ไก่ตุ๋นกับมันฝรั่งที่หลี่ชิงหลิงทำยังไม่ออกมาจากหม้อ เด็กๆ ในครอบครัวรวมถึงอาหวงต่างก็ยืนอยู่ที่ประตู จ้องหม้อกันตาเป็มัน
หลี่ชิงหลิงเห็นแววตาที่หิวโหยแล้วทั้งโมโหและตลกไปพร้อมกัน
หลังจากที่สภาพการเงินครอบครัวดีขึ้น พวกเขาก็กินเนื้อทุกวันแทบไม่มีอดยาก แล้วทำไมไก่ตุ๋นกับมันฝรั่งจานนี้ถึงทำให้หิวโหยกันได้ขนาดนั้น
หลิวจือโหรวยังเด็กและไม่มีความอดทน นางใช้ขาสั้นๆ เดินเข้าไปในครัว กอดน่องหลี่ชิงหลิง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วถาม "พี่ หอมจัง อยากกิน…” ขณะที่พูดก็มีน้ำลายไหลออกจากมุมปาก
หลี่ชิงหลิงเห็นแล้วหัวเราะพรวด ก้มลงอุ้มหลิวจือโหรว ใช้มือเช็ดน้ำลาย แตะหน้าผากของน้องสาวอย่างเอ็นดูและหัวเราะ "แมวน้อยจะกละ ยังไม่เสร็จ รอเดี๋ยวก่อน!"
หลิวจือโหรวกลืนน้ำลายและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่านางประพฤติดีเพียงใด หลี่ชิงหลิงก็จูบเบาๆ อย่างหาได้ยาก พานางไปที่ประตูห้องครัว และวางนางลง "รอที่นี่กับพี่ๆ ก่อน เดี๋ยวก็กินได้แล้ว” พูดจบก็หันหลังกลับเดินเข้าไปในครัวอีกครั้ง ยกฝาหม้อออกผัดมันฝรั่งกับไก่ตุ๋น
กลิ่นหอมยิ่งโชยกว่าเดิม ทำให้แมวน้อยจะกละที่ยืนอยู่ที่ประตูต้องกลืนน้ำลายตลอดเวลา
"ถ้าเ้าไม่ทำให้เร็วกว่านี้ ประตูครัวของเราอาจถูกน้ำท่วม" หลิวจือโม่เหลือบมองพวกเด็กๆ และหัวเราะกับหลี่ชิงหลิง อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย ขนาดเขาเองก็จะทนไม่ไหวแล้ว มันหอมจริงๆ
มุมปากของหลี่ชิงหลิงยกขึ้น ขอให้หลิวจือโม่เพิ่มไฟอีกเล็กน้อย ผัดให้เข้าเนื้ออีกเล็กน้อยก็เป็อันเสร็จ
หลิวจือโม่ตอบรับและเพิ่มฟืนอีกกำมือ หลี่ชิงหลิงผัดอย่างรวดเร็ว ใช้ไฟแรงปิดท้ายและตักลงจาน
เมื่อเห็นว่าเด็กๆ ทนรอไม่ไหวแล้ว นางจึงคว้าไก่ให้คนละชิ้น ให้ลองชิมดูก่อน
แน่นอนว่าอาหวงก็ด้วย หากอาหวงถูกทิ้งจะเกิดการโวยวายได้
หลี่ชิงหลิงผัดผักอีกจาน แล้วพูดสิ่งที่เด็กๆ รออยู่นาน "อาหารเย็นพร้อมแล้ว"
“อาหารเย็นพร้อมแล้ว” หลิวจือเยี่ยนเลียนิ้ว หันหลังกลับวิ่งไปล้างมือ ไปที่ห้องครัวเพื่อรับชามและตะเกียบ แล้ววิ่งเข้าบ้านเพื่อจัดแจง
หลิวจือโม่นำไก่สองจานมาวางบนโต๊ะ หลี่ชิงหลิงนำข้าวมาแจกจ่ายให้เด็กๆ เมื่อตักกันครบก็ตักข้าวและไก่ให้อาหวง จากนั้นจึงเริ่มกินอย่างเป็ทางการ
ทุกคนกินมื้อนี้จนอิ่มแปล้ หลี่ชิงเฟิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จับท้องและพูดด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ "ถ้าได้กินแบบนี้ทุกวันคงจะดี" แต่นี่เป็เพียงความคิด ที่บ้านคงไม่สามารถกินเนื้อแบบนี้ทุกวัน แถมยังเป็เนื้อไก่อีก “พี่ ยังมีมันฝรั่งอีกไหม" เขาคิดว่ามันฝรั่งเป็สิ่งที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินแล้ว
หลี่ชิงหลิงเห็นสภาพหลี่ชิงเฟิงแล้วหัวเราะอีกครั้ง "ที่ไร่ยังอยู่ ถ้าอยากกินก็ขุดขึ้นมากินได้ทุกเมื่อ แต่คงกินไก่ตุ๋นมันฝรั่งทุกๆ วันไม่ได้ อนาคตไว้จะให้กินเต็มที่นะ” นางย่อมอยากทำให้ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ของน้องชายเป็จริง
เมื่อโดนพี่สาวแซว หลี่ชิงเฟิงก็หน้าแดงเล็กน้อย เขาก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ได้อยากจะกินทุกวันจริงๆ
"เอาล่ะ อย่ามัวแต่นั่งเฉย ออกไปเดินย่อยที่ลานไป” หลี่ชิงหลิงไล่เด็กๆ ออกไปที่ลาน นางเก็บจานชาม หลิวจือโม่รับไปล้างที่ห้องครัว
หลี่ชิงหลิงไม่ได้ห้าม นางแค่ยืนพิงกรอบประตูห้องครัวมองดูเขาล้าง "พี่คิดว่ามันฝรั่งเป็ยังไง อร่อยไหม" ไก่ตุ๋นมันฝรั่ง กลิ่นของไก่ซึมเข้าไปในมันฝรั่ง ทำให้รสชาติต้องดีอยู่แล้ว
หลิวจือโม่ล้างจานเรียบร้อยและพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา "อร่อยแล้วก็อิ่มท้องด้วย” เขาคิดว่ามันสามารถกินเป็ข้าวได้ "อัตราการรอดเป็ไงบ้าง? ปลูกเยอะๆ ได้ไหม?” ถ้าพวกเขามีมันฝรั่งเ่าั้ ครอบครัวของพวกเขาจะไม่ขาดแคลนอาหารอีก
หลี่ชิงหลิงรู้สึกว่าหลิวจือโม่สมองดีจริงๆ แค่ถามแบบนี้ เขากลับนึกไปถึงมุมอื่นได้ เก่งจริงๆ
"มันฝรั่งไม่เลือกดินมากนัก ในดินทรายก็โตได้ดี"
หลังจากวางชามแล้ว หลิวจือโม่ก็ล้างมืออีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิงหลิงด้วยแววตาจริงจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน "แล้วเ้าคิดยังไง” นางคงไม่หยิบมันฝรั่งมาพูดโดยไม่มีเหตุผล ถ้าพูดถึงแปลว่าต้องมีความคิดบางอย่าง
การพูดคุยกับคนฉลาดช่วยประหยัดเวลาและแรง หลี่ชิงหลิงยักไหล่ "ข้าไม่ได้มีความคิดใหญ่โตอะไร ข้าแค่อยากเผยแพร่มันออกไป” ในยุคนี้มีคนจำนวนมากกินไม่อิ่มท้อง ถ้านางค้นพบมันฝรั่งนี้แล้วจะช่วยคนอื่นได้ นางก็อยากช่วย!
หลิวจือโม่เดาออกว่านางคิดแบบนี้ เขาไม่แปลกใจนักและพยักหน้าทันที "งั้นทำตามความคิดของเ้าเลย!" เขาหยุดเล็กน้อย "บอกให้ผู้นำหมู่บ้านพูดแทนเถอะ ให้เขาบอกว่าใครก็ตามที่้าปลูกมันฝรั่งสามารถมาหาเราเพื่อซื้อเมล็ดมันฝรั่งได้" คงเป็ไปไม่ได้ที่จะให้เปล่า พวกเขาเคยเจอบทเรียนมาแล้วและไม่้าประสบมันอีกครั้ง
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวจือโม่พูด หลี่ชิงหลิงก็รู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร "ได้เลย เอาตามที่พี่ว่า" หลังจากพูดจบก็หัวเราะเบาๆ "เื่นี้คงได้พูดปีหน้าโน่น พูดตอนนี้คงเร็วเกินไป” ถ้าเก็บมันฝรั่งไว้มากกว่าครึ่งเพื่อขายจะไม่สามารถเอามากินได้
"ถ้าอย่างนั้นค่อยว่ากันปีหน้า!" หลิวจือโม่ยื่นมือออกไปจับไหล่ของหลี่ชิงหลิงหมุนเด็กสาวไปรอบๆ แล้วผลักนางออกจากครัวเบาๆ "อีกครึ่งเดือนก็ต้องเกี่ยวข้าวแล้ว เ้าอยากเก็บเองหรือจ้างคน?” ที่ดินสองครอบครัวรวมกันประมาณสี่ห้าไร่ หากพวกเขาเก็บเกี่ยวเองอาจใช้เวลานานหน่อย
"จ้างคนเถอะ!" หลี่ชิงหลิงตอบโดยไม่ลังเล เด็กๆ ในครอบครัวยังเด็กและช่วยอะไรไม่ได้มาก หากนางและหลิวจือโม่ทำเองคงเหนื่อยแย่แน่ ยอมจ่ายเงินเพื่อความสบายดีกว่า
หลิวจือโม่พยักหน้าเห็นด้วย "ได้เลย จ้างคนมาเก็บ ให้เงินเพิ่มหน่อยก็ไม่ต้องให้ข้าวแล้ว” เขายอมจ่ายเงินเพิ่มดีกว่าให้หลี่ชิงหลิงที่เหนื่อยทำกับข้าวให้คนอื่นทั้งวัน
เห็นได้ชัดว่าหลี่ชิงหลิงก็คิดเื่นี้เช่นกัน นางตอบรับไปว่าก็ดี
ถ้านางไม่ต้องทำอาหารจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป
สองวันก่อนถึงกำหนดเก็บเกี่ยว หลิวจือโม่ไปที่หมู่บ้านเพื่อหาคนมาช่วยเกี่ยวข้าว
บางคนในหมู่บ้านมีที่ดินไม่มากนัก วันเดียวก็เก็บของตัวเองหมดจึงทำงานเสริมช่วยคนอื่นเกี่ยวข้าว
เจิงเถียโถวเองก็เป็เช่นนี้ บรรพบุรุษของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ปู่ของเขาหนีมา ครอบครัวจึงไม่มีที่ดิน ดังนั้นเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวจึงต้องทำงานพิเศษ
ทันทีที่เขาได้ยินจุดประสงค์ของหลิวจือโม่ก็พยักหน้าทันที วันละยี่สิบเหวิน ดีกว่าที่ไปทำงานที่อื่นมาก
หลิวจือโม่ขอให้เขาหาคนอื่นมาช่วยเกี่ยวข้าวด้วย จะได้เสร็จเร็วหน่อย
เจิงเถียโถวตบหน้าอกของเขาเพื่อให้ความมั่นใจว่าเขาจะต้องหาคนที่ทำงานหนักและแข็งแรงมาอย่างแน่นอน
หลิวจือโม่ค่อนข้างเชื่อใจเขา หลังแจกแจงธุระเสร็จก็กลับบ้าน
เจิงเถียโถวทำงานบ้านทั้งหมดให้เสร็จล่วงหน้าหนึ่งวัน และพาชายคนหนึ่งชื่อหลี่เฉียงไปที่บ้านของหลิวจือโม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น
หลิวจือโม่มองหลี่เฉียงแล้วพยักหน้า จากนั้นพาทั้งสองคนไปที่ทุ่งนา ชี้บอกที่นาของเขาและหลี่ชิงหลิง เมื่อเห็นว่าพวกเขาจำได้ เขาจึงกลับบ้าน
เมื่อเห็นเขากลับมา หลี่ชิงหลิงก็ถามเขาว่าจะไปครองที่ในลานนวดข้าวหรือไม่?
ยุคนี้ไม่สะดวกเหมือนยุคปัจจุบัน ไม่สามารถนวดข้าวด้วยเครื่องจักร
ที่นี่ต้องอาศัยกำลังคนหรือปศุสัตว์มาช่วยนวดข้าว
หลิวจือโม่พยักหน้า บอกให้หลี่ชิงหลิงอยู่ที่บ้าน ส่วนตนไปครองที่
อย่างไรก็ตาม หลี่ชิงหลิงรู้สึกว่าเขาซึ่งเป็เด็กชายคงแข่งกับกลุ่มหญิงสาวไม่ไหว นางจึงไม่เห็นด้วย ให้เขาอยู่บ้าน ส่วนตัวเองมุ่งหน้าไปครองพื้นที่
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมุ่งมั่นมาก หลิวจือโม่ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ บอกให้นางระวังตัวและอย่าไปทะเลาะกับกลุ่มหญิงสาวคนอื่นๆ
หลี่ชิงหลิงตอบและเดินไปที่ลานนวดข้าว เมื่อไปถึงที่นั่น กว่าครึ่งหนึ่งของลานนวดข้าวก็ถูกแล้ว นางยืนมองฝูงชนที่ส่งเสียงดังจอแจด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
"เสี่ยวหลิง เสี่ยวหลิง ทางนี้" เมื่อเห็นหลี่ชิงหลิงยืนเหม่อลอย ป้าหวงก็ลุกขึ้นโบกมือให้
ทันทีที่เห็นป้าหวง หลี่ชิงหลิงก็เดินไปด้วยรอยยิ้มและเรียกทักทาย
"ตรงนี้ยังไม่มีคน เ้าเอาตรงนี้ไหม? เราจะได้อยู่เป็เพื่อนกัน” ป้าหวงชี้ไปที่พื้นที่โล่งข้างๆ อย่างอบอุ่น
หลี่ชิงหลิงขอบคุณป้าหวงอย่างจริงใจ ถ้าป้าหวงไม่เรียกนางก็คงไม่รู้ต้องทำอย่างไร
ป้าหวงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เกรงใจกับป้าทำไม” หลี่ชิงหลิงเคยช่วยนางทำเงิน แค่เพราะเหตุนี้นางก็พร้อมจะช่วยหลี่ชิงหลิงแล้ว "เ้ามาที่นี่คนเดียวหรือ" นางมองแขนขาเล็กๆ ของหลี่ชิงหลิงแล้วได้แต่สงสัย
"อืม ข้ามาคนเดียว" หลี่ชิงหลิงตอบ "เมื่อไรจะถึงตาท่านป้าหรือเ้าคะ” ในหมู่บ้านมีที่สีข้าวอันเดียว ถ้าคนเยอะแบบนี้เมื่อไหร่จะถึงตาเรานะ
ป้าหวงชี้ไปที่คนข้างหน้า ถอนหายใจแล้วพูด "ยังอีกนานเลย ดูสิ มีคนเข้าแถวยาวแต่เช้าแล้ว ต้องรอจนพวกเสร็จโน่น” การสีข้าวทุกปีต่อแถวยาวชวนท้อถอย
เมื่อหลี่ชิงหลิงเห็นก็ถอนหายใจในใจ คนเยอะขนาดนี้ต้องรอถึงปีมะโว้โน่นล่ะ ตอนนี้นางคิดถึงเครื่องสีข้าวยุคปัจจุบันที่สามารถสีข้าวเสร็จทันทีขึ้นมาเป็พิเศษเลย
