กลายสภาพเป็นกเฮยจิงอูตามเดิม ทว่าครั้งนี้นกเฮยจิงอูกลับมีสภาพเหมือนกำลังถูกกดข่มพลังเอาไว้ โดยที่มันไม่อาจสยายปีกออกมาได้เลยแม้แต่น้อย…
และยิ่งแสงเขียวเข้มข้นขึ้นเท่าไร เสียงที่คล้ายกับบทเพลงแห่ง์ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเปลวไฟสีดำที่ลุกท่วมตามลำตัวของนกเฮยจิงอูก็มีสภาพเหมือนถูกกดข่มเอาไว้เช่นกัน และในตอนนี้เองแสงสว่างของมันก็กำลังมอดดับลงไปทีละนิดแล้ว
“เ้าบังอาจกำแหงกับข้าอย่างนั้นหรือ!” นกเฮยจิงอูพยายามดิ้นรนไม่คิดชีวิตภายใต้ลำแสงสีเขียวที่สาดส่องลงมา จากนั้นก็โวยวายออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“เ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็คนให้กำเนิดเ้ามา ใครกันที่ทำให้เ้ามีพลังเช่นทุกวันนี้ แล้วใครกันล่ะที่ทำให้เ้ามีหยวนหลิงจุติขึ้นมา ในเมื่อเ้ากล้ากำแหงกับข้า เช่นนั้นก็อย่าได้ถือโทษโกรธที่ข้าทำลายโลงศพหิน กระทั่งเ้าแตกสลายคืนสู่สามัญก็แล้วกัน!”
ขณะที่นกเฮยจิงอูกรีดร้องกร้าวกังวานออกมา ลำแสงสีเขียวก็พลันสะดุดลง จากเดิมที่กำลังเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ก็กลับหยุดนิ่งลงไปทันที…
เพียงครู่เดียว โคมเขียวขนาดใหญ่ก็เก็บลำแสงกลับคืนไปดังเดิม จากนั้นก็หดเล็กคืนสู่ขนาดเท่าฝ่ามือและลอยกลับไปอยู่บริเวณเหนือโลงศพหินอีกครั้ง ลำแสงที่สาดส่องออกมาก็ปกคลุมได้เพียงรัศมีพันจ้างเท่านั้น พอดีกับจุดที่เหล่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันกำลังยืนอยู่ก็ว่าได้…
หลังจากได้รับอิสรภาพคืนแล้ว นกเฮยจิงอูก็หันไปมองโคมเขียว ทว่าสายตาของเ้านกยังคงหลงเหลือประกายความหวาดระแวงอยู่…
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็จิตสำนึกชั่วช้าของอดีตเ้าสำนักตงจี่..
แม้จะมีพลังไม่มากเท่ากับตอนยังมีชีวิต และหากคิดจะตายตกไปพร้อมกัน ก็เกรงว่าจะยังหลงเหลือพลังพอที่จะล่มโลงศพหินได้จริงๆ หากถึงตอนนั้น ถึงแม้ว่าแรงอาฆาตนี้จะสลายไปแล้ว แต่โคมเขียวเองก็จะแตกดับไป และกลายเป็โคมไฟธรรมดาทั่วๆไปเช่นกัน…
สิ่งที่โคมเขียวทำได้ก็คือวางเฉยโดยไม่สนใจฝ่ายใดทั้งนั้น
อย่างมากมันทำเพียงช่วยคุ้มครองเหล่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่อยู่ในบริเวณนี้เท่านั้น…
และก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งนกเฮยจิงอูได้อีก…
มันกวาดสายตามองไปยังเหล่าผู้บำเพ็ญจิงตัน ก่อนจะแค่นหัวเราะอำมหิตออกมา เพราะตระหนักได้ว่าช่างไม่คุ้มเสียเลยแม้แต่น้อยที่คิดไปลองดีกับโคมเขียว เพียงเพื่อประโยชน์ของเหล่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันไม่เอาอ่าวเหล่านี้ ภายนอกยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่ยังคงดื้นรนเพื่อรักษาลมหายใจเอาไว้ ไม่ควรเสียเวลามายึดติดกับคนเช่นนี้อีกต่อไป
“ครั้งนี้ถือว่าพวกเ้าโชคดีไป หากเก่งกล้านักก็จงหลบอยู่ในนี้ตลอดไปก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบนกเฮยจิงอูก็หันตัวกลับไป หมายจะบินออกจากทะเลอสูร…
ผู้าุโชื่อิเห็นดังนั้นก็หน้าเผือดสีลง ใบหน้าเหี่ยวย่นจากความชรา ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่มองไปยังนกเฮยจิงอูที่กำลังบินอยู่กลางท้องนภา เขาเองก็อดที่จะกดข่มความผิดหวังที่เกาะกินหัวใจดวงน้อยเอาไว้ไม่ได้…
เพราะนกเฮยจิงอูถือกำเนิดมาจากสำนึกชั่วร้ายของเซียน เมื่อมันย่างกรายเข้ามาในทะเลอูไห่แห่งนี้และไล่ล่าเข่นฆ่าทุกชีวิตให้กลายเป็นรกอเวจี เช่นนั้นความชั่วร้ายในตัวก็จะยิ่งกล้าแกร่งขึ้น สักวันหนึ่งมันก็อาจจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ…
‘แย่แล้วล่ะ…’
‘เมืองวั่งไห่ถึงกาลอวสานแล้ว…’
‘ทั่วทั้งทะเลอูไห่เองก็เช่นกัน…’
‘ดีไม่ดีทั่วทั้งพิภพซ่างจงก็คงจะพินาศสิ้นไม่ต่างกัน…’
ทว่าจู่ๆก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก เ้าไปไหนไม่รอดทั้งนั้น…”
ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงปริศนานี้เอง นกเฮยจิงอูก็เกิดชะงักท่าทีลง เพราะเสียงนี้ดังออกมาจากตัวมันเอง…
“เ้ายังไม่ตายอีกหรือ?” เพียงครู่เดียว นกเฮยจิงอูก็แค่นหัวเราะเ็าออกมา
“หากเ้าไม่พูดออกมา ข้าคงไม่รู้ แต่ตอนนี้เป็เ้าที่กลับรนหาที่ตายเสียเอง…”
เมื่อสิ้นเสียง เปลวไฟตามลำตัวของนกเฮยจิงอูก็กลับมาลุกโชติ่อีกครั้ง เปลวไฟร้อนแรงเผาไหม้กระทั่งห้วงมิติรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยวลง ก่อนที่หลุมดำอันมืดมิดจะปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณห้วงมิติแห่งนี้ ทันใดนั้นเอง พลังจากห้วงมิติก็พากันหลั่งไหลเข้ามา แต่เพียงพริบตาเดียว ก็กลับถูกเปลวไฟเผาไหม้จนดับสูญ…
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยือกแว่วดังออกมาจากบริเวณหน้าท้องของนกเฮยจิงอูอีกครั้ง…
“หึหึ…”
นกเฮยจิงอูเห็นดังนั้น ก็สำแดงตนให้กลายเป็ดวงตะวันสีดำทันที จากนั้นก็ปล่อยกระแสความร้อนรุนแรงออกมา พลังน่าสะพรึงกลัวถูกส่งเข้าไปยังใจกลางของดวงตะวันสีดำไม่หยุด และบัดนี้เปลวไฟต้ารื่อก็ได้กลายเป็ธารลาวาข้นหนืดแล้ว…
ด้วยพลังที่ร้ายกาจเช่นนี้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนถูกเผาจนมลายสิ้นหมด…
ทว่าหลังจากนั้นประมาณสิบอึดใจ…
“หึหึ…”
หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง นกเฮยจิงอูก็แปลงกายกลับเป็ร่างนกตามเดิม โดยมันไม่คิดจะใช้ลูกไม้เดิมๆอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะสำแดงพลังเช่นไรก็ไม่อาจเกิดผลอีกแล้ว อีกทั้งไม่มีหนทางจะแผดเผาหลินเฟยที่อยู่ในท้องให้ตายตกไปได้อีกด้วย…
จากนั้นนกเฮยจิงอูจึงเริ่มฉายท่าทีแสนลนลานออกมา…
“ออกมาเถอะ ข้าจะปล่อยเ้าไปเอง” ทว่าหลังจากเอ่ยจบ นกเฮยจิงอูก็หัวเราะเ็าออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตามมาอีก
“ถ้าจะไม่ออกมาก็ย่อมได้ ข้าก็จะปล่อยเ้าไว้ก่อนก็แล้วกัน รอข้าบันดาลให้ทั่วทั้งทะเลอูไห่กลายเป็นรกอเวจีเสียก่อน จากนั้นเ้าค่อยออกมาแล้วกัน…”
เมื่อพูดจบ นกเฮยจิงอูก็กางปีกออก กระทั่งกลายเป็ลำแสงสีดำพุ่งทะยานออกจากทะเลอสูรไป…
และนี่ก็คือเคล็ดวิชาสำแดงเป็รุ้งของเผ่านกจิงอู โดยตำนานได้บันทึกไว้ว่า ในยุคานั้น นกจิงอูสามขาถือเป็สุดยอดนักล่าที่ไร้เทียมทาน และเคล็ดวิชาสำแดงเป็สายรุ้งนี้เอง ก็สามารถทำให้นกจิงอูเคลื่อนตัวได้ถึงแปดหมื่นลี้ภายในอึดใจเดียวเท่านั้น
บัดนี้ เพียงแค่นกเฮยจิงอูสำแดงเคล็ดวิชานี้ออกมา พริบตาถัดมามันก็ทะยานตัวเอง มาถึงบริเวณสุดขอบทะเลอสูรที่แห้งเหือดแล้ว…
ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็กลับสลายร่างกลายเป็นกเฮยจิงอูตามเดิม มันจึงก้มมองกรงเล็บของตนเองด้วยความตกตะลึง…
บัดนี้เอง ที่กรงเล็บของมันมีโซ่ตรวนสีทองพันธนาการไว้อยู่ ซึ่งเป็โซ่ทองที่เต็มไปด้วยอักขระสีทองจำนวนมาก และที่ต้นตอของโซ่ทองนี้ก็คือโลงศพหินนั่นเอง…
เพราะว่ามีโซ่ทองพันธนาการอยู่ ต่อให้นกเฮยจิงอูพยายามดิ้นรนเพียงใด หรือแม้แต่สำแดงเคล็ดวิชาสำแดงเป็รุ้งก็ตาม สุดท้ายมันก็ไม่อาจเคลื่อนร่างออกไปได้มากกว่านี้แล้ว…
---------------------------------------------------------------------------------------------